เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน
ในยุคที่ใครๆ ก็บอกว่า การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ
หนังสือ คอร์สออนไลน์ สัมมนา ทั้งฟรี หรือ ไม่ฟรี
คือสิ่งที่เราซื้อ เก็บไว้
เรียนๆๆ ชื่นชอบ เฮฮา ไฟลุกพรึบ!!!
อันนี้ คือความสุขของการได้เรียนจริงๆ ครับ
ผมเองก็ผ่านการเรียนรู้ มาหลากหลายประเภทมากครับ
การพูด การเขียน การทำโฆษณา การตัดต่อ การทำเว็บ
การยิงแอดเฟสบุ๊ค การยิงแอด google
อ่านหนังสือ twitter / line@ / instagram
google analytics / wordpress
มากมายหลายหลาก คณานับ
แต่จะมีความรู้ที่เกิดผลลัพธ์ได้จริง
ก็ต่อเมื่อ ได้ลงมือทำ
หากเรียนรู้แล้ว ได้ลงมือทำบ่อยๆ
เราจะเจอข้อเท็จจริง เจอข้อมูลที่ไม่มีในหนังสือ หรือ ตำราใดๆ
เป็นการค้นพบสูตรลับ อย่างแท้จริง (เพราะยังไม่มีใครเขียนไว้)
เพราะขนาดอะไรที่ไม่ค่อยได้ทำ
ยังต้องกลับไปเปิดตำรา หรือ สิ่งที่ตัวเองโน้ตเอาไว้ อีกรอบ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นะครับ
(สบายใจได้ครับ อันนี้คือเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด ถ้าคุณจะลืมไปบ้าง เพราะไม่ค่อยได้ทำ หรือเรียกกันว่า คืนครู ไปหมดแล้ว)
ดังนั้น คำพูดที่กล่าวว่า
“เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน”
จึงเป็นเรื่องจริง 100%
เรียนแล้ว ลงมือทำนะครับ
เงินที่จ่ายไป จะได้เป็นการลงทุน
ไม่ใช่ ค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน ที่หายไป กับกาลเวลา…
เปิดร้านขายยา อยากเพิ่มยอดขาย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
เมื่อไม่นานมานี้ ได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งครับ
เปิดร้านขายยา อยู่ที่ต่างจังหวัด
แต่อยากจะขยายตลาดออกไป ให้กว้างมากกว่าเดิม
จะทำยังไงดี
จะขายยาผ่านออนไลน์ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะ ผิดกฏหมาย ทำไป ก็มีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้น ทางออกก็คือ ทำยังไง ให้คนรู้จักร้านของเรามากขึ้น
การตลาดออนไลน์ ที่เหมาะกับร้านขายยา ก็คือ การทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จัก
ซึ่งลูกค้ามีสองแบบ นั่นคือ ลูกค้าเก่า กับ ลูกค้าใหม่
ลูกค้าเก่า
คือคนที่รู้จักเราอยู่แล้ว คนที่เคยซื้อยาของเรา มีความเชื่อใจ และกลับมาซื้อบ่อยๆ ได้ การสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ ที่เร็วที่สุด ก็คือ LINE OA บางคน อาจจะบอกว่า ใช้ไลน์ปกติ แอดกันก็ได้นิ ไม่เห็นต้องไปสร้าง LINE OA ให้ยุ่งยาก
ไม่มีปัญหานะครับ แต่ในระยะยาว การใช้ LINE ปกติ หรือ LINE Profile มาทำงาน ก็เหมือนเราเอา ชีวิตส่วนตัว ไปพัวพันกับเรื่องงาน ตลอดเวลา เวลาจะตอบ ก็ต้องตอบเองตลอด ไม่มีใครมาช่วยตอบ
ลูกค้าเวลาทักมา ไม่ได้ดูเวลาหรอกนะครับ ว่าจะทักมาตอนไหน เพราะมีความต้องการเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่สำหรับ LINE OA เราสามารถช่วยกันตอบคำถามลูกค้า ได้มากกว่า 1 คนอยู่แล้ว
คนนี้ไม่ว่าง ก็ให้อีกคนช่วยตอบ หรือ ถ้านอกเหนือเวลาทำงาน เรายังตั้งเวลา ให้ระบบ บอกลูกค้าว่า ตอนนี้ปิดทำการ ให้ฝากคำถามเอาไว้ได้ ทำให้ไม่พลาด เรื่องการสื่อสารกับลูกค้าอย่างแน่นอน
หรือถ้าใครถนัดทางเฟสบุ๊ค ก็สามารถทำได้ สร้างเพจขึ้นมาเลย เพื่อบอกว่า ร้านเราทำอะไร โพสต์ เรื่องราวที่คนทั่วไป ควรรู้ ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับยา การให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย สารพัดเรื่องที่จะเล่า
รวมทั้งการตอบคำถามทาง inbox เพื่อให้ลูกค้า ได้สอบถาม ก่อนจะมาซื้อที่ร้าน ปรึกษาเบื้องต้น หรือ ยาหมด ยาไม่หมด ก็ให้คำตอบลูกค้าไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียเวลา
ลูกค้าใหม่
สำหรับคนทั่วไป ที่มองหาร้านขายยา ส่วนใหญ่ มักจะหาร้านที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ เพราะมีความเร่งด่วน จำเป็นต้องซื้อ ส่วนใหญ่จะเข้า Google แล้วพิมพ์ด้วยคำว่า ร้านยา ตามด้วยพื้นที่ เช่น ร้านยา ลาดพร้าว ร้านยา ห้วยขวาง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ขึ้นมาในหน้า Google ส่วนใหญ่จะมีทั้งบทความ เว็บไซต์ รวมไปถึง เฟสบุ๊คด้วย
แต่ผลการค้นหาที่ขึ้นมาโดดเด่นและชัดเจนสุดๆ ยิ่งกว่าบรรดาลิงค์ต่างๆ นั้นก็คือ ผลการค้นหาใน Google Maps นั่นเอง ซึ่งหากธุรกิจไหนเอาตัวเองไปอยู่ในแผนที่ Google และติดอยู่ในอันดับบนๆ โอกาสที่ลูกค้าใหม่ๆ ที่กำลังหาร้านขายยา ก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
เราเรียกกันว่า Google My Business นั่นเอง
ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้หมุด พิกัดร้านของเรา ค้นหาได้ง่าย นั่นคือ คำค้นหา นั่นเอง
แต่การจะปรับปรุงชื่อธุรกิจใน Google My business ได้นั้น เจ้าของกิจการจะต้องทำการ ยืนยันตัวตนเสียก่อน หรือ การ verify นั่นเอง (ตอนนี้ จะยังไม่ลงรายละเอียดนะครับ)
มองเป็นไอเดีย สำหรับเจ้าของธุรกิจนะครับ
อย่าเพิ่งยึดติดกับ เครื่องมือจนมากเกินไป
แต่ให้มองว่า เราจะไปเจอ ลูกค้าแต่ละแบบของเรา ได้อย่างไร
แล้วเอาตัวเอง ไปอยู่ที่จุดนั้น
เครื่องมือทางการตลาดจึงค่อยตามมาภายหลังครับ
เพราะการตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีแค่เฟสบุ๊คอย่างเดียว 😉
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เพิ่มยอดขายร้านอาหาร 3 เท่า แบบไม่ยิงแอด ทำได้แบบนี้
ยุคนี้ ธุรกิจกับการทำโฆษณา ทำการตลาด ถือเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว
การทำโฆษณา มันไม่ใช่ค่าจ่าย แต่คือการลงทุน
เพราะทุกครั้งที่จ่ายไป เราจะได้กลับคืนมา
ไม่ใช่ยอดขาย ก็คือ การรู้จัก
แต่วันนี้ สิ่งที่จะมาแนะนำ คือ อีกหนึ่งวิธี ที่ทำให้เราเพิ่มยอดขาย ด้วยการทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเรา
แม้ไม่ได้ยิงแอด ทำโฆษณาเลยก็ตาม
วิธีนี้ เป็นวิธีที่ผมใช้ได้ผลมาแล้วกับร้านเค้ก ที่ผมช่วยทำการตลาดให้
ทำให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเข้ามาที่ร้านอยู่เสมอ หรือ สั่งเค้กแบบ Delivery เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม! 2 เท่า
อยากรู้ใช่มั้ยครับ
มา มาเลย รับรองว่า คุ้มค่าน่าทำแน่นอน
1. wongnai
นี่คือ application ที่คนไทย ใช้หาข้าวกินเสมอ การที่มีข้อมูลใน wongnai เพิ่มโอกาส ให้ลูกค้าใหม่ๆ ที่มองหาร้านอาหาร มาเจอเราได้ง่ายๆ
ข้อมูลร้านอาหาร นั้น User ใน wongnai มีสิทธิ์เพิ่มเข้าไปได้ทุกคน แต่สำหรับร้านอาหารที่ต้องการเอาจริงเรื่องนี้ แนะนำ ให้ไปอ้างสิทธิ์ เพื่อเข้าไปจัดการ ข้อมูลภายในร้านด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ในการดูแลเรื่อง คนรีวิว เมนูอาหาร รวมทั้งการทำ Delivery กับ line man ในลำดับต่อไป
รวมทั้งเราสามารถจะ ติดต่อ บรรดาคนดังใน app wongnai ที่เรียกว่า wongni elite มารีวิวร้านของเราได้ (แล้วแต่เทคนิคในการติดต่อ)
ที่สำคัญ search ติดอันดับง่ายๆ ใน google มากที่สุด
2. Google my Business
อันนี้คือของฟรี ที่ถือว่าคลาสสิกที่สุด เพราะว่าคนไทย เน้นการหาร้านอาหารใหม่ ด้วยการ search อยู่เสมอ
ที่สำคัญ คนคนหาร้านอาหารจาก Google Maps ดังนั้น ถ้าเรามีข้อมูลในนี้ คนจะตามมาที่ร้านได้ง่ายมาก
การเพิ่มข้อมูลลงใน Maps ของ Google หรือที่เราเรียกง่ายๆว่าการปักหมุด สามารถทำได้ทุกคน แต่สิ่งที่เจ้าของร้านอาหารควรจะทำ นั่นคือการยืนยันธุรกิจบน Google Map
ผมจะไม่ลงรายละเอียดการยืนยันธุรกิจแต่ขอบอกว่า ถ้ายืนยันแล้ว
คุณจะสามารถจัดการ ชื่อร้าน ได้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเจอเรา ด้วย keyword ง่ายๆ เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเค้ก ร้านกาแฟ แล้วตามด้วย ชื่อสถานที่ ที่ร้านเราตั้งอยู่
เท่านี้ ก็หาคนใหม่ๆ มาเข้าร้านได้แล้ว
3. TripAdvisor
สำหรับคนไทย มักจะใช้ google กับ wognnai ในการหาร้านอาหารอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับคนต่างประเทศบางส่วน จะนิยมใช้ tripadvisor ในการหาร้านอาหารใหม่ๆ
เพราะเชื่อรีวิว ที่พูดถึงร้าน เนื่องจากเป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง จึงให้ความเชื่อใจมากกว่า
เจ้าของร้าน สามารถสร้างหมุดได้เอง และยืนยันการเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายๆ ด้วยเบอร์โทรศัพท์ของร้าน
รีบทำเลยครับ เพราะว่าร้านไหน ได้ดาวเยอะ คนรีวิวเยอะ ต่างชาติ จะตามมากินกันเพียบ
4. Food Delivery Application
วิธีนี้ เป็นวิธีที่แตกต่างไปจาก สามแบบก่อนหน้า แต่ว่า เหมาะสำหรับคนที่อยากเพิ่มยอดขาย ด้วยการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างในเชิงธุรกิจ
นั่นคือการลงข้อมูล เป็นพันธมิตรกับ Food Delivery application เอาง่ายๆ เลยก็ประเภท line man / food panda / get / grabfood
เงื่อนไขค่า commission ในแต่ละที่นั้น จะแตกต่างกันไป แต่ข้อดีของการเป็น Partner หรือพันธมิตร ก็คือ สามารถร่วมโปรโมชั่น ค่าส่งถูกชนิดที่ คนกิน กดออเดอร์แบบไม่ต้องคิด
เจ้าของร้านบางคน อาจจะมองว่า โดนหักส่วนแบ่ง แล้วจะดียังไง
ให้คิดแบบนี้ครับ ถ้าคนได้ลองกินอาหารของร้านเราแล้ว เขาชอบ เขาติดใจ ก็จะสั่งอีก แม้ไม่ต้องเดินทางมาที่ร้าน ก็กินอาหารของเราได้ กำไรอาจจะน้อยลงไป แต่ได้คนรู้จักเรามากขึ้น
จะรอแต่คนมากินที่ร้าน ก็อาจจะ ไม่ไหวแล้ว เพราะยุคนี้
นอกจาก ที่จอดรถ การเดินทาง เรื่องฝุ่น หรือเรื่อง ไข้หวัด ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านสักเท่าไร
ลองพิจารณากันนะครับ
แถมท้ายให้นิดๆ แล้วการวัดผลล่ะ?
วิธีการตรวจสอบว่า ลูกค้าใหม่เข้าร้านได้บ่อยแค่ไหน
มันง่ายมากเลยครับ
ใครที่ถามว่า ห้องน้ำไปทางไหน อันนั้นแหละคือลูกค้าใหม๋
เพราะว่า ถ้าขาประจำ เขาไม่ถามแล้ว รู้ทางไปอยู่แล้ว!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
.
หลังจากที่ LINE ได้ออกมาประกาศว่า
จะเปิดให้ User ที่ใช้ LINE OA ได้ลงโฆษณา ได้ด้วยตัวเอง
ทำให้หลายคน ตื่นตัว และอยากรู้ว่า ทำงานอย่างไร
.
ล่าสุด มีข้อมูล Update รายละเอียดการโฆษณาผ่าน LINE ที่มากขึ้นกว่าเดิม
จาก LINE Business โดยตรงจากลิงค์นี้
ทำความรู้จัก LINE Ads Platform และ 4 เหตุผลที่ต้องใช้ถ้าอยากให้ธุรกิจโต
.
ผมเลยขอกล่าวถึงโฆษณาของ LINE ที่เราจะมาทำโฆษณาได้เอง รวมทั้งเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้า
ดังนี้ครับ
.
จะมีคนเห็นโฆษณา มากน้อยแค่ไหน?
คนเข้าใช้งาน LINE นอกจากการแชท
ก็มักจะอ่านบทความใน LINE TODAY เสมอ ซึ่งมียอดวิวที่ 2500 ล้านต่อเดือน ถ้าเทียบกับคนใช้งาน LINE 44 ล้านคน ก็เท่ากับ เข้ามาดูคนละ 56 วิวต่อเดือนเลยนะครับ
.
ตำแหน่งโฆษณา ในไลน์อยู่ตรงไหน?
.
เรามาดูกันก่อนว่า ตำแหน่งโฆษณาของ LINE นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
.
1. Timeline : อยู่ในหน้า timeline ถ้าเปรียบไป ก็เหมือน newsfeed ของ เฟสบุ๊คเลยครับ ซึ่งคนใช้ไลน์ ก็มักจะโฆษณากันตรงนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
2. Article page end0 / Article page end1 / Article page end2 อยู่ด้านท้ายของบทความ เป็นหลักเลยครับ ถ้าในเฟสบุ๊ค เราจะเห็นลักษณะของโฆษณาแบบนี้ อยู่ใน instant article บ่อยๆ
3. Top Page Top2 / Top Page Top3 : อยู่ด้านบนของบทความใน LINE เป็นหลัก
วัตุประสงค์ในไลน์ มีเหมือนเฟสบุ๊คมั้ย
เฟสบุ๊ค มี 11 objective
.
– Awareness สร้างการรับรู้
> Brand awareness
> Reach
.
– Consideration การตัดสินใจ
> traffic
> engagement
> app install
> video view
> lead generatio
> message
.
– Conversion การลงโฆษณาเพื่อสร้างผลลัพธ์ชัดเจน
> Conversions
> catalog sales
> store traffic
.
สำหรับ LINE Ads platform มี 4 objective โดยแบ่งออกเป็น
1. การรับรู้แบรนด์ และ Awareness
แบ่งออกเป็นเรื่องของ
1.1.การเข้าถึง และ ความถี่ : เราสามารถเลือกให้แต่ละคน เห็นโฆษณาของเราได้มากน้อย แค่ไหน เลือกความถี่ได้ตามความต้องการ ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดีนะ ขนาดเรายังเบื่อเลยที่เห็นโฆษณาอัดๆๆถี่ๆๆ
.
ซึ่งเทียบได้กับ Reach ใน เฟสบุ๊คนั่นเอง
.
1.2.การเยี่ยมชมเว็บไซต์ : เหมาะสำหรับการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลของสินค้า หรือบริการที่เรามีอยู่ ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้น มีการเก็บ pixel และ google analytics ก็จะเป็นข้อดีเข้าไปอีก เพราะสามารถเก็บฐานข้อมูลของคนจาก platform ไลน์ ไปใช้งานเพิ่มได้อีก
.
เทียบได้กับ Traffic หรือการเยี่ยมชม ในเฟสบุ๊ค นั่นเอง
.
2. เพิ่มฐานลูกค้า
มีสองแบบ นั่นคือ
.
2.1 เพิ่มคนใน LINE OA ของเราให้มากขึ้น เพื่อเอาไว้ ส่งข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ได้ในภายหลัง
.
เทียบได้กับ engagement แบบเพิ่มคนติดตาม ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
2.2 ให้คนดาวน์โหลด application : อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี application แล้วอยากเพิ่ม member ตอนนี้ ไลน์เปิดโอกาส ให้คุณในช่องนี้แล้วจ้า
.
เทียบได้กับ App installation ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3. เพิ่มยอดขาย
มีสองแบบ คือ
3.1 ซื้อของ (website conversion) : ตัวนี้ จะต่างจากการเข้าชมเว็บไซต์ ตรงที่ เราสามารถเก็บข้อมูล คนที่เคยคลิก หรือเคยซื้อ ผ่าน platform LINE เพื่อไปทำการ Retarget ได้อีกครั้ง (เออ อันนี้น่าสนใจ)
.
เทียบได้กับ Conversion ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3.2 ใช้งาน application : ปกติคนใช้งาน application ถ้าโหลดมาแล้ว บางครั้ง อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน การโฆษณาไปเด้งเตือนให้ User กลับมาใช้งาน ใน platform ที่เขาคุ้นเคย จึงเป็นอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยได้
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
4. รักษาฐานลูกค้าเดิม
ทางไลน์ใช้กระบวนที่เรียกว่า การนำเสนอสินค้าแบบไดนามิก : เป็นการแสดงสินค้าเฉพาะบุคคล คือ personalization มากขึ้น ไม่ใช่โฆษณาแบบหว่าน ซึ่งจะเพิ่มโอกาส ให้คนซื้อสินค้านั้นๆ เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
กลุ่มเป้าหมาย ในไลน์มีกี่แบบ
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน LINE สามารถแบ่งได้ตาม
– อายุ
– เพศ
– พื้นที่
– OS เลือกได้ว่าจะเป็น iOS หรือ Android
– ความสนใจ อาทิ แฟชั่น ความงาม บันเทิง ท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงิน (คาดว่าน่าจะมาจากการคลิกดูข้อมูล ของคนที่ใช้ไลน์)
.
Custom audience
นอกจาก กลุ่มเป้าหมายแบบปกติ ที่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ทางไลน์ ยังพัฒนาให้เราสามารถ โฆษณาโดยทำ custom audience ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง จากการเข้ามาใช้งานใน LINE OA เว็บไซต์ หรือ applicaton (หากใครเคยทำ custom audience ในเฟสบุ๊คมาก่อน น่าจะเข้าใจไม่ยาก)
.
ที่สำคัญ custom audience สามารถนำมาสร้าง เป็น Look a like audience ได้ด้วย (ใครเคยทำในเฟสบุ๊ค มาก่อน ถือว่าได้เปรียบ)
รูปแบบการซื้อ โฆษณาในไลน์ คิดราคายังไง
การซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่ เราจะคุ้มชินกับหน่วยของ CPM เป็นหลัก นั่นคือ คนเห็น 1000 ครั้ง เสียเงินกี่บาท (จริงๆ มีแบ่งเยอะกว่านั้น เช่น cost per engagement / cost per click / cost per like หรือ cost per conversion เป็นต้น)
.
สำหรับ LINE นั้น การซื้อโฆษณา มีให้เลือกสามแบบ นั่นคือ
1. การเห็น นับเป็น CPM (Cost per 1,000 impression จริงๆ คำว่า M ย่อมาจาก Mille ที่แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน)
2. การคลิก นับเป็น CPC (Cost per click)
3. การเพิ่มเพื่อน นับเป็น CPF (cost per friends)
.
สรุป
ข้อดี
– สำหรับคนที่ใช้ LINE ในการสร้างยอดขายอยู่แล้ว ก็จะลดขั้นตอนการติดต่อผ่าน เอเจนซี่
– เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่ใช้งาน เฟสบุ๊คมาเป็นเวลานาน แล้วอยากลอง platform อื่นๆบ้าง
สิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด
– ราคาในการสร้าง campaign จะถูก หรือ แพง ยังไม่มีใครทราบ แต่หากราคาออกมาแพง ก็จะเป็นการคัดให้เหลือผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้เงินโฆษณา เพื่อสร้างยอดขายน้อยลง (อันนี้ คาดเดาจาก ตอนที่ขายผ่าน เอเจนซี่ แล้วเริ่มต้นที่หลักหมื่นต่อเดือน)
– กฏระเบียบต่างๆ จะมีมากเท่าเฟสบุ๊คมั้ย ยังไม่มีระบุออกมา แต่อย่างน้อย การควบคุมคุณภาพ ให้ผ่านเกณฑ์ คือเรื่องสำคัญ ที่ไลน์ต้องกำหนด
– ซื้อได้มากน้อยแค่ไหน มีลิมิตหรือเปล่า อันนี้ยังไม่ได้ระบุ
– โฆษณาจะกระจายไปยังต่างประเทศ หรือ ประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ อันนี้ ยังไม่มีระบุออกมา เพราะเท่าที่มีข้อมูล ตอนนี้ คนลาว ใช้ whatsapp มากกว่า LINE (แต่สำหรับอนาคต นั้นยังไม่แน่)
.
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทางผมจะนำเสนอให้ทราบกันในลำดับต่อไปนะครับ 😉
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
.
ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้งาน internet ในบ้านเรา ประจำรอบ JAN 2020
ซึ่งเป็นเก็บรวบรวมข้อมูล ล่าสุดมาให้อ่านกัน
.
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นตัวที่ทำให้เรา ได้ตัดสินใจ หรือ คิดวางแผนได้ล่วงหน้าว่า
จะต้องปรับตัวอย่างไร ให้ทันกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน internet จริงๆ
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะเหมือนเดิม
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะทำให้แปลกใจ
.
เอาล่ะ
จะเป็นอย่างไรนั้น อย่ารอช้า มาดูกันเลย
.
ข้อมูลโดยรวม!
คนไทยทั้งหมด 69.71 ล้านคน มีมือถือทั้งหมด 93.39 ล้านคน ใช้ internet 52 ล้านคน
.
คนไทยใช้สมาร์ทโฟนแทบจะ 100% ไปแล้ว
.
เวลาทั้งหมดของการใช้ internet ของคนไทย หมดไปกับการดู หนัง แชท และ ฟังเพลง ชอบความบันเทิงไง!!
.
ความเร็วเฉลี่ย internet มือถือเร็วขึ้น 48% ส่วน internet บ้านเพิ่มขึ้น 117% (สำรวจจากคนส่วนใหญ่ ใครเน็ทช้า ลองเช็คว่าเราใช้ pakage ไหนด้วยนะ)
.
สมัยก่อนเราเข้าใจว่า traffic เข้าเว็บมาจากมือถือ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่า มาจาก computer มากกว่า (อันนี้เปลี่ยนความคิดคนทำเว็บไปพอสมควร)
.
เว็บยอดนิยม ยังเป็น google เฟสบุ๊คและ youtube แต่เว็บโป๊ก็ยังติดอันดับ 9 ที่คนดูเยอะสุด ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 16 นาทีต่อครั้ง! (อืม…)
.
คำค้นหาของคนไทย ยังวนเวียน กับเรื่อง บอล หวย หนัง เหมือนเดิม (คลาสสิกสุดๆ)
.
กิจกรรมยอดนิยมของคนไทยก็ยังเป็นการดูคลิป ดู VLOG แต่ที่น่าสนใจคือการฟัง podcast ที่ติดอันดับมาด้วย!
.
คนไทยใช้ voice search เพิ่มขึ้น จ่ายเงินรายเดือนเพื่อดูหนังเพิ่มมากขึ้น (netflix เป็นต้น)
.
การใช้ social media ของคนไทย อยู่ที่ช่วงวัย 25-34 มากที่สุด รองลงมาคือ 18-24
.
ที่ผ่านมา social media น้องใหม่อย่าง tiktok มาแรงมากๆ รองจาก twitter และ instagram ใครอยากหาตลาดใหม่ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ต้องไปศึกษา (ไปสร้างให้คนพูดถึงแบรนด์ แต่จะมี account หรือไม่มีก็ได้ ถ้านึกไม่ออก ให้ดูการตลาดของเพลง วิบวับ ที่ดังมาจาก วิบวับชาเลนจ์)
.
instagram คืออาณาจักรของสาวน้อย เพราะมีผู้หญิงใช้งาน 63% จากทั้งหมด 12 ล้านคน
.
twitter คืออาณาจักรของสาวน้อยยิ่งกว่า instagram เพราะมีผู้หญิงใช้งานมากถึง 78% จาก 6.55 ล้านคน (พฤติกรรมส่วนใหญ่ คือ การติดตามข่าวสารที่ไวมากๆ ส่วนวิธีการพูด การสื่อสาร จะต้องเป็นกันเอง ไม่ต้องเยิ่นเย้อ เพราะคำพูดที่เขียนได้มีจำกัด แค่ 280 ตัวอักษร และใส่ภาพได้สูงสุด 4 ภาพ)
.
llinkedin มีคนใช้งาน 2.7 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ชายใช้งานมากกว่า (วัยทำงานด้วย)
.
คนซื้ออะไรในออนไลน์
มากที่สุดคือ ท่องเที่ยว 6.12 พันล้าน USD เสื้อผ้า 1.03 พันล้านเหรียญ USD แต่ที่น่าสนใจ คือตลาดเกมส์ 227 ล้านเหรียญ USD
.
ธุรกิจอะไรเติบโตก้าวกระโดดในอีคอมเมิร์ซ บ้านเรา
ธุรกิจอาหาร และ การดูแลสุขภาพ มาเป็นอันดับ 1 22% รองลงมาคือ ของเล่น งาน DIY โต 19% ส่วนเสื้อผ้า และ เฟอร์มาไล่ๆกัน
.
ลูกค้าเจอแบรนด์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางไหน?
ที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าไปหาเจอใน search engine ถึง 41% คาดว่าน่าจะมาจาก Google Maps ใครอยากเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ให้ไปเรียนรู้เรื่อง google my business ครับ รองลงมายังเป็นทีวีนะจ๊ะ
.
ทั้งหมดนี้ คือสรุป การใช้งาน Thailand internet 2020 ที่สรุปมาจาก weare social และ hoot suit ซึ่งจะทำออกมาเป็นประจำ
.
ถือเป็นข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานกันนะครับ
แต่หน้างานจริงๆ ก็ให้ยึดจากข้อมูล ที่เราเจอจริงๆ
อาจจะแตกต่างไปจากที่เขาสรุปมาให้ก็ได้
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ 😉
ที่มาของข้อมูล
https://datareportal.com/reports/digital-2020-thailand
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
คัมภีร์ 7 วิถี สู้ปัญหา เฟสบุ๊ค ลด Reach
เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า Social Media ที่คนไทยใช้กันมากที่สุด
คือ Facebook
แต่ทุกๆปี Facebook จะทำการลดสปีดหรือการเข้าถึงให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
เมื่อเราอยู่บ้านหลังนี้เขาวางกฏเอาไว้อย่างไร
เราก็คงต้องปฏิบัติตาม
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า Facebook จะลดการเข้าถึง ให้น้อยลงไปอีก
ผมเลยขออาสาเขียนวิธี 7 วิธีสู้ปัญหา Facebook ลด Reach
มาให้ทุกคนได้ไปปรับใช้กับเพจ Facebook ของตัวเอง
1.เลี่ยง keyword ที่ขาย เพราะ Facebook รู้ว่าเรากำลังขาย
โดยปกติแล้วถ้ามีคำพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับการขายของ Facebook จะมองว่านี่คือโฆษณา ล่าสุดลามมาถึงระดับ Facebook ส่วนตัว หากเขียนคำว่าขายหรือราคา จะมีปุ่มให้กดทักแชทขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่อยากให้โพสต์คุณ เป็นการขายของ ให้ลด หรือ งด คำว่าราคา ขาย เช่า ไปบ้าง
(แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็เขียนเป็นไปเถอะครับ)
2.งด การทำ Before After แม้จะไม่ได้โฆษณา
หากใครเป็นสายสุขภาพสกินแคร์ สิ่งที่พยายามจะเลี่ยงก็คือเรื่องของ Before After บางคนเลี่ยงมีโฆษณา แต่ว่าโพสต์ตามปกติแทน แล้วคิดว่ามันไม่ผิด
แต่อันที่จริงแล้ว Facebook เขามองทั้งหมดแหละครับ ทั้งแบบโฆษณาและไม่โฆษณา ถ้าใครยังทำอยู่ Facebook มองว่านี่คือ Landing Page ที่สร้างประสบการณ์ไม่ดี
3.ใช้สูตร content 80/15/5
เรื่องนี้ ผมขอเขียนสั้นๆ นะครับ เพราะใครอยากอ่านละเอียด ผมขอส่ง link ให้ไปอ่านต่อครับ
80 = การเขียน content ให้คุณค่า
15 = การโชว์ผลงาน testimonial ต่างๆ
5 = การขายแบบไม่ขาย
ไปอ่านได้เลยครับ >> https://www.digitalnook.co/388/
4. งดการ capture chat inbox มาโพสต์
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ facebook เข้มข้นมากๆ เหตุผลไม่เกี่ยวกับเรื่องของ privacy แต่เป็นเรื่องของการอ้างอิง platform ของ Facebook มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมไปที่บทความนี่เลยครับ
https://www.digitalnook.co/369/
5.เพิ่มคนคุณภาพ เข้ามาในเพจ ด้วย content คุณภาพ
ฐานแฟนที่มีคุณภาพ คือ asset หรือสินทรัพย์ ที่คุณต้องระลึกถึงเสมอ เพราะเราไม่สามารถจะโฆษณาได้อยู่ตลอดเวลา และอีกหน่อยการโฆษณาก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ
การหาคนคุณภาพเข้ามาอยู่เป็นฐานแฟน คือสิ่งที่ต้องทำ
อยากรู้ว่าทำอย่างไร แนะนำให้ดูคลิปนี้นะครับ
>> https://www.digitalnook.co/522/
6. เปลี่ยนรูปแบบของโพสต์บ้าง อย่าทำรูปแบบเดิมๆ โดยเฉพาะ Live
การโพสรูปแบบเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ Facebook จะไม่ชอบ โดยเฉพาะการออกมาไลฟ์ ถ้าคุณทำถี่เกินไป คุณจะโดน Facebook ปรับการมองเห็นให้ลดลงแบบสุดๆ
บางคนถึงขั้นกับขึ้นป้ายสีแดงที่หน้าเพจ ซึ่งทำให้โพสต์อะไรคนก็จะไม่เห็น
ทางแก้อย่างเดียวก็คือ กด appeal แจ้งเหตุผลไปแจ้ง facebook ว่า ทำไมเพจเราถึงไม่ควรโดนปิดกั้นการมองเห็น
แย่น้อยที่สุด คือ โดนปิดการมองเห็นไว้ 7 วัน แต่ถ้าแย่มากๆ อาจจะไม่กลับมาเลย ก็เป็นได้
(ขอบอกว่า การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Facebook ขอให้คุยแบบภาษาธุรกิจนะครับอย่าไปเหวี่ยงใส่!!)
7. 5 โพสต์ที่ได้รับ Reach สูงสุดในเพจของคุณ คือแนวทางที่คุณต้องทำ
หลายคนพยายามนำเสนอสิ่งที่เราอยากจะบอก อยากจะเล่า แต่บางครั้งอาจจะไม่ถูกจริตคนติดตามเพจ ดังนั้น ให้ดูจากข้อมูล 5 โพสต์ในเพจของคุณที่ได้รับยอด Reach สูงๆ
ดูว่าคนชอบ Content เหล่านั้นเพราะอะไร ให้นำเอาแนวทางนั้นมาพัฒนาต่อ
นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนฝ่าฟันและอยู่ร่วมกับ Facebook อย่างมีความสุขในปี 2020
และในปีต่อไปตราบใดที่ยังมี Facebook ใช้งานกันอยู่
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
รวมข้อผิดพลาด การยิงแอดเฟสบุ๊ค ที่ทำให้ขาดทุน
สำหรับคนที่ทำธุรกิจออนไลน์แล้ว
การสร้างกำไร เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ซึ่งการจะสร้างกำไรให้เกิดกับธุรกิจของตัวเองได้นั้น
การทำโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาเฟสบุ๊คนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญ
หรือจะเรียกกันสั้นๆ ว่ายิงแอด ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่ ปัญหาที่เรามักจะพบเจอในกลุ่มนักยิงแอดมือใหม่ ก็คือ
ยิงแอดแล้วขาดทุน ยิงแอดแล้วไม่ได้กำไร
หรือบางครั้ง ก็บอกว่า ยิงแอดมั่ว
จากการสำรวจ และประสบการณ์จริง ที่ได้ทำการยิงแอดมา
ผมขอแชร์ข้อผิดพลาด ที่มักจะเจอบ่อยๆ ในการยิงแอด
ซึ่งนำพาไปสู่การขาดทุน ได้ง่ายๆ
จะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
1. ไม่ได้ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย
เอะอะ ก็กดปุ่ม Boost post เลยทันที ไม่ได้เลือก ไม่ได้คิดว่า คนเหล่านั้น เป็นกลุ่มคนที่ต้องการสินค้า หรือบริการของเราจริงๆ หรือเปล่า อันนี้ ถือเป็นเรื่องพลาดขั้นแรกเลยครับ
และส่วนใหญ่มือใหม่ ชอบกด boost post หาคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ใส่ความสนใจเลย
อันนี้ถือว่า ต้องลองคิดใหม่นะครับ
เครื่องมือที่ใช้เช็คหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ที่ควรใช้คือ Audience Insight และ เครื่องมือที่เรียกว่า Precise Maganetic (ฟรีนะครับ ไปหาโหลด chrome extension ได้)
2.ไม่ได้ทดสอบ content ที่จะนำมาโฆษณา
การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค ต้องใช้ศิลปะการถ่ายทอด การขยี้ การทำให้คนสนใจแบบสุดๆ ถ้าเราไม่ได้ทดสอบว่า Content แบบไหนที่คนชอบมาก่อน โอกาสเกิด ก็ยาก ค่าโฆษณาก็พุ่งปรี๊ดๆ แน่นอน
วิธีการทดสอบ Content ที่ง่ายที่สุด คือ ทำมาหลายๆ แล้วโพสต์ในเพจแบบปกติ ไม่ต้องจ่ายเงิน อันไหนที่ได้รับการมองเห็น การเข้าถึงเยอะ คนชอบกดไลค์ กดแชร์เยอะๆ ให้เอา content นั้นมาทำโฆษณา
3.ไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหา content
บางครั้ง เราใช้โฆษณาอันเดิม แบบเดิม ก็คิดว่ามัน สุดยอดแล้ว แต่จริงๆ content ไหนที่เราเห็นบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้
ดังนั้นการลองปรับปรุงเนื้อหา จะทำให้เจอผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้นเสมอ
4.ความอดทนในการทดสอบตัวโฆษณา
สำหรับมือใหม่ บางคน เห็นว่าแอดกินเงินไปแล้ว แต่ไม่มีใครทัก หรือ ไม่เกิดยอดขายเลย ก็ปิดไปซะแล้ว บางคนเปิดมา 2 ชั่วโมง ไม่เห็นยอดขาย ก็ปิด
ทางที่ดี คุณต้องปล่อยให้โฆษณาตัวนั้นวิ่งไปก่อน 7 วัน เพราะว่า ในแต่ละวัน การตอบรับของโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไป ให้เวลาโฆษณาทำงานนิดนึง ก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจปิด
5.ไม่ได้ตรวจเช็คการตั้งค่า ก่อนปล่อยแอด
บางครั้งตอนที่เราทำโฆษณา เราอาจจะใจร้อน รีบลงมือทำ พอเห็นว่าตั้งค่าอะไรเสร็จแล้ว ก็ปิดหน้าจอไป ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน
ผลเสียที่ตามมาก็คือ บางครั้ง เราตั้งค่าการจ่ายเงินผิด ลืมกำหนดเวลาสิ้นสุด กลายเป็นเปิดยาวตลอด ทำให้กินเงินไปฟรีๆ โดยที่ไม่รู้ว่า (อันนี้ เรื่องจริง เพราะมีน้องคนนึง เปิดโฆษณาไว้ 1 เดือน โดยไม่รู้ว่าตัวเองเปิดไว้ แถมแอดวิ่งไป แบบไม่มีคนทัก ก็เลยไม่รู้ว่าแอดยังเปิดอยู่)
6.ไม่ได้ไปดูผลลัพธ์ของการทำโฆษณา
เมื่อทำโฆษณาเสร็จแล้ว การตรวจดู report รายงานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้รู้ว่า ads ตัวไหนทำงานได้ดี แล้วทำงานได้ดีกับกลุ่มเป้าหมายไหนบ้าง
เพราะถ้าแอดตัวไหนไม่ดี เราดูจาก repor ก็ยังสามารถ นำข้อมูลจริงมาปรับปรุงโฆษณาให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ถ้าไม่ได้ดูเลย ก็จะใช้การมโนนึกแทน ไม่ได้หยิบข้อมูลมาใช้เลย แบบนี้น่าเสียดายครับ
ลองเช็คกันดูนะครับ ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
แล้วจะปรับปรุงอย่างไร
ทำผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะว่าถ้าเรารู้แล้วแก้ เรื่องแย่ๆ จะเป็นครูสอนเรา
แต่หากรู้ว่าพลาด แล้วไม่แก้ เรื่องแย่ๆ ก็จะใหญ่โตไปกว่าเดิม
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เงินล้านเงินแสนใครๆก็อยากได้ใช่ไหมครับ
มันอาจจะเป็นคำพูดติดปากของทุกๆคน
มันอาจจะเป็นคำพูดของเราในวันหวยออก
มันอาจจะเป็นคำพูดที่เราได้แต่พูด
และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตอะไร
เพราะว่าเราไม่ได้ลงมือทำ
ผมเองไม่ค่อยได้พูดเท่าไหร่ว่าอยากจะมีรายได้เป็นแสนเป็นล้าน
แต่คิดอยู่เสมอว่าฉันอยากจะมีเงินร้าน
และพยายามทำงานเก็บเงินเก็บออมเอาไว้
ทำแบบนี้มันก็ไม่ผิดนะครับ
แต่ว่าการเข้าใกล้ความฝันเงินหลักล้านก็จะไม่ถึงสักที
จนเมื่อผมได้ไปฟังแนวคิดของอาจารย์ A10 และอาจารย์อั๋น
ที่ว่าด้วยเรื่องของสมการที่มาของรายได้
มันเป็นสมการที่ไม่ได้ยุ่งยากไม่ต้องเข้าหลักการตรีโกณมิติใดๆ
มันเป็นสูตรของการคูณ ตัวเลขอยู่ 2-3 ชุด
ซึ่งความหมายของตัวเลขแต่ละชุดนั้นก็ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจอะไรเลย
แต่ที่สำคัญ สมการตัวนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องของการหาเงิน
และนำมันมาปรับใช้ได้จนผ่านหลักล้านแล้วเช่นกัน
อยากรู้ไหมครับว่าสมการนี่้ มีสูตรว่ายังไง
ถ้าอยากรู้ตามมาเลยครับ
สมการของรายได้เท่ากับ จำนวนลูกค้า X ขนาดของการสื่อ X การซื้อซ้ำ
ง่ายๆ แบบนี้เองครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ
ถ้าเราอยากมีเงิน 10,000 บาท แล้ววันนี้ เราขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วแต่ละคนซื้อของแค่ครั้งเดียว
เราก็ต้องขายของให้ได้ทั้งหมด 200 คน เพื่อให้ได้เงิน 10,000 บาท
แล้วถ้าอยากได้สัก 100,000 บาท จะต้องหากี่คน คำตอบก็คือ 2,000 คนนั้นเอง
ยากไปมั้ยครับ สำหรับสมการนี้
แล้วถ้าอยากได้ 1 ล้านบาทล่ะ แล้วเราต้องขายของ 50 บาท ก็ต้องให้คน 20,000 คนนั่นเอง
มันก็เป็นสมการที่ง่าย
แต่ในชีวิตจริง การได้ลูกค้าแต่ละคนมานั้น ก็ดูยุ่งยากดีแท้
ดังนั้นจะดีกว่ามั้ย แทนที่เราจะมุ่งหน้าไปเพิ่มแต่จะลูกค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ให้สนใจตัวเลขตัวอื่นในสมการ
นั่นคือขนาดของการขายแต่ละครั้งและความถี่ในการซื้อ
ถ้าเราลองปรับให้ตัวเลข ขนาดของการขายแต่ละครั้ง กับ ความถี่ในการซื้อ เพียงแค่อย่างละ 10% ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร?
เช่นลูกค้า 200 คน จากเมื่อก่อน ขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วก็ ขายได้คนละ 1 ครั้ง
= 200X50X1 = 10,000 บาท
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ชิ้นละ 55 บาท แล้วก็ ขายคนละ 1.1 ครั้ง เราจะได้เป็น
= 200X55X1.1= 12,100 บาท ได้มากกว่าเดิม = 21%
แล้วถ้าคิดใหม่ว่า ขายคนละ 2 ชิ้น แล้วขายให้ได้คนละ 2 ครั้ง
เราจะได้เป็น = 200X100X2 = 40,000 บาท = 400%
ได้มากกว่าเดิม ไม่รู้เท่าไร ต่อเท่าไร
แม้ในชีวิตจริง อาจจะไม่ได้ เพิ่มตัวเลขกันง่ายๆ เหมือนที่เราเขียน
แต่ถ้าเรามีหลักคิด ปรับไป ปรับมา อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตัวเลขที่เราทำได้ในครั้งแรกไม่ใช่หรือ
และความพิเศษที่ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ผมมีเทคนิคสำหรับการเพิ่มตัวเลขในแต่ละส่วนมาให้อะไรครับ
จำนวนลูกค้า
เราสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้า ได้อย่างไรบ้าง ในยุคออนไลน์ครองเมืองแบบนี้ นั่นคือ การยิงแอด หาคนมาติดตาม / ยิงแอด มาซื้อของเรา เพิ่มจำนวนแฟนคลับ เพิ่มฐานข้อมูลลูกค้าให้มากขึ้นทุกวันๆ / เข้าใจเรื่องการปิดการขาย ทำให้เขามาเป็นลูกค้าเราให้ได้
ขนาดต่อการซื้อ
การขายของเพื่อให้ได้มูลค่ามากกว่า 1 ชิ้นในแต่ละครั้ง สามารถ ทำได้ด้วยการ Upsale เหมือนที่เราเจอใน 7-11 ว่า รับขนมจีบซาลาเปามั้ยคะ ซึ่งนี่แหละ คือการเพิ่มรายได้ให้กับ 7-11 เป็นจำนวนมาก เพียงแค่เอ่ยปากบอก / เสนอสิ่งที่ดีขึ้น คุ้มค่าขึ้น แต่เพิ่มเงินแค่เล็กน้อย จนลูกค้ายอมจ่าย / ขายแพครวมยกโหล / ขายของที่แพงขึ้น เพื่อให้ได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ แต่ดูแลง่ายขึ้น
ความถี่ในการซื้อ
ถ้าอยากให้คนมาซื้อของบ่อยๆ ขึ้น มากกว่าเดิม สิ่งที่เราสามารถทำได้ ก็คือ การทำ loylty program / สะสมแต้มแลกของรางวัล / ทำระบบ member ทำระบบสมาชิก ให้เขาอยู่กับเราตลอด / ออกสินค้าตัวใหม่ๆ เพื่อให้คนได้กลับมาซื้ออีก เรื่อยๆ /
นั่นคือกลยุทธ ที่เราสามารถ เลือกใช้ทำได้ ในแต่ละส่วน
อยากได้เงินเท่าไร ก็ให้เอาสามปัจจัยนี้ มาคูณกัน
จำนวนลูกค้า X ขนาดของการซื้อแต่ละครั้ง X ความถี่ในการซื้อซ้ำ
ลองดูกันนะครับ
ว่าทำอย่างไร เพื่อที่จะให้คำพูด ที่เรามักจะเอ่ยออกมาบ่อยๆ ในวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
กลายมาเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เอาจริงของชีวิตเรา
อย่าให้มันแค่หลุดออกมา แล้วหายไป
เพื่อที่วันที่ 1 กับ 16 จะออกมาพูดแบบนี้อีก
ลงมือทำครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
คนไทย search อะไรมากกว่ากัน ระหว่าง ไวรัสโคโรน่า กับฝุ่น PM 2.5?
คนไทย search อะไรมากกว่ากัน
ระหว่าง ไวรัสโคโรน่า กับฝุ่น PM 2.5?
ข่าวที่โด่งดังติดอันดับโลกในตอนนี้
คงจะหนีไม่พ้น ข่าวที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ
ไม่ใช่สงครามโลกครั้งที่ 3
แต่เป็นเรื่องของสุขภาพที่หลายคนหวาดกลัว
นั่นคือ ฝุ่นpm 2.5 และ ไวรัสตัวใหม่ ที่ชื่อว่าโคโรน่่า
สองเรื่องใหญ่ๆ ระดับโลกนี้ คือเรื่องที่คนหวาดกลัว
เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากที่สุด
เรื่องอื่นๆ อาจจะไกลตัว แต่เรื่องสุขภาพ มันคือเรื่องของตัวเรานั่นเอง
ลองมาดูกันว่า ในยุคที่ ไวรัสโคโรน่า กับ ฝุ่น 2.5 เป็นเรื่องกระแสหลัก
คนเราค้นหาอะไรมากกว่ากัน
ในโลกออนไลน์ ถ้าเราอยากรู้ว่า กระแส อะไรกำลังมา
เรามีวิธีเช็คอยู่ 2-3 แบบ นั่นคือ
1.Google trends
2.twitter
3. zanroo.com
การทดสอบครั้งนี้ เราใช้คำว่า โคโรน่า และ pm2.5 ในการทดสอบ
1.Google Trends
google trends คือเครื่องมือ ที่ค้นหา trends คลาสสิกแบบสุดๆ
เพียงแค่ใส่ keyword ที่ต้องการเข้าไป เลือกพื้นที่ ภูมิภาค ที่ต้องการตรวสอบ แล้วกด search
ก็จะเจอกราฟ ขึ้นมา แสดงผลสวยๆ ให้รู้ว่า ตอนนี้คนค้นหา ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน
เมื่อเราลองใช้คำค้นหา พบว่า
กราฟของ PM 2.5 นั้น สูงกว่า โคโรน่าไปพอสมควร อาจจะเป็นเพราะว่า เป็นโรคที่กำลังเกิดขึ้น และ กำลังค่อยๆ แพร่กระจายออกไป คนเลยยังไม่ค่อยจะค้นหามากนัก แต่ฝุ่น pm2.5 เป็นเรื่องเดิม ที่กลับมาอีกครั้ง เลยมีข่าว และการพูดถึงมากกว่า
ส่วนคนที่ค้นหาเรื่อง pm 2.5 กันเยอะๆ คือคนในภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ คือ 100% ส่วนภาคใต้นั้น ไม่ค่อย search หาเท่าไรนัก ดูได้จากความเข้มข้นของกราฟได้
และการค้นหาคือ การหา application วัดค่าฝุ่นนั่นเอง!
2.twitter
twitter จะมี feaure ที่เรียกว่า trends for you
อะไรที่เป็นกระแส จะขึ้นมาให้เราเห็นทันที เรื่องไหน ยิ่งใหญ่ เป็นวงกว้าง จะมี hashtag ที่พร้อมใจกันนำเสนอ เสมอ
เมื่อเรามาตรวจเช็ควันนี้ พบว่า ข่าวไวรัส เป็นเรื่องใหญ่ ที่แพร่กระจายมากที่สุด ใน twitter ณ ตอนนี้ ด้วย hashtag ที่ว่า #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีกระแส tweet มากถึง 1.13 ล้านครั้ง
ทำให้เรารู้ว่า นี่คือกระแสที่ร้อนแรงสุดๆ ณ ตอนนี้
3.zanroo.com
search engine ที่ค้นหาเรื่องราวใหม่ๆ ดูเทรนด์ ได้เร็วสุดๆ ที่สำคัญจะเน้นหนักที่ผล search ใน social media ต่างๆ ดังนั้น ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องอะไร กำลังมา และคนดูผ่านสื่อไหน มากที่สุด ให้มาใช้เครื่องมือนี้
ผมลองใช้คำทั้งสองตรวจดู พบ คำว่า ไวรัส มีการค้นหา อยู่ที่ 8687 ซึ่งพบคำนี้ ใน twitter facebook และเว็บข่าว ตามลำดับ ส่วนคำว่า pm 2.5 นั้นมีการค้นหาอยู่ที่ 16254 ครั้ง ซึ่งพบใน twitter facebook และเว็บข่าวตามลำดับ รวมทั้ง youtube ด้วย คาดว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในปีก่อน คนเลยทำเรื่องนี้ไว้แล้วใน youtube
แต่ที่น่าสังเกต ก็คือ เทรนด์ของ pm 2.5 นั้นลดลงไป แต่ เทรนด์ของ ไวรัสนั้น กลับพุ่งสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงการตื่นตัวเรื่อง ไวรัสมากกว่า
จะอย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝุ่น หรือเรื่องของไวรัส สายพันธ์ใหม่
ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ระวังการใช้งาน social media ให้ดี เช็คก่อนแชร์
แต่ก็ไม่อยู่ในความประมาท จนไม่ใส่ใจ เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ
ขอให้สถานการณ์ นั้นดีขึ้นครับ
#digitalnook
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ ไลค์ละ 60 สตางค์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
สำหรับคนทำเพจ
ใครๆ ก็อยากมีคนติตตามเยอะๆ เพราะว่ามันดูดีกว่า
บางคนอยากเห็นผลลัพธ์เร็วๆ ก็ไปเสียเงินจ้างคนปั๊มไลค์
เพราะว่าถูกดี
ผลสุดท้ายเป็นไง โอ้โฮ แม่เจ้ามีแต่ฝรั่งมังค่า อิสราเอล อินเดีย บังคลาเทศ
แถมยังเป็นวัยรุ่น ที่ไม่ได้ มีความสนใจสินค้า บริการเราเลย
ซื้อไปแบบนี้ ก็มีแต่ขาดทุน
เลิกๆๆๆ เลิกความคิดแบบนั้น แล้วขอให้หันมาใช้แนวคิดใหม่
ที่จะทำให้คุณมีเพจคุณภาพ ใช้งานกัน
ด้วยการทำโฆษณากับ facebook นี่แหละ
แต่การที่จะทำให้ได้คนคุณภาพ หลายคนก็บอกว่า
ช่างยากเหลือเกิน หลายบาทแท้เหลา
โอย ไม่ไหวๆๆ
ปัญหาที่คุณประสบพบเจอนี้้จะหมดไป
เพราะผมจะขอแชร์เทคนิค การทำโฆษณาติดตามเพจ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าเดิม
ซึ่งผมเองใช้ได้ผลมาแล้ว กับหลายเพจ ทั้งเพจขายของ เพจไลฟ์สไตล์
ทุกบาทที่จ่ายคือความคุ้มค่า!
อยากได้เทคนิค ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจแบบมีคุณภาพ
คลิกดูคลิปนี้โดยพลัน!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt