ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook (สำหรับมือใหม่)
มีหลายๆคนเคย inbox มาถามผม เกี่ยวกับเรื่องของการทำ Business Facebook
ว่ามีความจำเป็นหรือสำคัญอย่างไร
แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เรื่องของ Business Facebook ก็มีความซับซ้อนพอสมควร
เลยเป็นที่มาของบทความนี้
ที่อยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกรอบนึงนะครับ
ขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน Business Facebook เป็นภาษาง่ายๆ นะครับ
ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook
1. Business Facebook ต้องใช้อีเมลในการติดต่อ
สมัยก่อนถ้าเราใช้ Facebook Page ปกติ ปกติ เราสามารถที่จะเชิญคนมาเป็นแอดมินร่วมได้ โดยแอดชื่อ Facebook Profile เข้าไป แต่หากเป็นการใช้ Business Facebook เราจะใช้อีเมลในการเชิญเข้ามาใน Business
ใน Business Facebook นั้น เราสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงเพจและ ad account ที่ใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันได้
ซึ่งจะต่างจาก Facebook Page ที่กำหนดสิทธ์ในเพจ แต่บัญชีโฆษณาต้องใช้ของใครของมัน
2. Facebook Profile สร้างได้ 2 Business Facebook
Facebook Profile สามารถที่จะสร้าง Business ของตัวเองได้ 2 Business แต่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ร่วมกับ Business อื่นๆได้ไม่จำกัด
3. เราสามารถแชร์ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อให้คนอื่นมา Boost post ในเพจได้
สมัยก่อนที่ไม่มี Business Facebook เราจะใช้จะใช้บัญชีโฆษณาของเรา ที่เชื่อมกับบัตรเครดิตของตัวเราเอง ทำโฆษณาเป็นหลัก ถ้าเป็นเพจของตัวเราเอง เราบริหารด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่หากเป็นการทำงานในรูปแบบบริษัท ความยุ่งยากเกิดขึ้นมาทันที
เวลาคนทำหน้าที่บูทโพส ไม่มาทำงาน หรือลาไปต่างประเทศ แล้วมีงานด่วนที่จะต้องบูตโพสต์ทันที ความยุ่งยากจะเกิดขึ้น เพราะข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลส่วนตัวล้วนๆ
บางบริษัทอาจจะแก้ปัญหาด้วยการทำ Facebook Profile กลาง ที่ทุกคนรู้ Password แต่ก็ยังถือว่ามีความยุ่งยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่คนเราจะจำได้แต่ Password ของตัวเอง
ระบบ Business Facebook จึงมีขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้
ทุกคนสามารถใช้ Facebook Profile ของตัวเองในการบูทโพสโฆษณาได้ และไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของตัวเอง เพราะสามารถใช้บัตรเครดิตบริษัทวางเอาไว้ ให้ทุกคนที่มีสิทธิ์ในการทำโฆษณาสามารถใช้งานได้
4. 1 Business Facebook สามารถสร้างได้หลาย บัญชีโฆษณา (Ads Account)
สมัยก่อน 1 Profile มีได้ 1 บัญชีโฆษณา แต่สำหรับ Business Facebook สามารถสร้างบัญชีโฆษณาได้มากกว่า 1 บัญชีโฆษณา ส่วนใหญ่จะทำกันได้ที่ 5 บัญชีโฆษณา
ความมากน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราโฆษณาลงไปใน Facebook ช่วงแรกๆอาจจะทำได้มากสุด 2 บัญชีโฆษณา และใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 300 บาท
แต่ถ้าลงโฆษณาอยู่บ่อยๆอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเพิ่มจำนวนเงินมากขึ้นได้เรื่อยๆตามลำดับ
ที่สำคัญบัญชีโฆษณาแต่ละตัวนั้น เปรียบเสมือนกับเซลล์ ที่วิ่งออกหาลูกค้าด้วยความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากต้องการทดสอบโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกัน ลองพยายามใช้ให้เข้าที่แตกต่างกันไป จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
5. การเชิญคนเข้ามาเป็นแอดมิน ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจได้ เท่านั้น
เคยมีหลายๆคนที่สร้าง Business แล้วโดนยึดเพจได้อย่างง่ายดาย เพราะปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักเข้ามาอยู่ใน Business ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เพราะคนที่มีสิทธิ์เป็นแอดมิน สามารถทำได้ทุกอย่าง
นั้นหากเราจะเชิญใครเข้ามาเป็น Admin ด้วย จะต้องเป็นคนที่เราไว้ใจมากๆเท่านั้น
6. เจ้าของธุรกิจ ควรสร้าง Business Facebook ไว้ใช้สำหรับตัวเอง
การสร้าง Business Facebook นั้น ให้มองว่าเป็นทรัพย์สินหรือสมบัติอย่างหนึ่งของเรา เพราะมันสามารถจัดเก็บข้อมูลต่างๆเพื่อใช้งานในประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ทำการโฆษณา หรือพวก Facebook Pixel ที่จะมีประโยชน์ในการทำโฆษณาแบบ conversion ก็ล้วนแต่เก็บเอาไว้ใน Business Facebook ทั้งนั้น
ดังนั้นหากจะจ้างใครทำโฆษณา ควรให้เขาทำโฆษณาใน Facebook ของคุณ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองในอนาคต
7. ควรมีแอดมินที่ไว้ใจได้ร่วมด้วยอยู่ในนั้นอย่างน้อย 1 คน
สมัยก่อนตอนที่เรามี Facebook Page ถ้าเรามีแอดมิน เป็นเพียงตัวเราอยู่คนเดียวอยู่ในนั้น เวลาเกิดปัญหาที่เราเข้าใช้งาน Facebook ตัวเองไม่ เพจนั้นก็มีโอกาสที่จะตายเอาง่ายๆ เพราะไม่มีคนสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้อีกต่อไป เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมีแอดมินร่วมหลายๆคนอยู่ในนั้น เพราะหากใครมีปัญหา คนอื่นๆก็สามารถที่จะบริหารงานต่อได้
เช่นเดียวกับ Business Facebook ถ้ามีเราบริหารเองเพียงลำพัง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะดึงเอา Business นั้นกลับมาใช้งานได้อีกต่อไป หรือถ้าจะกู้คืนมาก็ต้องใช้เวลานานและยุ่งยาก
8. 1 Page Facebook สามารถเชื่อมได้กับ 1 Business Facebook เท่านั้น
Facebook Page ที่เราใช้งานกันอยู่นั้น จะเข้ามาทำงานอยู่ภายใต้ Business Facebook ได้เพียง 1 Business เท่านั้น และมองเป็นทรัพย์สินของ Business นั้นๆไปเลย
หากจะมีการโยกย้าย หรือปรับเปลี่ยนไปบริหารใน Business อื่นๆ จะต้องได้รับการยินยอมจาก Admin ที่อยู่ใน Business นั้นๆก่อนเสมอ
9. สามารถนำ Instagram account เข้าไปใส่ใน Business Facebook ได้แต่ต้องเชื่อมกับเพจ
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจ นั่นคือ สามารถนำเอา Instagram account เข้าไปอยู่ใน Business Facebook ได้ โดยต้องเลือกเชื่อมกับเพจใด เพจหนึ่ง
ข้อดีของการนำ Instagram account มาเชื่อมต่อกับ fanpage คือ
– ข้อความแบบ Direct Message ใน instagram จะสามารถเห็นได้ในช่อง inbox Facebook
– สามารถตั้งเวลาการโพสต์ Instagram ได้ ผ่าน facebook creator ( ทำผ่าน Desktop เท่านั้น)
– สามารถทำ Instagram Shopping ได้ในอนาคต (สำหรับประเทศไทย ตอนนี้ยังทำได้เพียงบางแบรนด์ เพื่อเป็นการทดลองตลาด)
สรุป
และทั้งหมดนี้
ถือว่าเป็นการแชร์ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Business Facebook
จากประสบการณ์ที่เคยทำมานะครับ
สำหรับท่านที่เป็น มือใหม่ ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อยนะครับ
หากใครมีคำถามอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่องของ Business Facebook
สามารถพิมพ์มาในช่อง Comment ของพวกนี้
ถ้าตอบได้เลยจะตอบให้ทันที
แต่ถ้ายังตอบไม่ได้จะไปค้นคว้า หาคำตอบมาให้นะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เคล็ดลับ เอาปุ่มข้อความออกจากโพสต์เฟสบุ๊ค ทำได้แบบนี้นี่เอง
เคยสังเกตมั้ยครับ
ว่าเวลาเราโพสต์เฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดิโอ หรือ Photo album
แล้ว เฟสบุ๊คจะมีการติด ปุ่มข้อความไว้ให้ทักแชท
เพราะอะไร
เพราะเขาต้องการให้เราสื่อสาร สอบถามเจ้าของเพจได้
เป็นบริบทของการสอบถาม ทักถามให้พูดคุย ซื้อขายกัน
ที่บอกแบบนี้ เพราะว่าวันนั้น ผมใส่ตัวเลข ไปในโพสต์ คำว่า 50 บาท 100 บาท
เฟสบุ๊คจะมองว่า คำนี้คือ ราคาสินค้า เป็นการขายของ
เป็นการโฆษณา
เมื่อมองเป็นโฆษณา การปรับ reach ก็จะลดลงไป
แต่หากโพสต์ของเราเป็นโพสต์ที่ต้องการให้คุณค่ากับลูกค้า
แล้วดันลืมใส่ ปุ่มข้อความเข้าไปด้วย
จะไปแก้ไขจะไป edit โดยตรง ทำไม่ได้เลย!!
แล้วทำไงดี
คลิปนี้ จะเฉลยเคล็ดลับที่ทำให้คุณเอาปุ่มข้อความ ออกจากโพสต์ได้ง่ายๆ เลยครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
4 เทคนิครับมือ เมื่อ Facebook จำกัดการทำโฆษณาครึ่งปี 2020
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีการประกาศจากวิศวกรของ Facebook ว่า หลายๆเพจมีการทำโฆษณาเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งจะมีโฆษณาส่วนใหญ่โดนถอดออกในระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ของระบบ AI Facebook
( ถ้าใครทำโฆษณาบ่อยๆจะสังเกตเห็นคำว่า ระบบกำลังเรียนรู้ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ Facebook พยายามเรียนรู้ที่จะส่งโฆษณาออกไปหากลุ่มเป้าหมายให้ดีที่สุดสำหรับแคมเปญนั้นๆ)
และส่วนมากจะเป็นการปิดโฆษณาก่อนที่ระบบจะทำงานให้ได้ผลเต็มประสิทธิภาพ
จึงมองว่าน่าเสียดายงบประมาณที่ใส่เข้ามาในระบบ
ทาง Facebook จึงได้พัฒนา ระบบ Marketing API v5.0 และ Graph API v5.0
จึงได้พัฒนาเพื่อช่วยวิเคราะห์ผลการทำงานของโฆษณาให้กับคนที่ลงโฆษณาทั้งหลาย
โดยทั้งช่วยลดจำนวนโฆษณาที่มากเกินไปในระบบด้วย
หากคุณ เป็นคนที่ลงโฆษณาเยอะๆแล้วใช้ adset เป็นจำนวนมากๆ แล้วประสบความสำเร็จ
นี่ถือเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
แล้วเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ผมขอเสนอเทคนิคที่จะทำให้คุณอยู่รอดและอยู่ร่วมกับสิ่งที่ Facebook กำลังจะพัฒนานี้
1. เร่งสร้างฐานคนติดตามที่มีคุณภาพให้มากที่สุด
การมีคนติดตามที่มีคุณภาพ แม้เราไม่ได้ยิงโฆษณาออกไป แค่โพสต์ บางครั้งก็ขายของได้แล้ว ดังนั้นคุณควรใส่ใจกับการหาคนติดตามที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณเหมือนเมื่อก่อน
2.รีบทดสอบกลุ่มเป้าหมายในขณะที่ยังทำได้อยู่ ณ ตอนนี้
เมื่อช่วงนี้สามารถทำการทดสอบกลุ่มเป้าหมายได้หลายๆกลุ่ม ก็ให้ใช้เวลาที่ยังมีอยู่ เรียนรู้ศึกษาและปรับปรุงอยู่เสมอ จะทำให้คุณเข้าใจวิธีการทำการตลาด กับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง กับสินค้าหรือบริการของคุณได้ดีมากขึ้น
3. เก็บข้อมูลลูกค้าที่สามารถติดต่อในช่องทางอื่นได้ให้มากที่สุด
คนส่วนใหญ่มักจะหาลูกค้าใหม่ๆอยู่เสมอโดยลืมไปว่ารายได้ที่เกิดมากที่สุด คือการซื้อซ้ำกับลูกค้าเดิม ดังนั้นครั้งต่อไปให้เน้นเก็บข้อมูลอีเมลและเบอร์โทรของลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อนำไปใช้ติดต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ ถ้าจะง่ายที่สุดก็ยกหูโทรหากันก็ได้นะ เพราะค่าโทรศัพท์ถูกกว่าค่ายิงแอด
4. ทำ Content เนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงให้กลุ่มคนติดตามยังอยู่กับเรา
พยายามปรับตัวด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่าให้กับกลุ่มคนติดตามของเราอยู่ตลอดเวลา จะทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่ากำลังถูกขายของอยู่ตลอดเวลา
สรุป
และเหนือสิ่งอื่นใด
สิ่งที่ Facebook จะพัฒนาขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นดึงให้ผู้ใช้ส่วนมากยังอยู่ในระบบของ facebook ต่อไปนานๆ
ดังนั้นการเรียนรู้และทำใจ ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้ก้าวทันอยู่เสมอ
คือสิ่งที่ควรระลึกไว้มากที่สุด
ก็นี่คือ plaform ของ facebook
เราคือผู้ใช้งานระบบของเขา
พยายามมองหาแพลตฟอร์มอื่นๆมารองรับ ช่วยกันเสริมธุรกิจของคุณ
อย่ายึดติดกับเพียงแค่ platform เดียว
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook
ความลับ ของสติ๊กเกอร์ไลน์ ถ้าทำแบบนี้ ขายดีแน่นอน
สำหรับคนที่ใช้ Line@ ในการขายของ หรือติดต่อกับลูกค้า เป็นประจำ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการคุยกับลูกค้า
นั่นคือการพยายามปิดการขายให้ได้
แต่กว่าที่เราจะปิดการขายให้ได้นาน
อารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะต้องทำให้ลูกค้ารู้สึก
ปลอดภัย เป็นกันเอง
จนนำพาไปสู่การคุยกันอย่างถูกคอ
แล้วนำไปสู่การปิดการขายในที่สุด
ลำพังเพียงแต่บทสนทนาที่เกิดขึ้นจากการแชทนั้น อาจจะไม่เพียงพอ
แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้บทสนทนาของเรากับลูกค้านั้น
เกิดความรู้สึกที่ดีจนอยากจะซื้อขายกับเรา
หลังจากที่ได้ใช้ LINE@ ในการปิดการขายกับลูกค้ามามากมายนับไม่ถ้วน
นอกเหนือจากการ
– ใช้ภาษาที่น่ารัก จ๊ะจ๋ามีคะมีขา (ถ้า Admin เป็นผู้หญิงจะดีมาก)
– ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง แต่ไม่ลามปาม
– พูดคุยสอบถามถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ไม่ได้เอาแต่ขายอย่างเดียว
– สรุปยอดและยืนยันกับลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม
จึงได้พบความจริงว่า การใช้สติ๊กเกอร์ไลน์
มีส่วนเป็นอย่างมากที่จะทำให้ลูกค้าเปิดใจ
และรู้สึกดีไปกับเรา
สิ่งที่ทำให้การสนทนานั้นดูดีมากขึ้น
คือการใช้สติ๊กเกอร์ LINE ให้เป็นประโยชน์
ใครอยากรู้ว่าเทคนิคนี้เป็นอย่างไรตั้งใจอ่านบรรทัดต่อไปนี้ให้ดีนะครับ
ความลับ ของสติ๊กเกอร์ไลน์ ถ้าทำแบบนี้ ขายดีแน่นอน
1. อ้อนวอนด้วยสายตาเป็นประกาย
การใช้สติ๊กเกอร์แบบนี้หมายถึงการรอคอยคำตอบของลูกค้า แบบมีความหวัง หรือรอคอยให้บริการด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเตรียมพร้อมที่จะรับฟังความต้องการของเขาในลำดับต่อไปอย่างเต็มที่
2. จับแก้มแล้วหันหน้าไปครึ่งหนึ่ง
ใช้ในกรณีที่ลูกค้ามีการชื่นชมเรา ทำให้รู้สึกได้ถึงความขี้เล่น แฝงไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย ทำให้บทสนทนานั้นดูเป็นกันเองมากขึ้น
3. ยิ้มแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ใช้ในกรณีที่เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าและพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเขา สติ๊กเกอร์ลายนี้ทำให้รู้สึกว่า เรายินดีที่จะให้บริการ และเข้าใจความหมายของบทสนทนานั้นๆ
4. มือจับหัวแล้วแลบลิ้น
เอาไว้ใช้ในกรณีที่เราเข้าใจผิดหรือคำนวณผิด ทำให้ลดแรงกระแทกในบทสนทนาลงไป เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ การยอมรับผิดและแสดงออกมาด้วยท่าทางเคอะเขิน จะทำให้บทสนทนาดูอ่อนลง เพราะคำพูดอย่างเดียวไม่สามารถสื่อถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเราได้
เช่นคำว่าขอโทษค่ะ บางครั้งถ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่โอเคลูกค้าอาจจะผ่านว่าเราประชดอยู่ก็ได้
5. ปิดหน้าแล้วร้องไห้ เสียใจ
เอาไว้ใช้ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดจนลูกค้าไม่พอใจ จะแสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกผิดของเราได้มากขึ้น เพราะหากเป็นคำพูดบางครั้งอารมณ์ของลูกค้าอาจจะตีความหมายของการพิมพ์ ออกไปได้ในหลายรูปแบบซึ่งส่วนใหญ่อาจจะเป็นมุมที่ไม่ค่อยดีนัก
หากเกิดเคสที่รุนแรงจริง แนะนำให้โทรไปคุยกับลูกค้าด้วยความจริงใจดีกว่า เพราะหากยิ่งพิมพ์ไปเรื่อยๆ อารมณ์ของลูกค้าก็จะยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่
สติ๊กเกอร์ไลน์ ที่แนะนำไปดังกล่าวข้างต้น
ใครจะนำเทคนิคนี้ไปใช้ แต่อาจจะไม่ค่อยชอบ ให้ลองหาสติ๊กเกอร์ที่มีท่าทางใกล้เคียงกัน มาใช้แทน
เพราะจริงๆเราต้องการจะสื่อผสมในบทสนทนาให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง
การแชทคุยกัน คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยน Traffic ให้กลายเป็นลูกค้า
สรุป
คนอาจจะทักถามมาเยอะแยะมากมาย สิ่งนี้เราเรียกกันว่า Traffic
conversion คือการเปลี่ยน Traffic ที่เข้ามาเยอะๆ ให้กลายเป็นลูกค้าของเรา
ดังนั้นทำโฆษณามาดีๆ
แต่ Conversion ไม่ดี ยอดขายก็ไม่เกิดนะ
เข้าใจตรงกันนะคร้าบ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ก่อนจะ ยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
ก่อนจะยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
เมื่อวันก่อนครับ
ผมได้รับข้อความทาง inbox มาจากผู้ประกอบการรายหนึ่ง
มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของยอดขาย
อยากเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ยิงโฆษณาเสียเงินไปหลายหมื่น
แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ผมเลยขอดูเพจที่ทำตอนนี้ ว่าโพสต์อะไรอยู่บ้าง
และพบอะไรหลายๆ อย่างที่ น่าจะเอามาแชร์แนวคิด ให้พวกเราได้อ่านกันครับ
ก่อนจะยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ทำสิ่งนี้ก่อน
1. โพสต์เรื่องที่ดี มีคุณค่ากับคนอ่าน
คนทำธุรกิจออนไลน์ ส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามการโพสต์แบบให้คุณค่า
การโพสต์ที่ทำให้คนสนใจเรา มองว่าเราคือผู้ให้
แต่จะมุ่งเน้นไปที่การขายของเลย
ถ้าสินค้าคุณ ราคา 100-200 บาท จะยิงขายเลย
ไม่ใช่เรื่องผิดเลย สร้างยอดขายจากการยิงแอดได้เลยครับ
แต่หากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าต่อชิ้นสูงกว่านั้น
จะดีกว่ามั้ย
หากเราลองเพิ่มโพสต์เนื้อหาที่มีคุณค่า ให้กับคนอ่าน คนติดตามไปด้วย
ทำให้เค้าเห็นว่า เรารู้ถึงปัญหา หรือ สิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่
ซึ่งสิ่งนั้น เรารู้ดี เราเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเป็น คนให้บริการเรื่องซ่อมบ้าน
เนื้อหาที่เราจะนำมาโพสต์ ควรเป็น
– ซ่อมบ้านมือสอง ต้องใช้งบเท่าไร
– ประตูพัง เปลี่ยนใหม่ ใช้แบบไหนดีนะ
ถ้าคุณพูดในเรื่องนี้ บ่อยๆ สม่ำเสมอ
คนจะรับรู้ว่าคุณคือคนเก่ง ในเรื่องนี้ทันที
ต่อไป เวลามีปัญหา เขาจะนึกถึงใครก่อน?
2. มีความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆ
คนที่กำลังมองหา เจ้าของเพจ เจ้าของธุรกิจ ที่จะมาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับเขา
มักจะมองถึงประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำก่อนเสมอ
เนื้อหาที่นำเสนอภายในเพจ
นอกเหนือจากจะให้คุณค่าแล้ว การให้ข้อมูลเชิงลึก จะช่วยทำให้เพจของเราดู
เป็นคนที่มีความรู้แบบ insight
แต่วิธีการนำเสนอ จะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
ซึ่งเทคนิคการเขียนให้คนอื่นๆที่อยู่นอกเหนือวงการเข้าใจ
ก็คือ การนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว
เช่นการอธิบายเรื่อง ริชเมนู
ที่เป็นฟีเจอร์สำคัญ ของ Line@ หรือ LINE OA ว่าคืออะไร
เมื่อต้องการให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ก็อาจบอกได้ว่า Rich Menu นั้น เป็นเสมือนกับเมนู ที่ทำให้ลูกค้า
ได้ไปพบกับข้อมูล สำคัญสำคัญของเรา โดยไม่ต้องใช้คนมาตอบเอง
ลูกค้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
หรือ เปรียบดั่งประตูทางเข้า ที่พาไปสู่การสร้างยอดขายของธุรกิจของคุณ ได้โดยอัตโนมัติ
การอธิบายให้คนได้เข้าใจเรื่องใหม่ๆ
ด้วยประสบการณ์เดิมที่เขามีอยู่ นอกจากจะทำให้เข้าใจง่ายแล้ว
คนเหล่านั้นอย่างมองว่าคุณเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆในเรื่องนั้นๆ
เพราะถ้าไม่รู้อย่างถ่องแท้ จะไม่สามารถอธิบายด้วยการอุปมาอุปไมยได้
3. ความน่าเชื่อถือ ผลงานที่ผ่านมา
นอกจากการเป็นตัวจริง และรู้จริงในเรื่องนั้นๆ แล้ว
สิ่งที่จะเติมเต็มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ติดตาม ก็คือ
ผลงานที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำไว้
สิ่งที่เคยช่วยเหลือคนอื่นมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น
เป็นธุรกิจรถยนต์มือสอง
ก็ต้องมีการโชว์โพสต์คนมารับรถที่ร้าน
มีการสัมภาษณ์ความรู้สึกของลูกค้า
ว่าทำไมถึงมั่นใจเลือกใช้บริการของเรา
ทั้งๆที่มีเจ้าอื่นให้เลือกมากมาย
คนกำลังทำสัญญาเพื่อรับมอบรถจากเรา
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้คนเชื่อมั่น และกล้าจะติดต่อธุรกิจกับเรามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
4. ความสม่ำเสมอ
คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินว่าธุรกิจนั้นยังดำเนินอยู่หรือเปล่า
จากวันที่โพสต์ล่าสุด ที่อยู่บนเพจ
ถึงแล้วว่าวันนี้ธุรกิจออฟไลน์ของคุณกำลังดำเนินอยู่
แต่หากหน้าเพจไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
คนอาจจะตัดสินไปแล้วว่า
ธุรกิจนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหว
ไปหาเจ้าอื่นๆ แทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เพจที่เลิกทำธุรกิจไปแล้ว มักจะไม่โพสต์อะไร ต่อไป หลังจากที่ธุรกิจปิดตัวแล้ว)
ความสม่ำเสมอ มีความสำคัญแบบนี้ครับ
สรุป
ลองไปปรับใช้กันนะครับ
ก่อนจะยิงแอดในครั้งต่อไป ลองเช็คว่า เรายังขาดข้อไหนบ้าง
รีบเติมเต็ม อย่างน้อยสัก 3 ข้อ
ก่อนที่จะลงทุนยิงแอด..
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
80/15/5 สูตรลับทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
80/15/5 สูตรลับ ทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
ทุกวันนี้คุณทำเพจเพื่อธุรกิจออนไลน์ ทำเพจขายของ
หากวันนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายในการยิงกันมากมายแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ที่คุณอาจจะลืมนึกไป
วันนี้ผมมีเทคนิคเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพจเดิมของคุณ
ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น
หากทำตามสูตรนี้
รับรองว่าลูกค้าจะอนุญาตให้คุณขายของเขาได้เลย!!
ซึ่งสูตรลับนี้ ผมได้เรียนมาจาก อ.เอเทน (Aten) และ อ.อั๋น
มาดูกันเลยครับว่าสูตรลับนี้ มีเคล็ดลับอย่างไร
สูตรลับที่ว่านี้ก็คือ 80/15/5
ตัวเลขแต่ละตัวที่กล่าวมานั้นเมื่อรวมกันก็คือ 100
เรามาขยายความตัวเลขแต่ละจำนวนกับดีกว่าครับ
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
- 80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
- 15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
- 5 : ช่วงขายของ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
ทุกวันนี้ Content ที่อยู่บนเพจของเราหน้าตามันเป็นยังไงครับ
เราขายของกันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเอ่ย
มันไม่ผิดนะที่เราจะขายของเพราะเราทำเพจขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการหารายได้ให้กับตัวเอง
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราอยากบอก
ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง
เพราะคนติดตามเพจของเราต้องการได้รับเนื้อหาอะไร ที่มีคุณค่ากับเขา
สังเกตว่า Content ที่มีคุณค่าจะมีคนกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ไปจนกระทั่งการแชร์
ก็เขาบอกว่า Content นี้มีความหมายและมีคุณค่ามากพอ
ลองกลับไปดูเพจของตัวเองนะครับ ว่ามีคนแชร์โพสต์ไหนของคุณมากที่สุด
นั่นคือคุณค่าที่คนติดตามหรือคนอื่นเขามองเห็น
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าวันนี้คุณขายสินค้าเป็น ผงชาเขียว
คนที่กำลังมองหา ผงชาเขียว อยู่แล้ว อาจต้องการเพียงสินค้าตัวอย่างเพื่อลองไปใช้ และรอคอยข้อเสนอราคาที่เหมาะสม
แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่รู้ว่า ผงชาเขียว เอาไว้ทำอะไร
จะไม่ได้สนใจแล้วมองผ่านเลยไป
จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราสามารถทำให้คนไม่ได้สนใจ ผงชาเขียว
หันมาสนใจ จนเกิดความอยากได้ และติดต่อซื้อผงชาเขียวจากเรา
เราสามารถส่งต่อเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผงชาเขียวได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น
ประโยชน์ของชาเขียวที่มีต่อสุขภาพ
สูตรทำขนมที่ทำจากผงชาเขียว
สูตรทำเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาเขียว
รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายเมนูที่ทำจากชาเขียว
สังเกตว่าเรากำลังพูดถึงประโยชน์ ของผงชาเขียว ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้
เมื่อเรานำมาขยี้ ให้เห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผงชาเขียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็จะเกิดความต้องการ ผงชาเขียวขึ้นมา
อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เราทำไม่เคยทำเนื้อหา แบบนี้!
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
คนส่วนใหญ่เวลากดโฆษณาใน Facebook มักจะเข้ามาดูเนื้อหาที่โพสต์เอาไว้ในเพจเสมอ
หาเพจของคุณไม่เคยมีตัวอย่างของ
คนใช้สินค้าหรือบริการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า
ภาพของตัวคุณเองกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่ามีเฉพาะ
โพสต์ขายของอย่างเดียว
สรรพคุณของฉันดีอย่างไร
คนที่เข้ามาดูเพจจะรู้สึกอย่างไร
หาโพสต์ที่สร้างคุณค่าอยู่มากพอแล้ว
ลองเพิ่มโพสต์ที่ทำให้คนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
คนที่ติดตามจะมั่นใจมากขึ้น
แล้วส่วนใหญ่มักจะซื้อตามแบบ ที่คุณขึ้นในโพสต์แบบนี้
– มีโพสต์ภาพแบบซื้อยกลัง ก็จะมีคนซื้อตามแบบ
– มีโพสต์ว่าซื้อแบบขายปลีกได้ ก็จะมีคนซื้อตามแบบขายปลีก
สิ่งที่คุณโพสต์ไปแบบไหน
คนก็จะทำตามสิ่งที่คุณโพสต์
5 : ช่วงขายของ
เมื่อคุณให้คุณค่ากับคนติดตามได้มากพอแล้ว
เขารู้จักคุณมากพอแล้ว
เขารู้ว่าคุณคือตัวจริงในธุรกิจนี้
หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้คุณค่ามาตลอด
เขาจะไม่ปรึกษาใคร
แต่จะมาปรึกษากับคุณ
ในวันที่คุณเอ่ยปาก
เสนอขายหรือยื่นข้อเสนอให้กับเขา
วันนั้นความลังเลหรือสงสัย
แทบจะไม่มีเลย
เพราะเขาอนุญาตให้คุณขายของเขาได้
อย่างน้อย ก็ตัดสินใจได้เร็วกว่าวันแรกที่ไม่เคยรู้จักคุณเลย
ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
ผมคิดว่า มันจะมีประโยชน์ ในการทำเพจ ของคุณเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อย
ก็มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่าน Content นี้ 😉
สรุป
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
5 : ช่วงขายของ
ลองนำไปใช้กันะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ลบโพสต์ เฟสบุ๊ค ที่มีแทร็คไปรษณีย์ พร้อมกันหลายๆโพสต์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
ลบโพสต์ เฟสบุ๊ค ที่มีแทร็คไปรษณีย์ พร้อมกันหลายๆโพสต์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
หลังจากที่กระแส หวั่นเกรงกลัวโดนเฟสบุ๊คปิดเพจ ปิดบัญชี เพราะการโพสต์ภาพแทรคกิ้งไปรษณีย์
คนทำเพจอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ต้องหาวิธีการนั่งลบโพสต์เก่าๆ กันจ้าละหวั่น
จะดีกว่ามั้ย หากวันนี้ มีวิธีการลบโพสต์ พร้อมๆ กันทีเดียวหลายโพสต์
ไม่ต้องมานั่งไล่ดูกันตาเหลือก
วิธีนี้ เป็นวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล
มันมีให้เราใช้อยู่แล้ว
อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร มาดูกันเลยจ้า
แต่ถ้าใครอยากอ่านวิธีทำ แบบไม่ดูคลิป ก็ไปที่
\ ads manager \ page post แล้วไปที่ published post แล้วเลือกโพสต์ที่จะลบได้เลยจ้า!!
ถ้างง ก็ย้อนไปดูคลิป ครับ
#digitalnook #facebook #ลบโพสต์ #ปิดเพจ #ปิดบัญชีโฆษณา
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน i-creator 2019
ซึ่งเป็นงานรวมพลคนทำ Content คนทำการตลาดออนไลน์ และนักพัฒนา
มีหัวข้อมากมายที่น่าสนใจ
หนังเรื่องการตลาด การทำเนื้อหา Content และการทำเว็บไซต์ รวมไปถึง seo
ที่น่าสนใจที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ก็คือ
seo Trend 2020 บรรยายโดย Pornthep Khetrum ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Google analytics Thailand ซึ่งหากใครสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Google analytics ก็สามารถ ก็สามารถไปติดตามที่เว็บไซต์ของคุณพรเทพได้เลย
https://googleanalyticsthailand.com/
สำหรับผมถือว่าเป็น 30 นาทีที่ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่ได้ฟัง
มีหัวข้อหลักดังต่อไปนี้ครับ
- Featured snippets
- WebP Image
- Voice search
- AI
ถ้าใครที่ไม่เคยทำอะไรมา เห็นชื่อหัวข้อก็อาจจะดูงงๆหน่อย งั้นผมขออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ แล้วกันนะครับ
- Featured snippets = การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
- WebP Image = การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
- Voice search = การค้นหาข้อมูลด้วยเสียง
- AI = ปัญญาประดิษฐ์
เริ่มกันที่ข้อแรกเลยนั่นคือ
Feature Snippets : การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
ปกติการทำ SEO คือการทำยังไงก็ได้ให้ผลการค้นหาเว็บของเรานั้นติดในอันดับต้นในหน้าแรก แต่สำหรับหัวข้อที่มาบรรยายนี้ คือการทำไงก็ได้ให้ผลการค้นหาของเราอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอันดับแรก เรียนเป็นภาษาอังกฤษแบบเท่ๆว่า position Zero
นอกจากจะขึ้นมาอยู่อันดับเหนือใครๆ
ยังมีความโดดเด่นเป็นสง่าอีกต่างหาก
เพราะพื้นที่การแสดงผลนั้นยิ่งใหญ่ตระการตาแบบสุดๆ
แล้วเราจะไปอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร
ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีข้อสังเกตหลายประการที่พบได้ใน Content ประเภทดังกล่าว
ถ้าใครอยากจะอยู่ในลำดับ Position Zero ให้ลองทำแบบนี้ครับ
1. ตอบคำถามให้กับ กลุ่มเป้าหมายเรา ได้ใจความ ภายใน 1 ย่อหน้าเดียว
2. ปรับแต่งออกแบบ structure โครงสร้างหน้าเว็บให้ดี และใส่ heading อันไหนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย รวมไปถึง bullet point (อันนี้ต้องพึ่งพานักพัฒนาโปรแกรมเมอร์แล้วนะครับ)
3. ถ้าทำเนื้อหาด้วย Table หรือ list เป็น well structure นะครับ มีโอกาสโดนดึงไปเป็น featured snippets แบบนี้เช่นกัน (ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่ง list ใน wordpress หรือ html coding)
เทคนิคทั้งหมดนี้ไม่ได้รับการยืนยันว่า การค้นหาของคุณจะติดอยู่ไหน Position Zero เสมอไป แต่บทความในเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติด Position Zero จะมีคุณลักษณะดังที่กล่าวมา 3 ข้อเสมอ
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเว็บไซต์ของคุณจะต้องติดลำดับ 1 ใน 10 ด้วยนะ
(สรุปง่ายๆก็คือต้องทำเว็บให้มีคุณภาพที่ดี มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ที่สำคัญก็คือต้องมีประโยชน์)
เข้าเรื่องต่อไปครับ Web P Image
WebP Image : การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
ถ้าคุณไม่ใช่นักพัฒนาเว็บไซต์ อย่าได้ตกใจไป เพราะว่าคำนี้คุณไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
แต่ถ้าพูดถึงการเข้าเว็บไซต์ทุกคนน่าจะรู้จักและเข้าใจ
ทุกวันนี้ภาพในเว็บไซต์เราใช้ Format หลายๆแบบ ซึ่งความที่ได้รับความนิยมนั้นก็คือ .jpg .png .gif
- ถ้าเป็นภาพกราฟฟิก Vector ส่วนใหญ่เราจะใช้ .gif
- ถ้าเป็นภาพคน วัตถุต่างๆ เราจะเลือกใช้ .jpg
- ถ้าต้องการความละเอียดสูงๆ แต่ทำให้ background โปร่งใสได้ เราจะเลือกใช้ .png
สำหรับการทำ seo
Google จะให้คะแนนสูงสำหรับเว็บไซต์ที่เข้าเร็ว
หากเราต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์ด้วยความเร็ว ต้องใช้ภาพที่มีขนาดไฟล์น้อยๆ ไว้ก่อน
แต่ส่วนใหญ่ คนทำ Content ที่ทำเว็บในยุคอินเตอร์เน็ต 5G มักจะเผลอใส่ภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ เข้าไปในเว็บ จึงทำให้การแสดงผลนั้นช้ามากกว่าปกติ
เช่นได้ภาพมาจากกล้องขนาด 10 MB ก็เอามาใส่ในเว็บเลย
แบบนี้ทำให้เว็บโหลดนานมากๆ
การนำภาพเข้าไปในเว็บควรย่อให้ขนาดไฟล์เหลือประมาณ 200-300 KB
แต่จะดีกว่าไหมหากเรามีเทคโนโลยีที่ทำให้ ภาพชัดเหมือนเดิม แต่ขนาดไฟล์น้อยลง 30%
ขนาดไฟล์ภาพเล็กลง ทำให้เว็บแสดงผลเร็วขึ้น > เมื่อแบบเร็วขึ้นคะแนนของ seo ก็จะดีขึ้น
WebP คือเทคโนโลยีที่มาช่วยย่อขนาดไฟล์ให้เล็กลงกว่าเดิม 30%
แต่ภาพยังชัดเจนใกล้เคียงของเดิม
ฟังมาแล้วก็ดูดีนะ
เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นๆ
- Browser Safari ที่เราใช้กันใน iPhone iPad เครื่อง Mac ยังไม่รองรับ
- Photoshop ยังไม่รองรับการสร้าง format WebP (แต่มีคนพัฒนา plugin มาให้ใช้ชื่อว่า webpshop)
- Server hosting บางที่ยังไม่ support การทำงานของ WebP
- Magento ยังไม่รองรับ WebP
แม้จะยังไม่ยอมรับในตอนนี้ แต่หลายๆเว็บที่ใช้งานตอนนี้ ก็เลือกใช้วิธีการให้ระบบตรวจสอบว่า user ใช้ browser อะไรเข้าใช้งาน
ถ้าเป็น browser ที่รองรับ ก็ ใช้ WebP ถ้าไม่รองรับ ก็ไม่ต้องใช้ แค่นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม WebP ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยทำให้การเข้าเว็บนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมดังนั้นควรศึกษาไว้นะครับ
ต่อไปเป็นเรื่องของ Voice Search
Voice Search : การค้นหาด้วยเสียง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการพูดถึงเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงอย่างต่อเนื่อง ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ Siri ใน iPhone และ Google Assistant
ช่วงแรกๆเป็นที่ฮือฮามาก
เพราะเราได้พูดคุยกับมือถือ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็มีทั้ง ถูกบ้างผิดบ้าง กวนโอ๊ยบ้าง
นั่นคือช่วงที่ระบบทำการพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆจากการใช้งานของคน
เมื่อเวลาผ่านไป ระบบมีความเข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้น
ที่สำคัญมีคน Search ด้วยเสียงเพิ่มมากขึ้น 20%
เมื่อคนรู้ว่าสามารถค้นหา Google ด้วยการใช้เสียงแทนการพิมพ์ได้ ความยาวของ keyword ที่ใช้ค้นหาก็เปลี่ยนไป
Keyword ต่างๆจะยาวขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่ได้พิมพ์ง่ายๆแค่ “เที่ยวเชียงใหม่”
แต่จะเป็นการถามว่า “เที่ยวเชียงใหม่ราคาถูก 2 วัน 1 คืนหาได้ที่ไหน”
แล้วที่สำคัญ ประโยคคำถามจาก voice search
มันจะเป็นคำถามที่ถูกนำไปขึ้นใน Position Zero ด้วย
ดังนั้นการศึกษาเรื่องการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรู้ว่าคนค้นหาข้อมูลด้วยประโยคอะไร เราก็สามารถทำบทความอันนั้นเอาไว้ได้ก่อน
เรื่องสุดท้ายครับ AI
AI : ปัญญาประดิษฐ์
Google ได้พัฒนาอัลกอริทึ่มตัวใหม่ ที่ชื่อว่า BERT
ถ้าจะให้สรุปง่ายๆเกี่ยวกับ BERT
นั่นคือ คนทำ Content ต้องสนใจว่าคนอ่านต้องการอะไร
Google จากประมวลผลหา Content ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
ขอเรียกว่า User Intent
หลังจากที่หาข้อมูลมาก็พบว่า User Intent แบ่งเป็น 4 แบบ
(credit by rotber katai)
User Intent มี 4 ประเภท
- Navigational : ค้นหาทางเข้าเว็บไซต์
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจำชื่อเว็บ ไม่ค่อยพิมพ์ชื่อตรงๆ แต่จะ พิมพ์จาก Google ไปเลย เช่นคำว่า ข่าวสด Pantip ไทยรัฐ แล้วค่อยไปหาเว็บนั้นๆ 😉 - informational : หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนซื้อ
เมื่อคนเรามีความสนใจในเรื่องใด จะตัดสินใจซื้อหรือใช้งาน มาค้นหาด้วยชื่อแล้วตามด้วยคำว่า รีวิว ดีไหม ราคาเท่าไหร่ pantip เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง - commercial : ค้นหาด้วยชื่อด้วยประเภทธุรกิจหรือบริการ
การค้นหานี้เรามักจะใช้บ่อยบ่อย เวลาที่มีปัญหา หรือต้องการใช้บริการ ยกตัวอย่างชัดๆก็คือ ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถยนต์ โรงงานเย็บผ้า ร้านตัดผม ซึ่งหากใครต้องการได้ลูกค้าใหม่ๆที่ไม่เคยใช้บริการของเรา การใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้เข้าไป จะทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเราได้ง่ายขึ้น - transactional : หาวิธีการจ่ายเงิน
การค้นหาแบบนี้ถือว่าพร้อมจ่ายเงินแบบสุดๆ เพราะเป็นการค้นหาที่จ่ายเงิน เช่นคำว่า สมัคร netflix อย่างไร ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ที่ไหน จ่ายค่าไฟออนไลน์ สมัคร spotify อย่างไร หากมีการค้นหาด้วยที่ Keyword เหล่านี้คือพร้อมซื้อแน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ทำเนื้อหาต่างๆให้ประทับใจ Google
จะต้องทำเนื้อหาให้ถูกใจคนอ่านเป็นจำนวนมากด้วย
อยากให้ AI รักบทความของเรา
เราต้องทำให้คนอื่นๆรับบทความของเราก่อน
มีคำนิยามที่น่าสนใจอยู่คำนึงเกี่ยวกับ seo
เมื่อก่อนเรานิยามคำนี้มาจาก search engine optimization
แต่ seo ปี 2020
เราจะนิยามใหม่ว่า มันคือ “searcher Experience optimization”
นั่นคือการปรับปรุงประสบการณ์ให้เหมาะกับคนค้นหานั้นเอง
ไม่ได้ทำเอาใจ search engine แต่ทำเพื่อเอาใจคนอ่าน
และทั้งหมดนั้นก็คือ บทสรุปหัวข้อสัมมนา SEO Trend 2020 จากงาน I Creator 2019
ครับผม
ฟังคลิปแบบ Video กันก็ได้นะครับ 40 นาที
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019 | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Youtube Premium มาไทยแล้ว พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน สำหรับคนใช้ iOS
Youtube Premium มาไทยแล้ว พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน สำหรับคนใช้ iOS
ดูหนังฟังเพลง ไม่มีสะดุด
เปิด Youtube แบบไม่มีโฆษณาได้แล้ว
พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน
สำหรับคนใช้ iOS
เชื่อว่าหลายๆ คน ที่ชอบดู Youtube อยู่เป็นประจำ
น่าจะเฝ้ารอคอยบริการ อะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราไม่ต้องดูโฆษณาตอนต้นคลิป
(ฝั่ง Youtuber ไม่น่าจะชอบ เพราะหมายถึงรายได้จากค่าโฆษณา ที่ลดลง แต่ไม่น่าจะลดลงขนาดนั้น)
ตอนนี้บริการที่ว่านั้น มาถึงเมืองไทยแล้ว
เมื่อ Youtube ได้เปิดบริการ YouTube Premium
บริการที่ทำให้คุณได้ดู content ใน Youtube แบบไม่ต้องรอโฆษณา หรือ กด skip ข้ามเลย
ซึ่งนั่นคือหนึ่งในบรรดาความพรีเมียมที่มีให้
เพราะคุณสมบัติที่มากกว่า Youtube แบบทั่วไป นั่นคือ
– บันทึก video และ playlist ลงในสมาร์ทโฟน เพื่อเล่นแบบ Offline ได้
– เล่น video ได้ขณะที่ใช้ application อื่นๆ ไปด้วยได้
YouTube Premium ประกอบด้วยอะไรบ้าง
YouTube Premium
• วิดีโอแบบไม่มีโฆษณา: รับชมวิดีโอมากมายโดยไม่มีโฆษณา
• ดาวน์โหลดวิดีโอเพื่อดูแบบออฟไลน์: บันทึกวิดีโอและเพลย์ลิสต์ลงในอุปกรณ์เคลื่อนที่ และเล่นแบบออฟไลน์
• การเล่นอยู่เบื้องหลัง: ให้วิดีโอยังเล่นอยู่ขณะใช้แอปอื่นๆ หรือเมื่อปิดหน้าจอ
(Android : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 159 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 239 บาทต่อเดือน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
(iOS : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 209 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 309 บาทต่อเดอน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
YouTube Music
• สำรวจโลกแห่งเสียงเพลงได้ง่ายๆ ด้วยแอป YouTube Music ใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง
• เพลงแบบไม่มีโฆษณา: ฟังเพลงมากมายโดยไม่มีโฆษณา
• ดาวน์โหลดเพลงเพื่อฟังแบบออฟไลน์: บันทึกเพลงและเพลย์ลิสต์ลงในแอป YouTube Music และฟังแบบออฟไลน์
• การเล่นอยู่เบื้องหลัง: ให้เพลงยังเล่นอยู่ขณะใช้แอปอื่นๆ หรือเมื่อปิดหน้าจอ
(Android : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 129 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 199 บาทต่อเดือน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
(iOS : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 169 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 259 บาทต่อเดอน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
YouTube Kids
• ไม่มีโฆษณาและเล่นแบบออฟไลน์ในแอป YouTube Kids
Google Play Music
• รวมอยู่แล้วโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การดาวน์โหลดวิดีโอและเพลงทำงานอย่างไร
ดาวน์โหลดวิดีโอและเพลงในอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อรับชมและฟังแบบออฟไลน์ได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โปรดดูที่บทความศูนย์ช่วยเหลือนี้สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีดาวน์โหลดวิดีโอและเพลง
ปล.
ถ้าซื้อ Youtube Premium ใช้งานได้ทั้ง Youtube Video + Youtube Music
เทคนิคประหยัดค่ารายเดือน สำหรับคนสมัครผ่าน iOS
สำหรับใครที่ใช้งาน iOS
แนะนำว่าให้สมัครผ่าน Desktop / mobile web หรือ Android แล้วมา Login ผ่าน application แทน
จะได้ราคาเท่ากันจ้า ทำงานได้เหมือนกันเลย
แถมประหยัดกว่า!!
แล้วจะทำยังไง ถึงจะใช้บริการ Youtube Premium
ผ่าน Mobile Application
1. เปิด application Youtube ในมือถือของคุณ แล้วเข้าไปที่ User ด้านขวาบน
2. หาคำว่า Get YouTube Premium แล้วกดไป
3. ลองใช้งานได้ฟรี 1 เดือน หลังจากนั้น เสียเงินเดือนตาม Package จ้า
ผ่าน Desktop
1. หน้า youtube.com
2. เปิดเป็นค่าสมาชิกแบบเสียค่าใช้จ่าย
3. มีให้เลือกทั้งแบบ Youtube Premium และ Youtube Music
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
.
ลูกค้า กว่าจะหามาได้สักคนนึง
ต้องแลกกับค่าโฆษณา ค่าอินเตอร์เน็ต
เวลาที่เราพูดคุยกับเขาจนจบ
.
จะดีกว่ามั้ย หากเขาจะกลับมาซื้อซ้ำ
สินค้าของเราอีกครั้ง
หรือ ซื้อแล้ว ซื้ออีกเรื่อยๆ
.
นั่นคือความประทับใจ
แต่จะทำให้เขาประทับใจอย่างไรกันดีล่ะ
.
วันนี้เลยขอมาแชร์ เคล็ดลับดีๆ
ที่คนขายของดีๆ เขาทำกัน
บางท่านที่ใช้เทคนิคนี้อยู่แล้ว ก็ถือว่าดีเลยครับ
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยทำ
ลองไปใช้กันดูจ้า
เอาล่ะ มาดูกันเลย
1. แจ้งสถานะการส่ง ทุกครั้ง
เพราะ การซื้อของออนไลน์ หรือ ใช้บริการออนไลน์
คนอยากรู้ว่า ของจะมาถึงตัวเองเมื่อไร
หัวใจมันร่ำร้องบอกว่า
มาเร็วๆๆๆ
.
สมัยนี้ ระบบ tracking ต่างๆ ของบริษัทขนส่ง หรือ Logistic นั้น
ตรวจสอบกันได้ทุกระยะ อยู่แล้ว
.
การส่งเลข EMS หรือ tracking number ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องบอก
จะสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจให้ลูกค้า ว่าได้รับของแน่นอน
.
เหมือนที่เราเห็นใน shopee lazada ต่างๆ แหละครับ
(ใจคนคอย มันเต็มไปด้วยความหวังนะ 😉
.
2. การแนบโบรชัวร์ สินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปให้
เมื่อกล่องสินค้า ไปถึงมือลูกค้าแล้ว
ความตื่นเต้นจะบังเกิด กับลูกค้า
เขาจะแกะกล่อง เพื่อตรวจสอบ สำรวจสินค้าทันที
.
ดังนั้น เขาจะสนใจ ของทุกอย่างที่อยู่ด้านในเสมอ
นี่คือโอกาส ในการขายของเพิ่มเติม
.
กระดาษสักใบ ที่แสดงสินค้าอื่นๆ ที่คุณมีอยู่พร้อมราคา
คือการเพิ่มยอดให้คุณ!!
.
เสียค่าแอดแล้ว กระดาษ 1 ใบ ราคาถูกกว่าค่าแอดอีกนะครับ
.
3. การให้ส่วนลด เมื่อซื้อครั้งต่อไป
ข้อเสนอสำหรับคนพิเศษ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
เราจึงขอมอบส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป ในร้านเรา
เพียงแสดงโค้ดนี้มาด้วย
.
แม้เขาจะไม่ได้ซื้อในทันที
แต่ครั้งต่อไป เขาจะนึกถึงเรา เป็นลำดับต้นๆ
.
ส่วนลดกับลูกค้าที่เคยซื้อของจากเราไป
กับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ในระยะยาว
ผมว่าคุ้มค่านะครับ
.
4. การให้ของแถมเล็กๆน้อยๆ กับ ลูกค้า
ของที่ระลึก หรือ ของแถม ที่มีประโยชน์กับเขา
สอดคล้องกับสินค้าของเรา
จะทำให้ลูกค้าจดจำ เราได้เสมอ
.
จดจำได้ว่า เคยซื้ออะไรจากเรา
จดจำได้ว่า เรามีความใส่ใจ ให้ลูกค้า
.
อย่างผมซื้อที่ชาร์จ กล้องถ่ายภาพมาจากเพจขาย Battery แห่งหนึ่ง
สิ่งที่เขาทำได้ดี คือการแถมผ้าเช็ดเลนส์ มาให้ด้วย
ซึ่งติดโลโก้ของแบรนด์มาเรียบร้อย
.
ทำให้ทุกครั้งเวลาเช็ด ผมจะเห็นโลโก้ของเขาตลอด
และหากผมไปเช็ด ตอนไปเที่ยว
.
เพื่อนๆ ก็จะเห็น และ รู้จักแบรนด์ไปในตัว
โดยที่ไม่ต้องเสียค่ายิงแอดเลย
.
5. การเข้าไปทักทายต่อยอดกับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
เมื่อสินค้า ถึงมือแล้ว
การเข้าไปสอบถาม พูดคุยแสดงความเป็นกันเอง บ้าง
จะทำให้รู้สึกดี ว่าเอาใจใส่
.
ฝั่งคนขาย ก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า
อะไรดี อะไรไม่ดี
ต้องไปปรับปรุงตรงไหนบ้าง
.
และหากรักษา ความสัมพันธ์ได้ดี
การซื้อครั้งต่อไป ก็ไม่ยาก
.
เอาล่ะ
นั่นคือ 5 เคล็ดลับ ที่มัดใจให้ลูกค้าติดหนึบ
หลังจากปิดการขายเรียบร้อยแล้ว
.
ลองไปใช้กันดูนะครับ
.
อ้อ ที่สำคัญที่สุด
เมื่อมีลูกค้าที่ปิดได้แล้ว
.
การเก็บข้อมูลลูกค้าของเราเอาไว้
คือสิ่งสำคัญที่สุด นะครับ
เพราะนี่คือ ทรัพย์สินที่มีค่าสุดๆ ของเรา
.
อย่าทำหายนาจา
เอาไปทำการตลาดภายหลัง
จะโทรหา หรือ SMS ไปบ้าง
ก็ไม่ว่ากัน
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ เป็นกำลังใจให้บ้างนะจ๊ะ 😉
.
#digitalnook