3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน เพราะวิกฤติ
งานประจำมั่นคง
งานประจำนั้นดี มีรายได้แน่นอน
คำพูดเหล่านี้ ไม่ผิดเลยครับ
เพราะผมก็เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อนเหมือนกัน
ตื่นเช้าไปทำงาน ไปประชุม คุยงานกับน้องๆในทีม
ทำงานแบบทุ่มเท กลับบ้านดึกดื่น
เวลาจะให้กับครอบครัวนั้น เหลือเป็นศูนย์
แต่มีรายได้เลี้ยงชีพ ให้ตัวเองกับครอบครัว ไม่ขัดสน
แต่ว่ายังไม่มีเงินเก็บ
ที่เขียนมาทั้งหมด นี้ ไม่ได้จะบอกว่า ให้ทุกคนออกมาจากงานประจำ อย่าไปทำเลย
ไม่มั่นคง ไม่ดี กระโดดออกมาทำงานของตัวเอง เป็นนายตัวเองกันเถอะ
“ไม่ได้บอกแบบนั้นนะครับ”
ทุกวันนี้ มีงานประจำนั้นดี แน่นอน เพราะรายได้สม่ำเสมอแน่นอน
หากมีงานทำ ให้ทำงานนั้นไป
แต่สำหรับสภาพเศรษฐกิจที่ ทุกคนต้องเอาตัวรอดกันให้มากกว่านี้
รายได้ทางเดียว ไม่น่าจะใช่คำตอบ อีกต่อไปแล้ว
หลายคนรู้คำตอบนี้ดี แต่คิดไป คิดมา สุดท้าย ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
แล้วก็กลับไปตั้งมั่น ตั้งใจกับการทำงานประจำ 100% ดังเดิม
ในฐานะที่ผมเคยเป็นคนมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับงานแบบเกิน 100
ขอแชร์ประสบการณ์ ให้ฟังแบบนี้ครับ
การทุ่มเทให้องค์กรแบบเต็มที่นั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะทำให้องค์กรเติบโตต่อเนื่อง
แต่คุณควรต้องให้เวลา กับการเติบโตของตัวเองด้วย
เพราะเราไม่ได้อยู่กับบริษัทไปตลอดชีวิต ถึงจะนานจนถึงเกษียณ แต่นั่นก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
ผมไม่ได้อยู่ถึงวัยเกษียณครับ
เพราะบริษัทมีการปรับองค์กร ให้ไปต่อได้
บริษัทให้ผมออก พร้อมค่าชดเชย ที่เหมาะสม เพราะหลังจากที่ แจ้งให้ผมรู้
อีก 1 วัน ผมก็ไม่ต้องมาทำงานอีกต่อไป
สายฟ้าแลบสุดๆครับ
ใจมันนึกถึง ตอนที่พ่อจะเกษียณ ยังรู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือนจะ ไม่ได้ทำงานแบบนี้อีกแล้ว
ของผมเร็วกว่ามาก เพราะพรุ่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
หากเป็นคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันกับผม ก็คงจะตกใจ
จิตหลุด ลอยๆ นึกอะไรไม่ออกแล้ว
เพราะไม่รู้จะไปสมัครงานต่อที่ไหน แล้วใครจะรับเราเข้าทำงานมั้ย ฐานเงินเดือนแบบนี้ อายุแบบนี้ บริษัทที่ไหนจะรับ
แต่ผมรู้สึกแตกต่างไป
เพราะอะไรหรือ?
นั่นเป็นเพราะผมเตรียมตัวเอาไว้แล้ว ล่วงหน้ามา 2-3 ปี
และนี่คือที่มาของ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน
ลองอ่านกันนะครับ จากประสบการณ์ ของคนเคยทำงานประจำ และต้องออกจากงาน
- ปรับ mindset
ถ้าไม่มีข้อนี้ ข้ออื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
เพราะคุณจะต่อต้าน ทุกอย่างที่ คุณไม่เคยมาก่อนเลย
คุณจะต้องมี growth mindset ไม่ใช้ fixed mindset
กล่าวเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คือ ต้องคิดบวก มองทุกเรื่องว่ามันเป็นไปได้
อันนี้ ผมก็ต้องปรับใจอยู่นานพอสมควร เพราะผมคิด มองหากรณีที่เลวร้ายที่สุดมาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต จนไม่สนใจ ไม่เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ เลย แบบนี้เราเรียกว่า fixed mindset
วิธีคิดง่ายๆ ก่อนเลยก็คือ ให้มองว่า ทุกปัญหามีทางออก มากกว่า 1 เสมอ / ถ้าล้มเหลว ก็คือการได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด และจะไม่ทำมันอีก / ให้อภัยตัวเอง แล้วไปทำสิ่งที่ดีกว่าเดิม / หยุดจมกับความเจ็บปวดจากการทำผิดพลาด
คิด และ ทำเรื่องนี้พวกนี้บ่อยๆ จนกลายเป็นธรรมชาติ
2.พัฒนาตัวเอง
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
คำนี้ยังดีเสมอ เพราะการเรียน ไม่จำเป็นต้องหยุด หลังจากที่คุณรับปริญญามาแล้ว
ศึกษาในเรื่องที่จะทำให้คุณเก่งขึ้น หรือ มีความเชียวชาญมากขึ้นในด้านที่คุณชอบ
ชอบพูด ไปเรียนพูดเลย
ชอบ digital marketing ไปเรียนเลย
ชอบทำอาหาร ไปเรียนทำอาหารเลย
การลงทุนที่ดีที่สุด
คือการลงทุนเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
แต่ทุกการลงทุน ในการเรียน ควรจะต้องคืนอะไรกลับมาให้กับตัวเรา
อย่างน้อยๆ ก็ขอให้เก่งกว่าเมื่อวาน ไป 1 ขั้น เท่านี้ก็พอใจแล้ว
การพัฒนาตัวเอง ที่ดีนั้น
ควรจะต้องเป็นเรื่องที่ คนหมู่มากต้องการแก้ปัญหา หรือมีคนที่รอให้เราไปช่วยเหลือ
โอกาสทำเงิน สร้างรายได้ จะมาหาเราได้ไม่ยาก
3.ลงมือทำ
การเรียนรู้ในข้อ 2 จะมีค่าเท่าเดิม หากคุณไม่ได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ
จะเรียนไปสักแสน สักล้านบาท
จะไปเรียนกับสุดยอดอาจารย์ หรือ สุดยอดเคล็ดวิชาใดๆ
แต่ไม่ได้ลงมือทำ
ก็มีค่าเท่ากับก่อนไปเรียนแน่นอน
ดังนั้นเมื่อเรียนแล้ว ลงมือทำ จะผิดพลาดไปบ้าง อย่างน้อยก็จะได้จำเป็นประสบการณ์
แล้วครั้งต่อไป จะผิดพลาดน้อยลง
การลงมือทำบ่อยๆ จะทำให้คุณทำเรื่องนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ได้เคอะเขิน หรือ เป็นเรื่องประหลาด ความตื่นเต้นในการทำ จะเข้าใกล้ศูนย์ทันที
ดังนั้น เรียนรู้แล้ว ต้องลงมือทำครับ
จะขายของออนไลน์
จะถ่ายภาพ ลง shutter stock
จะลงทุนในหุ้น อสังหา หรือ เทรด forex
จะทำคอร์สออนไลน์
ทำได้เลย ตั้งแต่ตอนทำงานประจำ
อย่ารอให้ไม่มีงานประจำ แล้วลุกขึ้นมาทำ
คุณต้องหาเงิน ตั้งแต่วันที่มีเงินอยู่
ไม่ใช่ไปทำตอนไม่มีเงิน วันนั้นคุณจะคิดไม่ออกเลย!!
ถ้าไม่อยากตกใจแบบสุดขีด ในวันที่คุณถูกบอกเลิกจ้างงาน
ในภาะที่เศรษฐกิจ ต้องเอาตัวรอดกันแบบสุดๆ ในวันนี้
ให้นึกถึง 3 สิ่งนี้เอาไว้ดีๆนะครับ
และทั้งหมดนี้คือ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน