ปรับตัวใช้ออนไลน์ เพิ่มยอดขายยังไง แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง
ปรับตัวใช้ออนไลน์
เพิ่มยอดขายยังไง
แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง
ใครจะไปนึกว่า วันหนึ่ง
หนังฮอลลีวู้ดที่ว่าด้วยเรื่อง ซอมบี้ ไวรัส
ที่เราดูกันอย่างตื่นเต้นในโรงหนัง
จะกลายเป็นเหตุการณ์จริงบนโลกเรา
และสร้างความวิตก วุ่นวายกันขึ้นมาขนาดนี้
เมื่อเกิดวิกฤติ ไวรัสขึ้นมาจริงๆ
คนเราก็ต้องปรับตัวกันมากขึ้น
เมื่อออฟไลน์ อย่างเดียวเอาไม่อยู่
คนเราเลยต้องหันมาใช้ออนไลน์ ในการดำรงชีวิตมากขึ้น
มากจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ตอนนี้ เมื่อหลายๆ อย่างมันเงียบ
การให้เวลาตัวเองได้ศึกษา หรือ ซุ่มซ้อมด้านออนไลน์
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
แล้วเราควรรู้อะไรบ้างล่ะ เพื่อจะปรับใช้กันได้อย่างถูกทาง
บทความนี้ เขียนเอาไว้ เพื่อให้แนวทางสำหรับทุกคนที่กำลังมองหาเครื่องมือ
เพื่อปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ ที่กำลังคอนเฟิร์มว่า ออนไลน์คือคำตอบ
1 เปิดเพจ
faccebook คือชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว การันตีได้จากจำนวนคนใช้งาน 45 ล้านบัญชี เราใช้เวลากับการดูชีวิตเพื่อน ดูคลิป ตามข่าว แชร์ content กันเป็นว่าเล่น
ดังนั้น เมื่อคนอยู่ตรงนี้เยอะ การสร้างช่องทางให้ตัวเองใน facebook ก็คือ การเปิดเพจ
ไม่ว่าจะขายของ สร้างตัวตน
การเปิดเพจคือช่องทางที่ง่ายที่สุด
แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเปิดเพจ ก็คือ
เราจะนำเสนออะไร ในนั้น สิ่งนี้สำคัญกว่า
เพราะเปิดเพจ จะต่างจากเปิดเว็บไซต์
เว็บไซต์ทำมา ไม่ได้ update ยังพอเข้าใจได้ เพราะว่าเอาไว้สำหรับ ให้ข้อมูล หรือติดต่อ
แต่หากเปิดเพจมา แต่ไม่ได้ update เนื้อหา คนจะเข้าใจไปได้ทางเดียว ก็คือ
คุณไม่ทำธุรกิจนี้แล้ว
ดังนั้น สิ่งจำเป็นคือความขยันในการโพสต์ และต้องโพสต์ในสิ่งที่คนอยากอ่านด้วย
เราเรียกกันคำว่า การทำ content
แต่ content ที่ดีควรจะต้องขายตัวเราเองได้ด้วย ซึ่งต้องผสม เทคนิคทางการตลาดลงไปด้วย
สรุปง่ายๆ ก็คือ จะโพสต์อะไร คนต้องอ่าน และ ขายของได้ด้วย!
อันนี้ ยังไม่รวมถึงการทำโฆษณา facebook หรือที่เราเรียกกันว่ายิงแอดนะครับ 😉
อันนั้น ก็เป็นอีกศาสตร์ ที่ต้องทำความเข้าใจ!
2.ใช้ LINE Official Account
ไลน์ คือ เครื่องมือการสื่อสาร ของคนไทยตั้งแต่วัยรุ่น ยันวัยเกษียณ
มันกลายเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว เหมือนเราใช้โทรศัพท์มือถือ กันเป็นนิจสิน
ความน่าเชื่อถือ จึงสูงมาก
หลายคนบอกว่า ใช้ไลน์ขายของเหรอ เออ ไลน์ส่วนตัวก็พอแล้วมั้ง
ถ้าธุรกิจของคุณ ไม่ต้องใช้คนเยอะ หรือ ทำงานคนเดียว ได้ ไลน์ส่วนตัวก็น่าจะพอ
แต่ถ้า ธุรกิจของคุณ ติดต่อกับคนเยอะมาก
และ มีรายการธุรกรรมมากมาย ต้องใช้ แอดมิน หรือ ทีมงานมาช่วยตอบ
Line Official account คือคำตอบ (ขอเขียนสั้นๆ ว่า LINE OA)
เพราะ LINE OA ให้คนมาช่วยตอบได้
LINE OA สามารถยิงข้อความไปถึงคนเยอะๆได้ ภายในครั้งเดียว
LINE OA มีระบบคูปอง ระบบสะสมแต้ม
LINE OA สามารถเชื่อมกับระบบ LINE MY SHOP ระบบที่ทำให้คุณมีหน้าร้าน เหมือน shopee lazada ที่คุณเอาไว้ขายของเอง แต่เงินเข้ากระเป๋าทันที
นี่คือลูกเล่นบางส่วน ที่บอกเลยว่า น่าสนใจ
และเหมาะกับคนไทย ที่ชอบแชทก่อนซื้อ 😉
ปลคนทักผ่านไลน์ ส่วนใหญ่ความตั้งใจ ในการซื้อสูงกว่าทาง inbox facebook
3.ใช้ WordPress ทำเว็บ
สมัยก่อนจะมี social media
คนไทยคุ้นเคยกับการใช้เว็บ หากทำเว็บดีๆ ติดหน้าแรก Google คนก็จะตามมา ตลอด
เมื่อก่อนการทำเว็บ ดูเป็นเรื่องวุ่นวาย ใช้เงินเยอะ
วันนี้ ก็ยังเหมือนเดิม แต่งบประมาณ จะลดลงมา เพราะมีทางเลือกให้เรามากขึ้น
ตั้งเว็บสำเร็จรูป หรือ แม้กระทั่งจะทำเว็บเอง ก็มีเครื่องมือทรงพลังที่คนใช้กันอย่างแพร่หลาย
นั่นคือ WordPress
ทำไมต้องเลือกใช้ wordpress นั่นเป็นเพราะ
พอคนใช้เยอะ เวลามีปัญหา เราก็สามารถ หาทางออกได้เร็วกว่า
มีศาสตร์ มีคลิป สอนมากมาย ที่สามารถ search ได้
หรือจะ update ในระบบหลังบ้านสมัยนี้ ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
เพราะหน้าตา เหมือนกับการใช้ Program word ธรรมดา นี่เอง
ที่สำคัญ WordPress สามารถเชื่อมต่อกับ Woo-commerce ระบบ shopping cart ที่มีให้ใช้งานได้ฟรี
ปลการใช้ wordpress อาจจะมีความจุกจิก เพราะเป็นเรื่องเชิงเทคนิค ถ้าไม่อยากเสียเวลา ให้จ้างคนทำแต่ถ้าเรามีเว็บ ข้อดีคือ เราจะใช้งานร่วมกับการยิงแอด facebook ได้ดียิ่งขึ้น เราเรียกว่า Converion ads (ฟังให้รู้ก่อนนะครับ หากสนใจ ค่อยศึกษากันแบบลึกๆ อีกที)
4. ใช้ Google My Business
แม้ว่าคนจะออกบ้าน น้อยลง
แต่พิกัดหมุด หรือ สถานที่ต่างๆ ก็ยังมีความสำคัญ ต่อชีวิตประจำวัน
หากมีธุรกิจ แล้วอยากให้คน search ชื่อของเราเจอในอันดับต้นๆ และ ดูยิ่งใหญ่ สว่างสไว การทำ Google My business คือทางออกเลย
ข้อดีของ Google My Business คือ
- คนติดต่อหาเราได้ง่ายขึ้น
- ลูกค้าเก่า search ชื่อ แล้วกดแผนที่ สามารถเดินทางมาหา ธุรกิจของเราได้ / สามารถโทรหาเราได้
- ลูกค้าใหม่ สามารถทำให้เจอได้ หากใช้เทคนิค การใส่ keyword ที่คนค้นหาเกี่ยวกับธุรกิจของเรา ไปอยู่ในหมุดของเรา
- รู้ข้อมูลว่า ใคร search มาหาเรา มาจากไหน มาด้วย keyword อะไร?
แต่ทั้งหมดนี้ต้องเกิดการยืนยัน ธุรกิจผ่าน Google เสียก่อน
จะยังไม่ลงลึกวิธีนี้นะครับ (เพราะละเอียดพอสมควร)
5.ใช้ Market place อย่าง shopee หรือ Lazada
การซื้อขายสินค้า ในปัจจุบัน
หากเป็นของที่ไม่ต้องคิดมาก เช่น ขนม อาหาร แป้ง ของใช้ ที่ดูว่า คนใช้กันเยอะๆ
ไม่ต้องโฆษณามาก ก็กดสั่งซื้อแล้ว
คนไทยเราใช้ shopee กับ lazada เป็นหลักเลย
ดังนั้นหากสินค้าของคุณ ไม่ต้องใช้วิจารณญาณ ในการเลือกซื้อเยอะ
จึงแนะนำให้ศึกษาการ ขายของผ่าน market place เหล่านี้ครับ
ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องการยิงแอด แต่เน้นที่ ทำยังไง ให้คนมาให้คะแนนสินค้าของเราเยอะๆ ทำยังไง ให้ภาพน่าซื้อ เขียนยังไง ให้อยากสั่ง ทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจ สนใจเรื่องการส่ง การบริการหลังการขาย รวมถึงทริคต่างๆ ที่ทำให้ร้านของเรา เป็นที่รู้จักใน platform มากที่สุด
6.instagram
ถ้าอยากขายของที่ราคาแพงขึ้น หรือ ต้องการลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น
เราจะขายไลฟ์สไตล์มากกว่าสินค้า
ซึ่งสื่อที่กลุ่มคนเหล่านี้ นิยมใช้กัน ก็คือ instagram นั่นเอง
ดังนั้น หากจะเข้าใจคนกลุ่มนี้ได้ ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในโลกของ instagram
ดูเยอะๆ ทั้งการโพสต์ การเขียน การใช้ hashtag รวมไปถึงการใช้ stories ที่พลาดไม่ได้เลย
รวมทั้งเวลาการโพสต์ ว่าช่วงไหนที่คน ว่างๆ แล้วหยิบมือถือมาดู อันนี้ก็สำคัญ
สำหรับการใช้ instagram กับธุรกิจ บัญชีที่เลือกใช้ ต้องเป็นบัญชีแบบ Business เพราะจะสามารถดูสถิติต่างๆ ที่จำเป็นในการพัฒนาเนื้อหาของตัวเราให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
ปลตอนนี้ instagram สามารถตั้งเวลาโพสต์ได้เหมือน facebook เลยนะ แต่ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า facebook creator เข้ามาช่วย (รายละเอียดเยอะพอสมควร เขียนตรงนี้ไม่จบแน่นอน แต่ให้รู้ไว้ก่อนว่าทำได้ครับ)
7.twitter
นี่คือ social media ที่ถือว่า กระจายข่าวสาร และ ติดตามข่าวสารได้เร็วมาก แทบจะ real time เลยทีเดียว ส่วนใหญ่เราใช้ twitter ในการติดตามเทรนด์ใหญ่ๆ ในสังคม
ดังนั้น ส่วนใหญ่ จึงมักเป็นเรื่อง ข่าวใหญ่ ข่าวร้อนแรง การเมือง เรื่องดราม่า รถติด ไฟไหม้ น้ำท่วม
twitter จะมีรายงานอย่างรวดเร็วมากๆ
แต่ twitter ก็ขายของได้เช่นกัน แต่ต้องนำเสนอให้ถูกต้อง ถูกกลุ่ม
เพราะคนที่ใช้ twitter ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม gen Y
ที่เห็นขายแล้วประสบความสำเร็จ ก็คือ เครื่องสำอาง ขนม ของกินเล่น cafe ร้านกาแฟ ร้านอาหาร
ปลtwitter ก็ยิงแอดได้นะครับ แต่ผลตอบรับ จะขึ้นกับ content เป็นหลัก ถ้าทำได้ดี ยอดขายจะตามมา แต่ถ้า content ไม่ดี ทำให้ตาย ก็ไม่ขึ้นอย่างแน่นอน
และทั้งหมดนี้คือ แนวคิดบางส่วน
ของการปรับตัวใช้ออนไลน์ ยังไง แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง!
จะเลือกใช้ facebook หรือ LINE ทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขายดี!! คำถามนี้ มีคำตอบ
จะเลือกใช้ facebook หรือ LINE
ทำการตลาดออนไลน์
เพิ่มยอดขายดี!!
คำถามนี้ มีคำตอบ
มี inbox หนึ่ง ได้สอบถามผม เกี่ยวกับเรื่องการตลาดออนไลน์ว่า
“จะใช้ facebook หรือ line oa ดีนะ จะเริ่มยังไงดี สับสน!”
.
คำถามนี้ ผมว่าคลาสสิก และ น่าจะเป็นประโยชน์
เพราะผมเองใช้ทั้งสองตัวนี้ ในการทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขาย
ให้กับตัวเอง และ เจ้าของกิจการหลากหลายแบบ
.
หากใคร สับสนอยู่ ให้คิดแบบนี้ครับ
.
1.หาลูกค้าใหม่ ให้ใช้ facebook
.
การหาลูกค้าใหม่ ให้กับธุรกิจของเรา
ต้องยอมรับว่า เครื่องมือของ facebook นั้น ยังทำได้ดี และยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากๆ เพราะ facebook เก่งในเรื่องการเก็บข้อมูลแบบ BIG DATA จากคนทั้งโลก
.
ดังนั้นกลุ่มความสนใจที่มีให้เรามาเลือกใช้งาน จึงถือว่าแม่นมาก
(แต่คุณต้องเข้าใจ พฤติกรรมผู้บริโภคด้วยนะครับ)
.
คนใช้ facebook เพื่อเข้าไปอัพเดทเรื่องราวใหม่ๆ ต่างๆ มากมาย ผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเอง
และโฆษณาที่ปรากฏในหน้า feed ของลูกค้า ก็เป็นสิ่งที่ลูกค้า ยอมรับได้ ไม่เบื่อ
.
แต่จะสนใจหรือไม่ ขึ้นกับการเขียน Content
ซึ่งต้องประกอบด้วย
A. ภาพที่ฮุก สะดุดสายตา
B. caption ที่โดดเด่น และ ดึงให้คนที่มีปัญหา หรือกลุ่มเป้าหมายของเรา ต้องอ่าน
.
ประกอบกับการส่งโพสต์นี้ไปหาลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
จะทำให้โฆษณาประสบความสำเร็จ!!
.
- เก็บลูกค้าเก่า เอาไว้ใน LINE Official
.
ต่อเนื่องจากการหาลูกค้าใหม่ ผ่าน facebook
เมื่อได้ลูกค้าเข้ามาทัก ผ่าน facebook แล้ว คุณต้องเก็บข้อมูล
ลูกค้าเอาไว้กับตัว ให้มากที่สุด
.
เพราะการทำธุรกิจ ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น
- รายชื่อลูกค้า
- เบอร์โทรลูกค้า
- อีเมล์ลูกค้า
- ไลน์ของลูกค้า
.
นี่คือ asset หรือสินทรัพย์ ในการดำเนินธุรกิจเลยครับ
.
รายได้ที่มั่นคง และ ต่อเนื่อง มักจะมาจากลูกค้าเก่าเสมอ ไม่เชื่อลองไปเช็คดูได้
.
อย่ามองหาแต่คนใหม่ๆ แต่ต้องรักษาและคุยกับคนเก่าให้ได้นานที่สุด
.
การเก็บข้อมูลเหล่านี้ ทำได้หลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็น
A.จดใส่กระดาษ
B.เก็บไว้ใน excel file
C.เก็บไว้ใน Google Sheet
.
แต่สำหรับผมแนะนำ Google Sheet ครับ เนื่องจาก ข้อมูลจะถูกเก็บเอาไว้บนระบบ cloud ไม่หายไปไหน. สามารถแชร์ให้คนอื่นๆ เข้ามาช่วยแก้ไข หรือ ดูข้อมูลได้ เหมาะมาก สำหรับการทำธุรกิจ
.
อีกทางหนึ่งในการเก็บข้อมูลลูกค้า ที่สำคัญ ก็คือ LINE Official Account ครับ
เพราะ คนไทยใช้ LINE ในการสื่อสาร ใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือไปแล้ว
.
ข้อดีของการใช้ LINE Official Account ติดต่อกับลูกค้าเก่า คือ
- หาได้ง่าย คุยกันสะดวก เร็วๆ
- ติดป้ายกำกับ ลูกค้าแต่ละคนได้ ว่าเป็นลูกค้าที่เคยคุยกันแบบไหน
- เขียนโน้ตกำกับแยกแต่ละคนได้ ช่วยให้ หาข้อมูลได้สะดวก เอาง่ายๆ เช่นเบอร์มือถือ วันเกิด แบบนี้ หาได้เร็วมาก ไม่ต้องมานั่งไล่ดูจากช่องแชท
- การบรอดแคสท์ไปหาลูกค้าเก่า ทุกคนสามารถ ทำได้ และทั่วถึง มี 100 ส่งครบ 100 มี 10,000 ส่งครบ 10,000 ซึ่งต่างจาก facebook ที่มี ติดตาม 10,000 จะเข้าถึงประมาณ 1 % เท่านั้น
. - เคล็ดลับหาลูกค้าคุณภาพ จาก facebook ไปเก็บใน LINE
.
อันนี้คือเทคนิค ที่ผมใช้งานจริง แล้วได้ผลจริง
มีคนคุณภาพ เข้ามาเพิ่มใน LINE Official Account แล้วขายของต่อได้เรื่อยๆ
.
ให้ใช้เทคนิคนี้ครับ
.
ติดลิงค์ LINE Official Account ไว้ที่ greeting message ของ inbox เพจ อยู่เสมอ เพราะหากคนที่สนใจ เวลาทักมาใน inbox แล้ว ต้องการใช้งาน หรือ อยากได้สินค้าเราจริงๆ จะ แอดไลน์มาทันที นี่แหละ คนที่เราต้องการจริงๆ
แถมให้
สำหรับกิจการออฟไลน์ แนะนำ ให้ติดตั้ง QRcode ไว้ในร้านของตัวเอง แบบนี้ก็จะเพิ่มคนได้ เช่นกัน แต่ที่เด็ดกว่า ก็คือ คนที่สะสมแต้ม หรือ รับคูปอง อันนี้น่าสนใจกว่า เพราะคนเหล่านี้ คือคนที่เอาเงินใช้จ่าย ซื้อสินค้าของเรา คนเหล่านี้ คือกลุ่มคนที่มีศักยภาพจริงๆ
.
ซึ่งหากใครขายของออนไลน์ ก็ใช้เทคนิคนี้ได้ ด้วยการแปะ qrcode เพิ่มเพื่อนไปใน กล่องสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่ยังไม่เคยแอดไลน์เรา ได้แอดไลน์ เพื่อแลกกับคูปองส่วนลดซื้อของในราคาพิเศษ อันนี้ก็จะได้คนคุณภาพจริงๆ ครับ
.
และทั้งหมดนี้ ก็คือ แนวทางเบื้องต้น เป็นน้ำจิ้ม สำหรับทุกคนที่สงสัยว่า
จะเลือกใช้ facebook หรือ line ในการทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขายดี!
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน เพราะวิกฤติ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน เพราะวิกฤติ
งานประจำมั่นคง
งานประจำนั้นดี มีรายได้แน่นอน
คำพูดเหล่านี้ ไม่ผิดเลยครับ
เพราะผมก็เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อนเหมือนกัน
ตื่นเช้าไปทำงาน ไปประชุม คุยงานกับน้องๆในทีม
ทำงานแบบทุ่มเท กลับบ้านดึกดื่น
เวลาจะให้กับครอบครัวนั้น เหลือเป็นศูนย์
แต่มีรายได้เลี้ยงชีพ ให้ตัวเองกับครอบครัว ไม่ขัดสน
แต่ว่ายังไม่มีเงินเก็บ
ที่เขียนมาทั้งหมด นี้ ไม่ได้จะบอกว่า ให้ทุกคนออกมาจากงานประจำ อย่าไปทำเลย
ไม่มั่นคง ไม่ดี กระโดดออกมาทำงานของตัวเอง เป็นนายตัวเองกันเถอะ
“ไม่ได้บอกแบบนั้นนะครับ”
ทุกวันนี้ มีงานประจำนั้นดี แน่นอน เพราะรายได้สม่ำเสมอแน่นอน
หากมีงานทำ ให้ทำงานนั้นไป
แต่สำหรับสภาพเศรษฐกิจที่ ทุกคนต้องเอาตัวรอดกันให้มากกว่านี้
รายได้ทางเดียว ไม่น่าจะใช่คำตอบ อีกต่อไปแล้ว
หลายคนรู้คำตอบนี้ดี แต่คิดไป คิดมา สุดท้าย ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
แล้วก็กลับไปตั้งมั่น ตั้งใจกับการทำงานประจำ 100% ดังเดิม
ในฐานะที่ผมเคยเป็นคนมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับงานแบบเกิน 100
ขอแชร์ประสบการณ์ ให้ฟังแบบนี้ครับ
การทุ่มเทให้องค์กรแบบเต็มที่นั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะทำให้องค์กรเติบโตต่อเนื่อง
แต่คุณควรต้องให้เวลา กับการเติบโตของตัวเองด้วย
เพราะเราไม่ได้อยู่กับบริษัทไปตลอดชีวิต ถึงจะนานจนถึงเกษียณ แต่นั่นก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
ผมไม่ได้อยู่ถึงวัยเกษียณครับ
เพราะบริษัทมีการปรับองค์กร ให้ไปต่อได้
บริษัทให้ผมออก พร้อมค่าชดเชย ที่เหมาะสม เพราะหลังจากที่ แจ้งให้ผมรู้
อีก 1 วัน ผมก็ไม่ต้องมาทำงานอีกต่อไป
สายฟ้าแลบสุดๆครับ
ใจมันนึกถึง ตอนที่พ่อจะเกษียณ ยังรู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือนจะ ไม่ได้ทำงานแบบนี้อีกแล้ว
ของผมเร็วกว่ามาก เพราะพรุ่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
หากเป็นคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันกับผม ก็คงจะตกใจ
จิตหลุด ลอยๆ นึกอะไรไม่ออกแล้ว
เพราะไม่รู้จะไปสมัครงานต่อที่ไหน แล้วใครจะรับเราเข้าทำงานมั้ย ฐานเงินเดือนแบบนี้ อายุแบบนี้ บริษัทที่ไหนจะรับ
แต่ผมรู้สึกแตกต่างไป
เพราะอะไรหรือ?
นั่นเป็นเพราะผมเตรียมตัวเอาไว้แล้ว ล่วงหน้ามา 2-3 ปี
และนี่คือที่มาของ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน
ลองอ่านกันนะครับ จากประสบการณ์ ของคนเคยทำงานประจำ และต้องออกจากงาน
- ปรับ mindset
ถ้าไม่มีข้อนี้ ข้ออื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
เพราะคุณจะต่อต้าน ทุกอย่างที่ คุณไม่เคยมาก่อนเลย
คุณจะต้องมี growth mindset ไม่ใช้ fixed mindset
กล่าวเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คือ ต้องคิดบวก มองทุกเรื่องว่ามันเป็นไปได้
อันนี้ ผมก็ต้องปรับใจอยู่นานพอสมควร เพราะผมคิด มองหากรณีที่เลวร้ายที่สุดมาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต จนไม่สนใจ ไม่เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ เลย แบบนี้เราเรียกว่า fixed mindset
วิธีคิดง่ายๆ ก่อนเลยก็คือ ให้มองว่า ทุกปัญหามีทางออก มากกว่า 1 เสมอ / ถ้าล้มเหลว ก็คือการได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด และจะไม่ทำมันอีก / ให้อภัยตัวเอง แล้วไปทำสิ่งที่ดีกว่าเดิม / หยุดจมกับความเจ็บปวดจากการทำผิดพลาด
คิด และ ทำเรื่องนี้พวกนี้บ่อยๆ จนกลายเป็นธรรมชาติ
2.พัฒนาตัวเอง
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
คำนี้ยังดีเสมอ เพราะการเรียน ไม่จำเป็นต้องหยุด หลังจากที่คุณรับปริญญามาแล้ว
ศึกษาในเรื่องที่จะทำให้คุณเก่งขึ้น หรือ มีความเชียวชาญมากขึ้นในด้านที่คุณชอบ
ชอบพูด ไปเรียนพูดเลย
ชอบ digital marketing ไปเรียนเลย
ชอบทำอาหาร ไปเรียนทำอาหารเลย
การลงทุนที่ดีที่สุด
คือการลงทุนเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
แต่ทุกการลงทุน ในการเรียน ควรจะต้องคืนอะไรกลับมาให้กับตัวเรา
อย่างน้อยๆ ก็ขอให้เก่งกว่าเมื่อวาน ไป 1 ขั้น เท่านี้ก็พอใจแล้ว
การพัฒนาตัวเอง ที่ดีนั้น
ควรจะต้องเป็นเรื่องที่ คนหมู่มากต้องการแก้ปัญหา หรือมีคนที่รอให้เราไปช่วยเหลือ
โอกาสทำเงิน สร้างรายได้ จะมาหาเราได้ไม่ยาก
3.ลงมือทำ
การเรียนรู้ในข้อ 2 จะมีค่าเท่าเดิม หากคุณไม่ได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ
จะเรียนไปสักแสน สักล้านบาท
จะไปเรียนกับสุดยอดอาจารย์ หรือ สุดยอดเคล็ดวิชาใดๆ
แต่ไม่ได้ลงมือทำ
ก็มีค่าเท่ากับก่อนไปเรียนแน่นอน
ดังนั้นเมื่อเรียนแล้ว ลงมือทำ จะผิดพลาดไปบ้าง อย่างน้อยก็จะได้จำเป็นประสบการณ์
แล้วครั้งต่อไป จะผิดพลาดน้อยลง
การลงมือทำบ่อยๆ จะทำให้คุณทำเรื่องนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ได้เคอะเขิน หรือ เป็นเรื่องประหลาด ความตื่นเต้นในการทำ จะเข้าใกล้ศูนย์ทันที
ดังนั้น เรียนรู้แล้ว ต้องลงมือทำครับ
จะขายของออนไลน์
จะถ่ายภาพ ลง shutter stock
จะลงทุนในหุ้น อสังหา หรือ เทรด forex
จะทำคอร์สออนไลน์
ทำได้เลย ตั้งแต่ตอนทำงานประจำ
อย่ารอให้ไม่มีงานประจำ แล้วลุกขึ้นมาทำ
คุณต้องหาเงิน ตั้งแต่วันที่มีเงินอยู่
ไม่ใช่ไปทำตอนไม่มีเงิน วันนั้นคุณจะคิดไม่ออกเลย!!
ถ้าไม่อยากตกใจแบบสุดขีด ในวันที่คุณถูกบอกเลิกจ้างงาน
ในภาะที่เศรษฐกิจ ต้องเอาตัวรอดกันแบบสุดๆ ในวันนี้
ให้นึกถึง 3 สิ่งนี้เอาไว้ดีๆนะครับ
และทั้งหมดนี้คือ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน
เปิดร้านอาหาร อยากทำออนไลน์ เพิ่มยอดขาย! เริ่มต้นยังไงดี
แม้เศรษฐกิจ จะเป็นยังไง
แต่เรื่องการกิน มันต้องมี อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
ดังนั้น ต่อให้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
อาหารการกิน ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ดี
ถ้าใครทำร้านอาหารอยู่ มาฟังแนวคิด การตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายกันทางนี้เลยครับ
(ใช้ได้ทั้งแบบ มีหน้าร้าน หรือไม่มีหน้าร้านนะครับ เลือกใช้ตามความเหมาะสม)
google my business
หรือแผนที่สำหรับร้านคุณ ใน Google maps
เวลาคนเราจะหาอะไรกินแล้วต่างถิ่นต่างที่ สิ่งที่ควรจะเปิดหาก่อนเลยก็คือ Google Map เพราะนอกเหนือจากการบอกเส้นทางไปร้านอย่างถูกต้องแล้ว มันสามารถจะบอกได้ว่าร้านอาหารไหนที่น่าสนใจมีคนไปกินมากน้อยแค่ไหน มีภาพให้เห็น มีข้อมูลเบอร์โทรให้เราได้ติดต่อไปสอบถามว่าเปิดหรือเปล่า
สิ่งที่จะทำให้คนตัดสินใจว่าจะไปกินหรือไม่ นั่นคือจำนวนรีวิวและจำนวนดาวที่แสดงไว้ ถ้าคนชมเยอะๆก็พร้อมจะไปกินทันที แต่ในทางกลับกันถ้าดาวน้อยๆก็ไม่อยากจะไป
ดังนั้นเจ้าของร้าน ต้องเอาใจใส่ให้ดีนะครับหากใครมีพิกัดอยู่ใน Google Map และจะดีไปมากยิ่งขึ้นหากคุณทำการยืนยันความเป็นเจ้าของ ให้เรียบร้อย (เรียกว่า verify google my business)
เพราะคุณจะเห็นว่าคนมาที่ร้านเวลาไหน แล้วค้นหาคำว่าอะไรถึงจะเจอร้านคุณ
location based application : wongnai / trip advisor
นอกเหนือจาก Google My Business แล้ว Application ที่คนใช้หาร้านอาหารก็คือ wongnai แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวแล้ว จะเชื่อ tripadvisor มากกว่า
ดังนั้น การมีเนื้อหาที่ update การเข้าไปพุดคุยกับคนที่มารีวิวร้านผ่าน app wongnai จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากจะปรับเปลี่ยนข้อมูลของร้านคุณภายในนั้นด้วยตัวเอง จะต้องจัดการผ่านระบบ rms หรือ Restaurant management system ซึ่งเป็นของ wongnai เอง
ข้อดีก็คือ คุณสามารถปรับเปลี่ยนเมนู เพื่อใช้ร่วมกับ line man delivery ได้ด้วย
Delivery Application :
นี่คือทางรอดของร้านอาหารทุกร้าน เว้นแต่ว่าร้านคุณขายดีมากๆจนทำไม่ทัน
แต่อย่างไรก็ตามแม้แต่ร้านขายดีเขาก็ยังต้องใช้บริการเดลิเวอรี่อยู่เสมอ
เพราะลูกค้าไม่อยากมานั่งรอที่ร้าน ขอสั่งผ่าน App ดีกว่า
ขนาดร้านที่ขายดีๆเขายังใช้ แล้วร้านคุณทำไมถึงจะไม่ใช้บ้างล่ะ
ในบ้านเรามีเดลิเวอรี่อยู่มากมายหลายเจ้า แต่ละรายก็จะมีเงื่อนไขในการใช้งานแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น LINE MAN / get / food panda / grab food
แต่ถ้าพูดถึงความง่าย และ ความสะดวก ผมก็ยังยกให้ LINE MAN มาเป็นเจ้าแรก สำหรับ GET ตอนนี้ กำลังวุ่นวาย ยังไม่สามารถรับร้านค้าเข้าไปร่วมได้ ทั้งหมด ให้เวลาเค้าหน่อย / grab food ก็จะมีการเก็บค่า % ที่มากขึ้น แต่ข้อดีก็คือ ลูกค้าที่ไม่มีเงินสดเลย สามารถใช้ grab pay ที่ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตสั่งอาหารได้ / ส่วน foodpanda นั้น คลาสสิกสุดๆ ต่างจังหวัดโดนยึดพื้นที่ไปเยอะแล้ว
ยังไม่นับรวมเจ้า delivery ท้องถิ่นในจังหวัดใหญ่ๆ อย่าง นครปฐม ชลบุรี หรือ ฉะเชิงเทรา (เท่าที่ทราบนะครับ) ก็น่าสนใจ น่าเข้าร่วมครับ
Line OA : Line Official Account
สำหรับร้านอาหารกรณีของการยิงบรอดแคสท์ อาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไปแล้ว เลยอยากให้มาโฟกัสฟังก์ชั่นที่เพิ่มยอดขายได้เต็มที่นั่นคือ
- บัตรสะสมแต้ม
สมัยนี้ ลูกค้าประจำ คือคนที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างสม่ำเสมอ อีกหนึ่งเทคนิคก็คือ การทำบัตรสะสมแต้ม จะทำให้ลูกค้าได้สนุกกับการสะสมคะแนน แล้วได้รับรางวัลกลับไป จะเล็กน้อย ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมกับร้านมากขึ้น คิดถึงร้านมากขึ้น ที่สำคัญไม่เปลืองกระดาษ เจ๋งตรงนี้ - คูปอง
หากต้องการหาลูกค้าใหม่เข้าร้าน การให้ promotion หรือส่วนลด เพื่อมากินครั้งแรก ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าทำ ขอให้แค่มาลอง ถ้าชอบก็กินต่อได้ กลายเป็นลูกค้าประจำกันต่อไป ดังนั้น
หรือจะใช้ต่อยอดกับลูกค้าเก่าก็ได้ เช่นให้สิทธิ์ซื้ออาหารเพิ่มในราคาพิเศษ หากกินครบ xxx บาท สำหรับคนที่มีคูปองนี้ ถามว่า จะแจกในร้านก็ทำได้นะครับ แต่ถ้ามีคูปอง เราก็จะสามารถเรียกลูกค้า ที่อยู่ไกลๆ เดินทางมารับสิทธิ์ ที่ร้านเราได้ นี่แหละ คือความสำคัญของคูปอง
Facebook group
สมัยนี้ ถ้าคนจะคุยกัน ส่วนใหญ่ จะไม่ได้เข้า pantip แต่จะเลือกใช้ facebook group เพื่อคุยกันมากกว่า เพราะถูกจัดหมวด จัดกลุ่ม ได้ยิบย่อยตามความต้องการ
และกลุ่มอาหารการกิน เครื่องดื่ม ก็เป็นชุมชน ที่เราสามารถเอาร้านอาหารไปแนะนำ หรือ นำเสนอได้ แต่ต้องระวังเรื่องกฏในการโพสต์ให้ดีๆ โพสต์ถี่ นอกจากคนจะเบื่อ ก็ระวังจะโดนข้อหา spam เอาได้ง่ายๆ
Fanpage + Facebook ads
เครื่องมือที่ทรงพลัง และใช้งานง่ายที่สุด ในสมัยนี้ ก็คือ การเปิดเพจ เพราะ update ได้ง่ายผ่านมือถือ ถ่ายรูป ถ่ายคลิป โพสต์ข้อความ ทำกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่ถ้าจะให้คนเห็นได้มากขึ้น ก็ต้องยิงแอด หรือ ทำโฆษณาโปรโมตโพสต์ นั่นเอง
สำหรับร้านอาหาร ถ้าทำง่ายๆ ก็คือ โปรโมตให้คนรอบๆ ร้านของเรา ได้เห็นว่าร้านเราอยู่ตรงไหน ขายอะไร แล้วอยากมากินนั่นเอง (ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว)
twitter
สำหรับสายคาเฟ่ เครื่องมือที่ทรงพลังในการทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักมากที่สุด ก็คือ twitter นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่พลังนี้จะไปอยู่กับ blogger และ influencer สาย twitter เพราะจะเข้าใจการสื่อสารกับคนวัยเดียวกันมากกว่า เพราะการพูด จะแตกต่างไปจาก facebook โดยสิ้นเชิง / แต่คำสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ภายใน 1 นาทีนี้แหละ ที่จะดึงให้คนมาหาร้านเราได้มากขึ้น
การใช้ twitter ทำให้คนรู้จัก จะต้องไปผูกสัมพันธ์ กับเหล่า influencer ไว้เยอะๆ เชิญมากิน หรือ จะจ้างมาถ่ายทำ ก็แล้วแต่พิจารณา
Instagram
สื่อที่สร้างอารมณ์ ให้คนเห็นแล้วอยากไปใช้บริการ ก็คือ Instagram นั่นเอง สื่อนี้ ถ้าร้านอาหาร มีความสามารถในการถ่ายทอดภาพ ก็ใช้เครื่องมือนี้ได้เลย
ถ้าภาพสื่ออารมณ์ให้คนอยากกิน อยากไปสัมผัส ก็จะทำให้คนมาใช้บริการมากขึ้นอย่างแน่นอน
TikTok
เครื่องมือใหม่ ที่เข้าใจง่ายๆ เพราะใช้เวลาไม่นาน เพลงประกอบก็สนุกสนาน และล้วนแต่เป็นเพลงดังๆ ยิ่งประกอบกับ ไอเดียของเหล่าคนสร้างเนื้อหาใน tiktok ยิ่งสนุกมากขึ้น
ถ้าร้านไหน เก่งเรื่องแบบนี้ จะลองสร้าง account tiktok แล้วถ่ายทอดความน่ากินของอาหารตัวเองได้ครับ แต่ถ้าไม่ถนัด ก็เชิญ influencer สาย twitter มากินอาหารที่ร้านได้
นี่คือไอเดียบางส่วน ของการใช้ Online Marketing มาช่วยทำให้ยอดขายร้านอาหารของคุณเพิ่มมากขึ้น
ลองนำไปใช้งานกันได้นะครับ
ถ้าใครอยากรู้ลึกๆ หรือละเอียดมากขึ้นกว่านี้
ผมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
สภาพเศรษฐกิจ ที่มีแต่คนบอกว่าแย่ๆ ในทุกปี
ข่าวของโรงงานยักษ์ใหญ่ที่ถูกปิด
ข่าวที่พนักงานเป็นจำนวนมาก ไปรอหน้าโรงงานแล้วเจอกระดาษแปะว่า ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
ภาพข่าวเรื่องไวรัส ที่ทำให้คนเจ็บป่วยระบาดรุนแรง
ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบในวงกว้าง ไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นคุณเอง จะเลือกทำอะไร ระหว่าง
รอให้เศรษฐกิจแย่ไปเรื่อยๆ แล้วไม่ทำอะไร อ่านข่าวแล้วใจฝ่อไปทุกวัน
หรือ มองหาทางเลือกอื่นๆ ที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น หลายทาง ไม่รอความหวังจากแหล่งเดียว
เมื่อไม่นานมานี้ มีข้อความใน inbox จากน้องคนหนึ่ง ได้มาปรึกษาผมครับ
ว่าอยากขายของกินออนไลน์ และอยากขายไปทั่วประเทศ
จะต้องทำอย่างไรดี
ผมว่าเรื่องนี้ น่าสนใจดี
เพราะส่วนใหญ่ คนมักจะเลือกไปขายครีม ขายยา ขายอาหารเสริมกันซะมาก
จนลืมไปว่า ของกินเนี่ย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆ
เพราะทุกคนเกิดมาต้องกินอยู่แล้ว
มีมื้อหลัก ก็ยังมีมื้อย่อยๆ ได้
แล้วถ้าเป็นอาหารที่กินกับข้าวได้ อันนี้ ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่
เพราะว่ามันจะหมดเร็ว และซื้อซ้ำได้ (ถ้าอร่อยจริง อันนี้สบายไปเลย)
เลยอยากจะแชร์ แนวคิดการทำการตลาดออนไลน์ สำหรับของกิน ที่ส่งได้ทั่วประเทศ
ขอแบ่งเป็นแบบนี้ครับ
ไปรับมาขาย
แบบนี้ เหมาะสำหรับคนที่จะลองเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อน ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมาก คนที่มีงานประจำก็สามารถทำได้ เครื่องมือที่เราจะใช้ทำการตลาด ก็คือ เฟสบุ๊คส่วนตัว ของเรานี่แหละครับ แต่คุณควรจะต้องเป็นคนที่ สื่อสารกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลานะครับ
ไม่ใช่เฟสบุ๊คอวตาร ที่มีท้องฟ้า การ์ตูน แล้วเอาแต่บ่นๆๆ เรื่องชีวิต รอคนมากดไลค์ หรือ ให้กำลังเพียงอย่างเดียว
ถ้าเฟสบุ๊คคุณมี ภาพการใช้ชีวิตประจำวัน ไปไหนมาไหน มีเพื่อนฝูง comment ติดตาม แบบนี้ ก็พอไปรอดอยู่ครับ เอา
ยังไม่ต้องยิงแอดอะไรเลย ใช้ตัวเรา และต้นทุนของเราซื่อๆเลย
แต่ต้องมั่นใจว่า ของนี้ มันน่ากินจริงๆ แค่โพสต์ ก็มีคนอยากกินแล้ว
ถ้ากลัวว่าจะไม่มีเงินไปลงทุน
ก็ให้ใช้วิธีการแบบ preorder เอ้า ใครอยากกินอันนี้ บอกมา เดี๋ยววันจันทร์ จะเอามาขาย
ถ้าทำแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้อง ออกเงินไปซื้อของมาก่อน เพราะรู้จำนวนที่แท้จริงว่า เท่าไร
ถ้าไม่มีใครสั่ง ก็ไม่ต้องเอามาขาย จบ
ลองทำแบบนี้นะครับ
เริ่มจากเพื่อนใกล้ตัว ที่ทำงาน ก่อนก็ได้
หรือจะไปโพสต์ลงในเฟสบุ๊คกลุ่ม ที่เขาอนุญาต ก็ได้ แต่เราจะต้องมีความน่าเชื่อถือมากพอ และไม่ทำตัวเหลวไหล เนื่องจากในกลุ่ม จะมีกฏระเบียบข้อบังคับ หลายอย่าง ต้องทำตัวให้ดีๆ
หรือจะไปลงใน Market place ก็ได้ แถมยังสามารถทำโฆษณาได้แบบง่ายๆ ตามพื้นที่ได้ด้วย เพื่อเพิ่มการมองเห็น อันนี้ เหมาะสำหรับมือใหม่มากๆ ครับ ลองดูไม่เสียหาย
แต่ถ้าเราชำนาญมากขึ้น มีส่วนต่างมากพอ จะไปเปิดเพจ เพื่อขายเป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ แต่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะต้องไปลงทุนเรื่องการทำ content เนื้อหา และการยิงแอดเพิ่มเติม
หากไม่ถนัดเรื่องการยิงแอด ก็สามารถไปสมัครขายใน shopee ได้ แต่จะมีค่าธรรมเนียมขายของเมื่อมีคนมาซื้อ สิ่งที่ควรศึกษาหากจะลงมือทำ shopee ก็คือ การเตรียม stock สินค้า และค่าขนส่ง ซึ่งต้องคำนวณให้ดี ไม่งั้นเข้าเนื้อตัวเอง
ทำขายเอง
ถ้าเป็นคนที่ทำธุรกิจของกิน ก็มักจะมีการลงทุน ลงแรง เพื่อสร้างผลกำไรอยู่แล้ว
ดังนั้น ประสบการณ์ของคุณ น่าจะผ่านจุดที่ไปรับของมาขายไปเยอะแล้ว
อันดับแรก ให้เช็คเรื่องกำไรสินค้า ว่ามีส่วนต่างมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ประมาณการณ์ ได้ว่า เราควรมีต้นทุนเท่าไร ในการทำโฆษณา ขนส่งสินค้า
ส่วนเครื่องมือที่จะใช้ แนะนำว่า ถ้าถนัดเรื่องการทำเนื้อหา การยิงแอด ก็ให้เลือกใช้เพจในการทำการตลาดครับ
เนื้อหาที่ใช้ในการขายของ จะต้องทำให้คนเกิดความอยาก ที่จะซื้อสินค้าของเรา
ถ้าจะมาจัดห่อสวยงาม วางสวยๆ แบบนี้ เหมือนโฆษณาเกินไป
สิ่งที่ควรทำ คือ ให้นึกถึงตอน ที่เราทำกับข้าว หรือ กินข้าว ภาพแบบไหน เสียงแบบไหน ที่ทำให้เรารู้สึกอยากกินจนน้ำลายสอ
ให้เอาประสบการณ์นั้น มาถ่ายทอด ให้คนดูโฆษณาของเรา อยาก แล้วมาสั่งของกินกับเรา
ลองดูทั้งแบบภาพ และ video
แต่ถ้าอยากรู้ว่า video ที่ทำออกมาแล้ว น่ากินเป็นยังไง ให้ไปเปิด tiktok แล้ว search คำว่า อร่อย น่ากิน คุณจะเจอไอเดีย ทำ content น่ากินเพียบ ส่วนใหญ่ ทำออกมาแล้วน่ากิน คือคลิปคนจีนกินอาหารครับ
และถ้าอยากสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าประเภทของกิน ที่ดูจะเหมือนกันไปหมด
การสร้างแบรนด์ คือสิ่งสำคัญ
การให้ Blogger มาช่วยรีวิว ก็จะสร้างกระแสให้คนจำได้ว่า ถ้าอยากกินของแบบนี้ ต้องเลือกกินยี่ห้อ นี้ เพราะว่า มันอร่อย กำลังดี พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างไร
ถ้าดีที่สุด มีงบ ก็ควรจ้าง Blogger ประเภท youtuber หรือคนที่มีเว็บไซต์ด้วย เพราะเวลาคนหาชื่อแบรนด์ของเรา รีวิวในนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเราในระยะยาว
แต่ถ้าสินค้าเข้าใจง่าย จนแทบไม่ต้องบอกอะไรมาก การใช้ shopee ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนี้ จิ้มซื้อของผ่านแอพนี้กันเป็นเรื่องปกติ เพราะมีระบบ แจ้งสถานะ ชัดเจน ว่าส่งถึงเมื่อไร
สิ่งสำคัญในการขายผ่าน shopee ก็คือคะแนนดาว รีวิวจาก User ดังนั้น ซึ่งหากอยากทำคะแนนนี้ ให้ได้สูงๆ ตัวสินค้า และบริการจะต้องประทับใจมากๆ
และทั้งหมดนี้คือ ไอเดียโดยรวม ที่ทำให้คุณเห็นภาพของการขายของกินทั่วไทย ผ่านออนไลน์
หากวันนี้ อยากเริ่ม
ลองดูสักตั้งครับ
ดีกว่านั่งรอดูสัญญาณเศรษฐกิจพังไปทุกวัน ให้ใจห่อเหี่ยวไปเปล่าๆ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน
ในยุคที่ใครๆ ก็บอกว่า การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ
หนังสือ คอร์สออนไลน์ สัมมนา ทั้งฟรี หรือ ไม่ฟรี
คือสิ่งที่เราซื้อ เก็บไว้
เรียนๆๆ ชื่นชอบ เฮฮา ไฟลุกพรึบ!!!
อันนี้ คือความสุขของการได้เรียนจริงๆ ครับ
ผมเองก็ผ่านการเรียนรู้ มาหลากหลายประเภทมากครับ
การพูด การเขียน การทำโฆษณา การตัดต่อ การทำเว็บ
การยิงแอดเฟสบุ๊ค การยิงแอด google
อ่านหนังสือ twitter / line@ / instagram
google analytics / wordpress
มากมายหลายหลาก คณานับ
แต่จะมีความรู้ที่เกิดผลลัพธ์ได้จริง
ก็ต่อเมื่อ ได้ลงมือทำ
หากเรียนรู้แล้ว ได้ลงมือทำบ่อยๆ
เราจะเจอข้อเท็จจริง เจอข้อมูลที่ไม่มีในหนังสือ หรือ ตำราใดๆ
เป็นการค้นพบสูตรลับ อย่างแท้จริง (เพราะยังไม่มีใครเขียนไว้)
เพราะขนาดอะไรที่ไม่ค่อยได้ทำ
ยังต้องกลับไปเปิดตำรา หรือ สิ่งที่ตัวเองโน้ตเอาไว้ อีกรอบ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นะครับ
(สบายใจได้ครับ อันนี้คือเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด ถ้าคุณจะลืมไปบ้าง เพราะไม่ค่อยได้ทำ หรือเรียกกันว่า คืนครู ไปหมดแล้ว)
ดังนั้น คำพูดที่กล่าวว่า
“เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน”
จึงเป็นเรื่องจริง 100%
เรียนแล้ว ลงมือทำนะครับ
เงินที่จ่ายไป จะได้เป็นการลงทุน
ไม่ใช่ ค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน ที่หายไป กับกาลเวลา…
เปิดร้านขายยา อยากเพิ่มยอดขาย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
เมื่อไม่นานมานี้ ได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งครับ
เปิดร้านขายยา อยู่ที่ต่างจังหวัด
แต่อยากจะขยายตลาดออกไป ให้กว้างมากกว่าเดิม
จะทำยังไงดี
จะขายยาผ่านออนไลน์ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะ ผิดกฏหมาย ทำไป ก็มีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้น ทางออกก็คือ ทำยังไง ให้คนรู้จักร้านของเรามากขึ้น
การตลาดออนไลน์ ที่เหมาะกับร้านขายยา ก็คือ การทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จัก
ซึ่งลูกค้ามีสองแบบ นั่นคือ ลูกค้าเก่า กับ ลูกค้าใหม่
ลูกค้าเก่า
คือคนที่รู้จักเราอยู่แล้ว คนที่เคยซื้อยาของเรา มีความเชื่อใจ และกลับมาซื้อบ่อยๆ ได้ การสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ ที่เร็วที่สุด ก็คือ LINE OA บางคน อาจจะบอกว่า ใช้ไลน์ปกติ แอดกันก็ได้นิ ไม่เห็นต้องไปสร้าง LINE OA ให้ยุ่งยาก
ไม่มีปัญหานะครับ แต่ในระยะยาว การใช้ LINE ปกติ หรือ LINE Profile มาทำงาน ก็เหมือนเราเอา ชีวิตส่วนตัว ไปพัวพันกับเรื่องงาน ตลอดเวลา เวลาจะตอบ ก็ต้องตอบเองตลอด ไม่มีใครมาช่วยตอบ
ลูกค้าเวลาทักมา ไม่ได้ดูเวลาหรอกนะครับ ว่าจะทักมาตอนไหน เพราะมีความต้องการเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่สำหรับ LINE OA เราสามารถช่วยกันตอบคำถามลูกค้า ได้มากกว่า 1 คนอยู่แล้ว
คนนี้ไม่ว่าง ก็ให้อีกคนช่วยตอบ หรือ ถ้านอกเหนือเวลาทำงาน เรายังตั้งเวลา ให้ระบบ บอกลูกค้าว่า ตอนนี้ปิดทำการ ให้ฝากคำถามเอาไว้ได้ ทำให้ไม่พลาด เรื่องการสื่อสารกับลูกค้าอย่างแน่นอน
หรือถ้าใครถนัดทางเฟสบุ๊ค ก็สามารถทำได้ สร้างเพจขึ้นมาเลย เพื่อบอกว่า ร้านเราทำอะไร โพสต์ เรื่องราวที่คนทั่วไป ควรรู้ ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับยา การให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย สารพัดเรื่องที่จะเล่า
รวมทั้งการตอบคำถามทาง inbox เพื่อให้ลูกค้า ได้สอบถาม ก่อนจะมาซื้อที่ร้าน ปรึกษาเบื้องต้น หรือ ยาหมด ยาไม่หมด ก็ให้คำตอบลูกค้าไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียเวลา
ลูกค้าใหม่
สำหรับคนทั่วไป ที่มองหาร้านขายยา ส่วนใหญ่ มักจะหาร้านที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ เพราะมีความเร่งด่วน จำเป็นต้องซื้อ ส่วนใหญ่จะเข้า Google แล้วพิมพ์ด้วยคำว่า ร้านยา ตามด้วยพื้นที่ เช่น ร้านยา ลาดพร้าว ร้านยา ห้วยขวาง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ขึ้นมาในหน้า Google ส่วนใหญ่จะมีทั้งบทความ เว็บไซต์ รวมไปถึง เฟสบุ๊คด้วย
แต่ผลการค้นหาที่ขึ้นมาโดดเด่นและชัดเจนสุดๆ ยิ่งกว่าบรรดาลิงค์ต่างๆ นั้นก็คือ ผลการค้นหาใน Google Maps นั่นเอง ซึ่งหากธุรกิจไหนเอาตัวเองไปอยู่ในแผนที่ Google และติดอยู่ในอันดับบนๆ โอกาสที่ลูกค้าใหม่ๆ ที่กำลังหาร้านขายยา ก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
เราเรียกกันว่า Google My Business นั่นเอง
ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้หมุด พิกัดร้านของเรา ค้นหาได้ง่าย นั่นคือ คำค้นหา นั่นเอง
แต่การจะปรับปรุงชื่อธุรกิจใน Google My business ได้นั้น เจ้าของกิจการจะต้องทำการ ยืนยันตัวตนเสียก่อน หรือ การ verify นั่นเอง (ตอนนี้ จะยังไม่ลงรายละเอียดนะครับ)
มองเป็นไอเดีย สำหรับเจ้าของธุรกิจนะครับ
อย่าเพิ่งยึดติดกับ เครื่องมือจนมากเกินไป
แต่ให้มองว่า เราจะไปเจอ ลูกค้าแต่ละแบบของเรา ได้อย่างไร
แล้วเอาตัวเอง ไปอยู่ที่จุดนั้น
เครื่องมือทางการตลาดจึงค่อยตามมาภายหลังครับ
เพราะการตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีแค่เฟสบุ๊คอย่างเดียว 😉
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เพิ่มยอดขายร้านอาหาร 3 เท่า แบบไม่ยิงแอด ทำได้แบบนี้
ยุคนี้ ธุรกิจกับการทำโฆษณา ทำการตลาด ถือเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว
การทำโฆษณา มันไม่ใช่ค่าจ่าย แต่คือการลงทุน
เพราะทุกครั้งที่จ่ายไป เราจะได้กลับคืนมา
ไม่ใช่ยอดขาย ก็คือ การรู้จัก
แต่วันนี้ สิ่งที่จะมาแนะนำ คือ อีกหนึ่งวิธี ที่ทำให้เราเพิ่มยอดขาย ด้วยการทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเรา
แม้ไม่ได้ยิงแอด ทำโฆษณาเลยก็ตาม
วิธีนี้ เป็นวิธีที่ผมใช้ได้ผลมาแล้วกับร้านเค้ก ที่ผมช่วยทำการตลาดให้
ทำให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเข้ามาที่ร้านอยู่เสมอ หรือ สั่งเค้กแบบ Delivery เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม! 2 เท่า
อยากรู้ใช่มั้ยครับ
มา มาเลย รับรองว่า คุ้มค่าน่าทำแน่นอน
1. wongnai
นี่คือ application ที่คนไทย ใช้หาข้าวกินเสมอ การที่มีข้อมูลใน wongnai เพิ่มโอกาส ให้ลูกค้าใหม่ๆ ที่มองหาร้านอาหาร มาเจอเราได้ง่ายๆ
ข้อมูลร้านอาหาร นั้น User ใน wongnai มีสิทธิ์เพิ่มเข้าไปได้ทุกคน แต่สำหรับร้านอาหารที่ต้องการเอาจริงเรื่องนี้ แนะนำ ให้ไปอ้างสิทธิ์ เพื่อเข้าไปจัดการ ข้อมูลภายในร้านด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ในการดูแลเรื่อง คนรีวิว เมนูอาหาร รวมทั้งการทำ Delivery กับ line man ในลำดับต่อไป
รวมทั้งเราสามารถจะ ติดต่อ บรรดาคนดังใน app wongnai ที่เรียกว่า wongni elite มารีวิวร้านของเราได้ (แล้วแต่เทคนิคในการติดต่อ)
ที่สำคัญ search ติดอันดับง่ายๆ ใน google มากที่สุด
2. Google my Business
อันนี้คือของฟรี ที่ถือว่าคลาสสิกที่สุด เพราะว่าคนไทย เน้นการหาร้านอาหารใหม่ ด้วยการ search อยู่เสมอ
ที่สำคัญ คนคนหาร้านอาหารจาก Google Maps ดังนั้น ถ้าเรามีข้อมูลในนี้ คนจะตามมาที่ร้านได้ง่ายมาก
การเพิ่มข้อมูลลงใน Maps ของ Google หรือที่เราเรียกง่ายๆว่าการปักหมุด สามารถทำได้ทุกคน แต่สิ่งที่เจ้าของร้านอาหารควรจะทำ นั่นคือการยืนยันธุรกิจบน Google Map
ผมจะไม่ลงรายละเอียดการยืนยันธุรกิจแต่ขอบอกว่า ถ้ายืนยันแล้ว
คุณจะสามารถจัดการ ชื่อร้าน ได้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเจอเรา ด้วย keyword ง่ายๆ เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเค้ก ร้านกาแฟ แล้วตามด้วย ชื่อสถานที่ ที่ร้านเราตั้งอยู่
เท่านี้ ก็หาคนใหม่ๆ มาเข้าร้านได้แล้ว
3. TripAdvisor
สำหรับคนไทย มักจะใช้ google กับ wognnai ในการหาร้านอาหารอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับคนต่างประเทศบางส่วน จะนิยมใช้ tripadvisor ในการหาร้านอาหารใหม่ๆ
เพราะเชื่อรีวิว ที่พูดถึงร้าน เนื่องจากเป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง จึงให้ความเชื่อใจมากกว่า
เจ้าของร้าน สามารถสร้างหมุดได้เอง และยืนยันการเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายๆ ด้วยเบอร์โทรศัพท์ของร้าน
รีบทำเลยครับ เพราะว่าร้านไหน ได้ดาวเยอะ คนรีวิวเยอะ ต่างชาติ จะตามมากินกันเพียบ
4. Food Delivery Application
วิธีนี้ เป็นวิธีที่แตกต่างไปจาก สามแบบก่อนหน้า แต่ว่า เหมาะสำหรับคนที่อยากเพิ่มยอดขาย ด้วยการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างในเชิงธุรกิจ
นั่นคือการลงข้อมูล เป็นพันธมิตรกับ Food Delivery application เอาง่ายๆ เลยก็ประเภท line man / food panda / get / grabfood
เงื่อนไขค่า commission ในแต่ละที่นั้น จะแตกต่างกันไป แต่ข้อดีของการเป็น Partner หรือพันธมิตร ก็คือ สามารถร่วมโปรโมชั่น ค่าส่งถูกชนิดที่ คนกิน กดออเดอร์แบบไม่ต้องคิด
เจ้าของร้านบางคน อาจจะมองว่า โดนหักส่วนแบ่ง แล้วจะดียังไง
ให้คิดแบบนี้ครับ ถ้าคนได้ลองกินอาหารของร้านเราแล้ว เขาชอบ เขาติดใจ ก็จะสั่งอีก แม้ไม่ต้องเดินทางมาที่ร้าน ก็กินอาหารของเราได้ กำไรอาจจะน้อยลงไป แต่ได้คนรู้จักเรามากขึ้น
จะรอแต่คนมากินที่ร้าน ก็อาจจะ ไม่ไหวแล้ว เพราะยุคนี้
นอกจาก ที่จอดรถ การเดินทาง เรื่องฝุ่น หรือเรื่อง ไข้หวัด ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านสักเท่าไร
ลองพิจารณากันนะครับ
แถมท้ายให้นิดๆ แล้วการวัดผลล่ะ?
วิธีการตรวจสอบว่า ลูกค้าใหม่เข้าร้านได้บ่อยแค่ไหน
มันง่ายมากเลยครับ
ใครที่ถามว่า ห้องน้ำไปทางไหน อันนั้นแหละคือลูกค้าใหม๋
เพราะว่า ถ้าขาประจำ เขาไม่ถามแล้ว รู้ทางไปอยู่แล้ว!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
.
หลังจากที่ LINE ได้ออกมาประกาศว่า
จะเปิดให้ User ที่ใช้ LINE OA ได้ลงโฆษณา ได้ด้วยตัวเอง
ทำให้หลายคน ตื่นตัว และอยากรู้ว่า ทำงานอย่างไร
.
ล่าสุด มีข้อมูล Update รายละเอียดการโฆษณาผ่าน LINE ที่มากขึ้นกว่าเดิม
จาก LINE Business โดยตรงจากลิงค์นี้
ทำความรู้จัก LINE Ads Platform และ 4 เหตุผลที่ต้องใช้ถ้าอยากให้ธุรกิจโต
.
ผมเลยขอกล่าวถึงโฆษณาของ LINE ที่เราจะมาทำโฆษณาได้เอง รวมทั้งเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้า
ดังนี้ครับ
.
จะมีคนเห็นโฆษณา มากน้อยแค่ไหน?
คนเข้าใช้งาน LINE นอกจากการแชท
ก็มักจะอ่านบทความใน LINE TODAY เสมอ ซึ่งมียอดวิวที่ 2500 ล้านต่อเดือน ถ้าเทียบกับคนใช้งาน LINE 44 ล้านคน ก็เท่ากับ เข้ามาดูคนละ 56 วิวต่อเดือนเลยนะครับ
.
ตำแหน่งโฆษณา ในไลน์อยู่ตรงไหน?
.
เรามาดูกันก่อนว่า ตำแหน่งโฆษณาของ LINE นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
.
1. Timeline : อยู่ในหน้า timeline ถ้าเปรียบไป ก็เหมือน newsfeed ของ เฟสบุ๊คเลยครับ ซึ่งคนใช้ไลน์ ก็มักจะโฆษณากันตรงนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
2. Article page end0 / Article page end1 / Article page end2 อยู่ด้านท้ายของบทความ เป็นหลักเลยครับ ถ้าในเฟสบุ๊ค เราจะเห็นลักษณะของโฆษณาแบบนี้ อยู่ใน instant article บ่อยๆ
3. Top Page Top2 / Top Page Top3 : อยู่ด้านบนของบทความใน LINE เป็นหลัก
วัตุประสงค์ในไลน์ มีเหมือนเฟสบุ๊คมั้ย
เฟสบุ๊ค มี 11 objective
.
– Awareness สร้างการรับรู้
> Brand awareness
> Reach
.
– Consideration การตัดสินใจ
> traffic
> engagement
> app install
> video view
> lead generatio
> message
.
– Conversion การลงโฆษณาเพื่อสร้างผลลัพธ์ชัดเจน
> Conversions
> catalog sales
> store traffic
.
สำหรับ LINE Ads platform มี 4 objective โดยแบ่งออกเป็น
1. การรับรู้แบรนด์ และ Awareness
แบ่งออกเป็นเรื่องของ
1.1.การเข้าถึง และ ความถี่ : เราสามารถเลือกให้แต่ละคน เห็นโฆษณาของเราได้มากน้อย แค่ไหน เลือกความถี่ได้ตามความต้องการ ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดีนะ ขนาดเรายังเบื่อเลยที่เห็นโฆษณาอัดๆๆถี่ๆๆ
.
ซึ่งเทียบได้กับ Reach ใน เฟสบุ๊คนั่นเอง
.
1.2.การเยี่ยมชมเว็บไซต์ : เหมาะสำหรับการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลของสินค้า หรือบริการที่เรามีอยู่ ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้น มีการเก็บ pixel และ google analytics ก็จะเป็นข้อดีเข้าไปอีก เพราะสามารถเก็บฐานข้อมูลของคนจาก platform ไลน์ ไปใช้งานเพิ่มได้อีก
.
เทียบได้กับ Traffic หรือการเยี่ยมชม ในเฟสบุ๊ค นั่นเอง
.
2. เพิ่มฐานลูกค้า
มีสองแบบ นั่นคือ
.
2.1 เพิ่มคนใน LINE OA ของเราให้มากขึ้น เพื่อเอาไว้ ส่งข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ได้ในภายหลัง
.
เทียบได้กับ engagement แบบเพิ่มคนติดตาม ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
2.2 ให้คนดาวน์โหลด application : อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี application แล้วอยากเพิ่ม member ตอนนี้ ไลน์เปิดโอกาส ให้คุณในช่องนี้แล้วจ้า
.
เทียบได้กับ App installation ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3. เพิ่มยอดขาย
มีสองแบบ คือ
3.1 ซื้อของ (website conversion) : ตัวนี้ จะต่างจากการเข้าชมเว็บไซต์ ตรงที่ เราสามารถเก็บข้อมูล คนที่เคยคลิก หรือเคยซื้อ ผ่าน platform LINE เพื่อไปทำการ Retarget ได้อีกครั้ง (เออ อันนี้น่าสนใจ)
.
เทียบได้กับ Conversion ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3.2 ใช้งาน application : ปกติคนใช้งาน application ถ้าโหลดมาแล้ว บางครั้ง อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน การโฆษณาไปเด้งเตือนให้ User กลับมาใช้งาน ใน platform ที่เขาคุ้นเคย จึงเป็นอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยได้
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
4. รักษาฐานลูกค้าเดิม
ทางไลน์ใช้กระบวนที่เรียกว่า การนำเสนอสินค้าแบบไดนามิก : เป็นการแสดงสินค้าเฉพาะบุคคล คือ personalization มากขึ้น ไม่ใช่โฆษณาแบบหว่าน ซึ่งจะเพิ่มโอกาส ให้คนซื้อสินค้านั้นๆ เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
กลุ่มเป้าหมาย ในไลน์มีกี่แบบ
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน LINE สามารถแบ่งได้ตาม
– อายุ
– เพศ
– พื้นที่
– OS เลือกได้ว่าจะเป็น iOS หรือ Android
– ความสนใจ อาทิ แฟชั่น ความงาม บันเทิง ท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงิน (คาดว่าน่าจะมาจากการคลิกดูข้อมูล ของคนที่ใช้ไลน์)
.
Custom audience
นอกจาก กลุ่มเป้าหมายแบบปกติ ที่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ทางไลน์ ยังพัฒนาให้เราสามารถ โฆษณาโดยทำ custom audience ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง จากการเข้ามาใช้งานใน LINE OA เว็บไซต์ หรือ applicaton (หากใครเคยทำ custom audience ในเฟสบุ๊คมาก่อน น่าจะเข้าใจไม่ยาก)
.
ที่สำคัญ custom audience สามารถนำมาสร้าง เป็น Look a like audience ได้ด้วย (ใครเคยทำในเฟสบุ๊ค มาก่อน ถือว่าได้เปรียบ)
รูปแบบการซื้อ โฆษณาในไลน์ คิดราคายังไง
การซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่ เราจะคุ้มชินกับหน่วยของ CPM เป็นหลัก นั่นคือ คนเห็น 1000 ครั้ง เสียเงินกี่บาท (จริงๆ มีแบ่งเยอะกว่านั้น เช่น cost per engagement / cost per click / cost per like หรือ cost per conversion เป็นต้น)
.
สำหรับ LINE นั้น การซื้อโฆษณา มีให้เลือกสามแบบ นั่นคือ
1. การเห็น นับเป็น CPM (Cost per 1,000 impression จริงๆ คำว่า M ย่อมาจาก Mille ที่แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน)
2. การคลิก นับเป็น CPC (Cost per click)
3. การเพิ่มเพื่อน นับเป็น CPF (cost per friends)
.
สรุป
ข้อดี
– สำหรับคนที่ใช้ LINE ในการสร้างยอดขายอยู่แล้ว ก็จะลดขั้นตอนการติดต่อผ่าน เอเจนซี่
– เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่ใช้งาน เฟสบุ๊คมาเป็นเวลานาน แล้วอยากลอง platform อื่นๆบ้าง
สิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด
– ราคาในการสร้าง campaign จะถูก หรือ แพง ยังไม่มีใครทราบ แต่หากราคาออกมาแพง ก็จะเป็นการคัดให้เหลือผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้เงินโฆษณา เพื่อสร้างยอดขายน้อยลง (อันนี้ คาดเดาจาก ตอนที่ขายผ่าน เอเจนซี่ แล้วเริ่มต้นที่หลักหมื่นต่อเดือน)
– กฏระเบียบต่างๆ จะมีมากเท่าเฟสบุ๊คมั้ย ยังไม่มีระบุออกมา แต่อย่างน้อย การควบคุมคุณภาพ ให้ผ่านเกณฑ์ คือเรื่องสำคัญ ที่ไลน์ต้องกำหนด
– ซื้อได้มากน้อยแค่ไหน มีลิมิตหรือเปล่า อันนี้ยังไม่ได้ระบุ
– โฆษณาจะกระจายไปยังต่างประเทศ หรือ ประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ อันนี้ ยังไม่มีระบุออกมา เพราะเท่าที่มีข้อมูล ตอนนี้ คนลาว ใช้ whatsapp มากกว่า LINE (แต่สำหรับอนาคต นั้นยังไม่แน่)
.
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทางผมจะนำเสนอให้ทราบกันในลำดับต่อไปนะครับ 😉
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
.
ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้งาน internet ในบ้านเรา ประจำรอบ JAN 2020
ซึ่งเป็นเก็บรวบรวมข้อมูล ล่าสุดมาให้อ่านกัน
.
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นตัวที่ทำให้เรา ได้ตัดสินใจ หรือ คิดวางแผนได้ล่วงหน้าว่า
จะต้องปรับตัวอย่างไร ให้ทันกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน internet จริงๆ
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะเหมือนเดิม
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะทำให้แปลกใจ
.
เอาล่ะ
จะเป็นอย่างไรนั้น อย่ารอช้า มาดูกันเลย
.
ข้อมูลโดยรวม!
คนไทยทั้งหมด 69.71 ล้านคน มีมือถือทั้งหมด 93.39 ล้านคน ใช้ internet 52 ล้านคน
.
คนไทยใช้สมาร์ทโฟนแทบจะ 100% ไปแล้ว
.
เวลาทั้งหมดของการใช้ internet ของคนไทย หมดไปกับการดู หนัง แชท และ ฟังเพลง ชอบความบันเทิงไง!!
.
ความเร็วเฉลี่ย internet มือถือเร็วขึ้น 48% ส่วน internet บ้านเพิ่มขึ้น 117% (สำรวจจากคนส่วนใหญ่ ใครเน็ทช้า ลองเช็คว่าเราใช้ pakage ไหนด้วยนะ)
.
สมัยก่อนเราเข้าใจว่า traffic เข้าเว็บมาจากมือถือ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่า มาจาก computer มากกว่า (อันนี้เปลี่ยนความคิดคนทำเว็บไปพอสมควร)
.
เว็บยอดนิยม ยังเป็น google เฟสบุ๊คและ youtube แต่เว็บโป๊ก็ยังติดอันดับ 9 ที่คนดูเยอะสุด ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 16 นาทีต่อครั้ง! (อืม…)
.
คำค้นหาของคนไทย ยังวนเวียน กับเรื่อง บอล หวย หนัง เหมือนเดิม (คลาสสิกสุดๆ)
.
กิจกรรมยอดนิยมของคนไทยก็ยังเป็นการดูคลิป ดู VLOG แต่ที่น่าสนใจคือการฟัง podcast ที่ติดอันดับมาด้วย!
.
คนไทยใช้ voice search เพิ่มขึ้น จ่ายเงินรายเดือนเพื่อดูหนังเพิ่มมากขึ้น (netflix เป็นต้น)
.
การใช้ social media ของคนไทย อยู่ที่ช่วงวัย 25-34 มากที่สุด รองลงมาคือ 18-24
.
ที่ผ่านมา social media น้องใหม่อย่าง tiktok มาแรงมากๆ รองจาก twitter และ instagram ใครอยากหาตลาดใหม่ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ต้องไปศึกษา (ไปสร้างให้คนพูดถึงแบรนด์ แต่จะมี account หรือไม่มีก็ได้ ถ้านึกไม่ออก ให้ดูการตลาดของเพลง วิบวับ ที่ดังมาจาก วิบวับชาเลนจ์)
.
instagram คืออาณาจักรของสาวน้อย เพราะมีผู้หญิงใช้งาน 63% จากทั้งหมด 12 ล้านคน
.
twitter คืออาณาจักรของสาวน้อยยิ่งกว่า instagram เพราะมีผู้หญิงใช้งานมากถึง 78% จาก 6.55 ล้านคน (พฤติกรรมส่วนใหญ่ คือ การติดตามข่าวสารที่ไวมากๆ ส่วนวิธีการพูด การสื่อสาร จะต้องเป็นกันเอง ไม่ต้องเยิ่นเย้อ เพราะคำพูดที่เขียนได้มีจำกัด แค่ 280 ตัวอักษร และใส่ภาพได้สูงสุด 4 ภาพ)
.
llinkedin มีคนใช้งาน 2.7 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ชายใช้งานมากกว่า (วัยทำงานด้วย)
.
คนซื้ออะไรในออนไลน์
มากที่สุดคือ ท่องเที่ยว 6.12 พันล้าน USD เสื้อผ้า 1.03 พันล้านเหรียญ USD แต่ที่น่าสนใจ คือตลาดเกมส์ 227 ล้านเหรียญ USD
.
ธุรกิจอะไรเติบโตก้าวกระโดดในอีคอมเมิร์ซ บ้านเรา
ธุรกิจอาหาร และ การดูแลสุขภาพ มาเป็นอันดับ 1 22% รองลงมาคือ ของเล่น งาน DIY โต 19% ส่วนเสื้อผ้า และ เฟอร์มาไล่ๆกัน
.
ลูกค้าเจอแบรนด์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางไหน?
ที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าไปหาเจอใน search engine ถึง 41% คาดว่าน่าจะมาจาก Google Maps ใครอยากเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ให้ไปเรียนรู้เรื่อง google my business ครับ รองลงมายังเป็นทีวีนะจ๊ะ
.
ทั้งหมดนี้ คือสรุป การใช้งาน Thailand internet 2020 ที่สรุปมาจาก weare social และ hoot suit ซึ่งจะทำออกมาเป็นประจำ
.
ถือเป็นข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานกันนะครับ
แต่หน้างานจริงๆ ก็ให้ยึดจากข้อมูล ที่เราเจอจริงๆ
อาจจะแตกต่างไปจากที่เขาสรุปมาให้ก็ได้
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ 😉
ที่มาของข้อมูล
https://datareportal.com/reports/digital-2020-thailand
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt