3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน เพราะวิกฤติ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน เพราะวิกฤติ
งานประจำมั่นคง
งานประจำนั้นดี มีรายได้แน่นอน
คำพูดเหล่านี้ ไม่ผิดเลยครับ
เพราะผมก็เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อนเหมือนกัน
ตื่นเช้าไปทำงาน ไปประชุม คุยงานกับน้องๆในทีม
ทำงานแบบทุ่มเท กลับบ้านดึกดื่น
เวลาจะให้กับครอบครัวนั้น เหลือเป็นศูนย์
แต่มีรายได้เลี้ยงชีพ ให้ตัวเองกับครอบครัว ไม่ขัดสน
แต่ว่ายังไม่มีเงินเก็บ
ที่เขียนมาทั้งหมด นี้ ไม่ได้จะบอกว่า ให้ทุกคนออกมาจากงานประจำ อย่าไปทำเลย
ไม่มั่นคง ไม่ดี กระโดดออกมาทำงานของตัวเอง เป็นนายตัวเองกันเถอะ
“ไม่ได้บอกแบบนั้นนะครับ”
ทุกวันนี้ มีงานประจำนั้นดี แน่นอน เพราะรายได้สม่ำเสมอแน่นอน
หากมีงานทำ ให้ทำงานนั้นไป
แต่สำหรับสภาพเศรษฐกิจที่ ทุกคนต้องเอาตัวรอดกันให้มากกว่านี้
รายได้ทางเดียว ไม่น่าจะใช่คำตอบ อีกต่อไปแล้ว
หลายคนรู้คำตอบนี้ดี แต่คิดไป คิดมา สุดท้าย ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
แล้วก็กลับไปตั้งมั่น ตั้งใจกับการทำงานประจำ 100% ดังเดิม
ในฐานะที่ผมเคยเป็นคนมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับงานแบบเกิน 100
ขอแชร์ประสบการณ์ ให้ฟังแบบนี้ครับ
การทุ่มเทให้องค์กรแบบเต็มที่นั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะทำให้องค์กรเติบโตต่อเนื่อง
แต่คุณควรต้องให้เวลา กับการเติบโตของตัวเองด้วย
เพราะเราไม่ได้อยู่กับบริษัทไปตลอดชีวิต ถึงจะนานจนถึงเกษียณ แต่นั่นก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
ผมไม่ได้อยู่ถึงวัยเกษียณครับ
เพราะบริษัทมีการปรับองค์กร ให้ไปต่อได้
บริษัทให้ผมออก พร้อมค่าชดเชย ที่เหมาะสม เพราะหลังจากที่ แจ้งให้ผมรู้
อีก 1 วัน ผมก็ไม่ต้องมาทำงานอีกต่อไป
สายฟ้าแลบสุดๆครับ
ใจมันนึกถึง ตอนที่พ่อจะเกษียณ ยังรู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือนจะ ไม่ได้ทำงานแบบนี้อีกแล้ว
ของผมเร็วกว่ามาก เพราะพรุ่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
หากเป็นคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันกับผม ก็คงจะตกใจ
จิตหลุด ลอยๆ นึกอะไรไม่ออกแล้ว
เพราะไม่รู้จะไปสมัครงานต่อที่ไหน แล้วใครจะรับเราเข้าทำงานมั้ย ฐานเงินเดือนแบบนี้ อายุแบบนี้ บริษัทที่ไหนจะรับ
แต่ผมรู้สึกแตกต่างไป
เพราะอะไรหรือ?
นั่นเป็นเพราะผมเตรียมตัวเอาไว้แล้ว ล่วงหน้ามา 2-3 ปี
และนี่คือที่มาของ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน
ลองอ่านกันนะครับ จากประสบการณ์ ของคนเคยทำงานประจำ และต้องออกจากงาน
- ปรับ mindset
ถ้าไม่มีข้อนี้ ข้ออื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
เพราะคุณจะต่อต้าน ทุกอย่างที่ คุณไม่เคยมาก่อนเลย
คุณจะต้องมี growth mindset ไม่ใช้ fixed mindset
กล่าวเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คือ ต้องคิดบวก มองทุกเรื่องว่ามันเป็นไปได้
อันนี้ ผมก็ต้องปรับใจอยู่นานพอสมควร เพราะผมคิด มองหากรณีที่เลวร้ายที่สุดมาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต จนไม่สนใจ ไม่เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ เลย แบบนี้เราเรียกว่า fixed mindset
วิธีคิดง่ายๆ ก่อนเลยก็คือ ให้มองว่า ทุกปัญหามีทางออก มากกว่า 1 เสมอ / ถ้าล้มเหลว ก็คือการได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด และจะไม่ทำมันอีก / ให้อภัยตัวเอง แล้วไปทำสิ่งที่ดีกว่าเดิม / หยุดจมกับความเจ็บปวดจากการทำผิดพลาด
คิด และ ทำเรื่องนี้พวกนี้บ่อยๆ จนกลายเป็นธรรมชาติ
2.พัฒนาตัวเอง
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
คำนี้ยังดีเสมอ เพราะการเรียน ไม่จำเป็นต้องหยุด หลังจากที่คุณรับปริญญามาแล้ว
ศึกษาในเรื่องที่จะทำให้คุณเก่งขึ้น หรือ มีความเชียวชาญมากขึ้นในด้านที่คุณชอบ
ชอบพูด ไปเรียนพูดเลย
ชอบ digital marketing ไปเรียนเลย
ชอบทำอาหาร ไปเรียนทำอาหารเลย
การลงทุนที่ดีที่สุด
คือการลงทุนเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
แต่ทุกการลงทุน ในการเรียน ควรจะต้องคืนอะไรกลับมาให้กับตัวเรา
อย่างน้อยๆ ก็ขอให้เก่งกว่าเมื่อวาน ไป 1 ขั้น เท่านี้ก็พอใจแล้ว
การพัฒนาตัวเอง ที่ดีนั้น
ควรจะต้องเป็นเรื่องที่ คนหมู่มากต้องการแก้ปัญหา หรือมีคนที่รอให้เราไปช่วยเหลือ
โอกาสทำเงิน สร้างรายได้ จะมาหาเราได้ไม่ยาก
3.ลงมือทำ
การเรียนรู้ในข้อ 2 จะมีค่าเท่าเดิม หากคุณไม่ได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ
จะเรียนไปสักแสน สักล้านบาท
จะไปเรียนกับสุดยอดอาจารย์ หรือ สุดยอดเคล็ดวิชาใดๆ
แต่ไม่ได้ลงมือทำ
ก็มีค่าเท่ากับก่อนไปเรียนแน่นอน
ดังนั้นเมื่อเรียนแล้ว ลงมือทำ จะผิดพลาดไปบ้าง อย่างน้อยก็จะได้จำเป็นประสบการณ์
แล้วครั้งต่อไป จะผิดพลาดน้อยลง
การลงมือทำบ่อยๆ จะทำให้คุณทำเรื่องนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ได้เคอะเขิน หรือ เป็นเรื่องประหลาด ความตื่นเต้นในการทำ จะเข้าใกล้ศูนย์ทันที
ดังนั้น เรียนรู้แล้ว ต้องลงมือทำครับ
จะขายของออนไลน์
จะถ่ายภาพ ลง shutter stock
จะลงทุนในหุ้น อสังหา หรือ เทรด forex
จะทำคอร์สออนไลน์
ทำได้เลย ตั้งแต่ตอนทำงานประจำ
อย่ารอให้ไม่มีงานประจำ แล้วลุกขึ้นมาทำ
คุณต้องหาเงิน ตั้งแต่วันที่มีเงินอยู่
ไม่ใช่ไปทำตอนไม่มีเงิน วันนั้นคุณจะคิดไม่ออกเลย!!
ถ้าไม่อยากตกใจแบบสุดขีด ในวันที่คุณถูกบอกเลิกจ้างงาน
ในภาะที่เศรษฐกิจ ต้องเอาตัวรอดกันแบบสุดๆ ในวันนี้
ให้นึกถึง 3 สิ่งนี้เอาไว้ดีๆนะครับ
และทั้งหมดนี้คือ
3 เรื่องที่ พนักงานประจำ นึกไม่ออก
จนกว่าจะถึงวันที่ต้องออกจากงาน
เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน
ในยุคที่ใครๆ ก็บอกว่า การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ
หนังสือ คอร์สออนไลน์ สัมมนา ทั้งฟรี หรือ ไม่ฟรี
คือสิ่งที่เราซื้อ เก็บไว้
เรียนๆๆ ชื่นชอบ เฮฮา ไฟลุกพรึบ!!!
อันนี้ คือความสุขของการได้เรียนจริงๆ ครับ
ผมเองก็ผ่านการเรียนรู้ มาหลากหลายประเภทมากครับ
การพูด การเขียน การทำโฆษณา การตัดต่อ การทำเว็บ
การยิงแอดเฟสบุ๊ค การยิงแอด google
อ่านหนังสือ twitter / line@ / instagram
google analytics / wordpress
มากมายหลายหลาก คณานับ
แต่จะมีความรู้ที่เกิดผลลัพธ์ได้จริง
ก็ต่อเมื่อ ได้ลงมือทำ
หากเรียนรู้แล้ว ได้ลงมือทำบ่อยๆ
เราจะเจอข้อเท็จจริง เจอข้อมูลที่ไม่มีในหนังสือ หรือ ตำราใดๆ
เป็นการค้นพบสูตรลับ อย่างแท้จริง (เพราะยังไม่มีใครเขียนไว้)
เพราะขนาดอะไรที่ไม่ค่อยได้ทำ
ยังต้องกลับไปเปิดตำรา หรือ สิ่งที่ตัวเองโน้ตเอาไว้ อีกรอบ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นะครับ
(สบายใจได้ครับ อันนี้คือเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด ถ้าคุณจะลืมไปบ้าง เพราะไม่ค่อยได้ทำ หรือเรียกกันว่า คืนครู ไปหมดแล้ว)
ดังนั้น คำพูดที่กล่าวว่า
“เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน”
จึงเป็นเรื่องจริง 100%
เรียนแล้ว ลงมือทำนะครับ
เงินที่จ่ายไป จะได้เป็นการลงทุน
ไม่ใช่ ค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน ที่หายไป กับกาลเวลา…
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เงินล้านเงินแสนใครๆก็อยากได้ใช่ไหมครับ
มันอาจจะเป็นคำพูดติดปากของทุกๆคน
มันอาจจะเป็นคำพูดของเราในวันหวยออก
มันอาจจะเป็นคำพูดที่เราได้แต่พูด
และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตอะไร
เพราะว่าเราไม่ได้ลงมือทำ
ผมเองไม่ค่อยได้พูดเท่าไหร่ว่าอยากจะมีรายได้เป็นแสนเป็นล้าน
แต่คิดอยู่เสมอว่าฉันอยากจะมีเงินร้าน
และพยายามทำงานเก็บเงินเก็บออมเอาไว้
ทำแบบนี้มันก็ไม่ผิดนะครับ
แต่ว่าการเข้าใกล้ความฝันเงินหลักล้านก็จะไม่ถึงสักที
จนเมื่อผมได้ไปฟังแนวคิดของอาจารย์ A10 และอาจารย์อั๋น
ที่ว่าด้วยเรื่องของสมการที่มาของรายได้
มันเป็นสมการที่ไม่ได้ยุ่งยากไม่ต้องเข้าหลักการตรีโกณมิติใดๆ
มันเป็นสูตรของการคูณ ตัวเลขอยู่ 2-3 ชุด
ซึ่งความหมายของตัวเลขแต่ละชุดนั้นก็ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจอะไรเลย
แต่ที่สำคัญ สมการตัวนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องของการหาเงิน
และนำมันมาปรับใช้ได้จนผ่านหลักล้านแล้วเช่นกัน
อยากรู้ไหมครับว่าสมการนี่้ มีสูตรว่ายังไง
ถ้าอยากรู้ตามมาเลยครับ
สมการของรายได้เท่ากับ จำนวนลูกค้า X ขนาดของการสื่อ X การซื้อซ้ำ
ง่ายๆ แบบนี้เองครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ
ถ้าเราอยากมีเงิน 10,000 บาท แล้ววันนี้ เราขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วแต่ละคนซื้อของแค่ครั้งเดียว
เราก็ต้องขายของให้ได้ทั้งหมด 200 คน เพื่อให้ได้เงิน 10,000 บาท
แล้วถ้าอยากได้สัก 100,000 บาท จะต้องหากี่คน คำตอบก็คือ 2,000 คนนั้นเอง
ยากไปมั้ยครับ สำหรับสมการนี้
แล้วถ้าอยากได้ 1 ล้านบาทล่ะ แล้วเราต้องขายของ 50 บาท ก็ต้องให้คน 20,000 คนนั่นเอง
มันก็เป็นสมการที่ง่าย
แต่ในชีวิตจริง การได้ลูกค้าแต่ละคนมานั้น ก็ดูยุ่งยากดีแท้
ดังนั้นจะดีกว่ามั้ย แทนที่เราจะมุ่งหน้าไปเพิ่มแต่จะลูกค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ให้สนใจตัวเลขตัวอื่นในสมการ
นั่นคือขนาดของการขายแต่ละครั้งและความถี่ในการซื้อ
ถ้าเราลองปรับให้ตัวเลข ขนาดของการขายแต่ละครั้ง กับ ความถี่ในการซื้อ เพียงแค่อย่างละ 10% ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร?
เช่นลูกค้า 200 คน จากเมื่อก่อน ขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วก็ ขายได้คนละ 1 ครั้ง
= 200X50X1 = 10,000 บาท
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ชิ้นละ 55 บาท แล้วก็ ขายคนละ 1.1 ครั้ง เราจะได้เป็น
= 200X55X1.1= 12,100 บาท ได้มากกว่าเดิม = 21%
แล้วถ้าคิดใหม่ว่า ขายคนละ 2 ชิ้น แล้วขายให้ได้คนละ 2 ครั้ง
เราจะได้เป็น = 200X100X2 = 40,000 บาท = 400%
ได้มากกว่าเดิม ไม่รู้เท่าไร ต่อเท่าไร
แม้ในชีวิตจริง อาจจะไม่ได้ เพิ่มตัวเลขกันง่ายๆ เหมือนที่เราเขียน
แต่ถ้าเรามีหลักคิด ปรับไป ปรับมา อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตัวเลขที่เราทำได้ในครั้งแรกไม่ใช่หรือ
และความพิเศษที่ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ผมมีเทคนิคสำหรับการเพิ่มตัวเลขในแต่ละส่วนมาให้อะไรครับ
จำนวนลูกค้า
เราสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้า ได้อย่างไรบ้าง ในยุคออนไลน์ครองเมืองแบบนี้ นั่นคือ การยิงแอด หาคนมาติดตาม / ยิงแอด มาซื้อของเรา เพิ่มจำนวนแฟนคลับ เพิ่มฐานข้อมูลลูกค้าให้มากขึ้นทุกวันๆ / เข้าใจเรื่องการปิดการขาย ทำให้เขามาเป็นลูกค้าเราให้ได้
ขนาดต่อการซื้อ
การขายของเพื่อให้ได้มูลค่ามากกว่า 1 ชิ้นในแต่ละครั้ง สามารถ ทำได้ด้วยการ Upsale เหมือนที่เราเจอใน 7-11 ว่า รับขนมจีบซาลาเปามั้ยคะ ซึ่งนี่แหละ คือการเพิ่มรายได้ให้กับ 7-11 เป็นจำนวนมาก เพียงแค่เอ่ยปากบอก / เสนอสิ่งที่ดีขึ้น คุ้มค่าขึ้น แต่เพิ่มเงินแค่เล็กน้อย จนลูกค้ายอมจ่าย / ขายแพครวมยกโหล / ขายของที่แพงขึ้น เพื่อให้ได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ แต่ดูแลง่ายขึ้น
ความถี่ในการซื้อ
ถ้าอยากให้คนมาซื้อของบ่อยๆ ขึ้น มากกว่าเดิม สิ่งที่เราสามารถทำได้ ก็คือ การทำ loylty program / สะสมแต้มแลกของรางวัล / ทำระบบ member ทำระบบสมาชิก ให้เขาอยู่กับเราตลอด / ออกสินค้าตัวใหม่ๆ เพื่อให้คนได้กลับมาซื้ออีก เรื่อยๆ /
นั่นคือกลยุทธ ที่เราสามารถ เลือกใช้ทำได้ ในแต่ละส่วน
อยากได้เงินเท่าไร ก็ให้เอาสามปัจจัยนี้ มาคูณกัน
จำนวนลูกค้า X ขนาดของการซื้อแต่ละครั้ง X ความถี่ในการซื้อซ้ำ
ลองดูกันนะครับ
ว่าทำอย่างไร เพื่อที่จะให้คำพูด ที่เรามักจะเอ่ยออกมาบ่อยๆ ในวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
กลายมาเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เอาจริงของชีวิตเรา
อย่าให้มันแค่หลุดออกมา แล้วหายไป
เพื่อที่วันที่ 1 กับ 16 จะออกมาพูดแบบนี้อีก
ลงมือทำครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ความรู้สึกเคว้งคว้าง เมื่อผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
#เรื่องเล่าวัยเยาว์
ความรู้สึกเคว้งคว้าง
เมื่อผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า
ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
หลายๆคนที่ติดตามเพจผมมาตั้งแต่เมื่อต้นปีก่อน
น่าจะได้รับฟังความรู้และบทความต่างๆเกี่ยวกับ Online Marketing กันพอสมควร
.
มีหลากหลายคำถามที่มากกว่าการใช้งาน Facebook
.
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมากับการทำงานในแวดวง ทำเว็บ ทำ Content
การทำงานเกี่ยวกับ Online Marketing
ทำให้ผมสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้.
ถ้าเป็นเรื่องไหนที่ผมเคยผ่านมาหรือมีประสบการณ์ผมก็จะตอบได้ทันที
.
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะสามารถออกมาแบ่งปันเทคนิคต่างๆให้กับทุกคนได้แบบทุกวันนี้
.
เชื่อหรือไม่ว่าผม
เคยส่งกระดาษคำตอบตอบๆ ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ในโรงเรียนประจำอำเภอ
โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ห่างไกลจากตัวเมืองไป 100 กว่ากิโลเมตร
แต่ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ของผมนั้นเต็มเปี่ยม
.
แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากจะเรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์
นั่นคือ วีดีโอเกมแฟมิคอม
ผมอยากรู้ว่าการที่ตัวละครออกมาโลดเล่น แล้วทำให้เรามีความสุขกับการเล่นเกมนั้น
เขาทำกันอย่างไร อยากรู้มากๆเลย
.
สมัยก่อนแค่การจะวาดรูปอะไรขึ้นมาสักอย่าง
ต้องใช้อักขระพิเศษมากมายยาวเป็นหน้ากระดาษ
ต่างจากสมัยนี้ที่มีเครื่องมืออำนวยความความสะดวก สามารถเนรมิตภาพออกมาได้อย่างรวดเร็วทันใจ
.
ผมพยายามศึกษาวิธีการเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกด้วยตัวเอง
ผ่านคอลัมน์ ในนิตยสารรู้รอบตัว ผมรู้สึกว่าเขาเขียนออกมาแล้วชวนให้อยากลงมือทำตาม
ได้รับแรงบันดาลใจผ่านหนังสือคอมพิวเตอร์ทูเดย์ ที่แนะนำโปรแกรมเกมต่างๆ ที่อยากซื้อมาเล่นสุดๆ
.
ไม่ได้ออกไปหาหนังสือคู่มือเกี่ยวกับภาษา Basic มาเลย
เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปซื้อที่ไหน (สมัยนั้นเด็กมาก)
.
จนมาถึงวันหนึ่ง โรงเรียนมีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อที่จะเข้าไปสอบแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์ ระดับจังหวัด แน่นอนว่ามีโรงเรียนที่เข้าร่วมมากมายเลยทีเดียว
.
ผมเลยขออาสาสมัครที่จะเข้าไปแข่งทักษะคอมพิวเตอร์ เพราะดูแล้วเขาพูดถึงภาษา Basic ที่ผมเคยอ่านมา (แต่ยังไม่ได้ทำเป็นชิ้นเป็นอัน ทำได้เพียงการแต่งเพลงด้วยภาษา Basic)
.
มีระยะเวลาเตรียมตัวประมาณ 2 สัปดาห์
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเตรียมตัวอย่างไร รู้แต่ว่ามีคุณครูสอนวิทยาศาสตร์ ที่แกเป็นคนหลงใหลและชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกัน บอกว่า
.
“เมื่อดูทักษะของเธอในวันนี้แล้ว ครูคิดว่าเธอยังไม่น่าที่จะไปแข่งขัน”
.
แต่ความรั้นในวัยเด็ก ทำให้ผมมองผ่านถึงคำเตือนของครูท่านนั้น
แล้วผมก็เดินทางไปแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
ภายในห้องแข่งขัน มีนักเรียนจับคู่กันเป็นกลุ่ม โรงเรียนละ 2 คน
ผมจับคู่กับเพื่อนอีกคนนึง ผมดูสีหน้าและแววตาของนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆมีความมุ่งมั่นและตั้งใจมาก
.
บททดสอบแรก เป็นข้อเขียนที่เกี่ยวกับทักษะคอมพิวเตอร์ตามปกติ
ในบทนี้ไม่มีปัญหาเพราะผมสามารถที่จะตอบได้ทุกข้อ
ผมก็เลยรู้สึกว่าไม่เห็นจะยากอะไรเลยนี่หว่า และมีความลำพองอยู่ในตัว
.
แต่บททดสอบที่ 2
นี่แหละครับคือที่สุดของที่สุดในวัยเด็กของผม
.
โจทย์มีอยู่ว่าให้เราสร้างโปรแกรมวนลูปอะไรสักอย่าง ที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิตนี้
สิ่งที่ทำได้ก็คือมองตาปิดไปยังนักเรียนกลุ่มอื่น ซึ่งพวกเขาก็ปรึกษาหารือกันว่าจะแก้โจทย์นี้ได้อย่างไรภายในเวลาอันจำกัด
.
ตัดมาที่ผม
ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรด้วยซ้ำ
.
ภาพที่คุณครูได้เตือนเอาไว้ก่อนสมัครแข่งขัน พุ่งขึ้นมาอยู่ในหัว
ผมรู้สึกเคว้งคว้าง แล้วคิดในใจอยู่ประโยคหนึ่งว่า “กูมาทำอะไรที่นี่” (ตอนนั้นเพลงพี่เบิร์ดยังไม่ออกมานะครับ)
.
สิ่งเดียวที่พอจะเข้าเวลาและทำให้รู้สึกความขัดเขินมันลดลงไป
นั่นคือการแต่งเพลงลอยกระทง ด้วยภาษา Basic
ก่อนจะลุกออกจากห้องไป แบบไม่บอกกล่าว
.
เพื่อนที่มาด้วยกัน ก็ยังงงเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
ได้แต่ถามว่า “จะเดินไปไหน ยังแข่งขันไม่จบเลยนะ”
.
สำหรับผมการแข่งขันมันได้จบลงไปแล้ว
ไม่สิ ผมไม่ได้เข้ามาแข่งขันด้วยซ้ำ ผมเป็นเพียงแค่ คนที่หลงเข้ามาในห้องนี้แบบงงๆมากกว่า
.
ตลอดบ่ายนั้นผมรู้สึกเคว้งคว้าง
ไม่มีความรู้สึกมั่นใจ รู้สึกสูญเสียกำลังใจไปแบบสุดๆ
.
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น
ช่วงที่เราเดินทางปรับตัวอำเภอของเรา
สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจอีกอย่างนึงแทนที่จะต้องมานั่งคร่ำครวญ
.
นั่นก็คือ
“ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกิดขึ้นจากความประมาทของตัวเราเอง เราจะต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ เราจะไม่ทนว่าเรารู้ทุกอย่าง เพราะเมื่อใดที่เราคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด
เราจะหยุดการเรียนรู้ ปิดกั้นความคิด ปิดกั้นการเติบโต”
.
หลังจากนั้นผมได้กลับไป ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์
การเรียนต้นเขียนโปรแกรม ด้วยภาษา pascal โดยศึกษาจากหนังสือคู่มือที่ซื้อมาในร้าน
.
ซึ่งเมื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในชั้นปีที่ 1
มีวิชาคอมพิวเตอร์ 101 ที่ว่าด้วยเรื่องการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา pascal
.
ทุกบทเรียนที่ อาจารย์ได้สอน
คือสิ่งที่ผมได้อ่าน และฝึกทดลองเขียนโปรแกรมมาแล้วก่อนหน้า 1 ปี
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผมได้ A ในวิชานี้
.
เป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
เมื่อเทียบกับวันนั้นที่ผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า ในการแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
เรื่องนี้บอกอะไรกับพวกเรา
.
สิ่งที่ผมอยากจะฝากเอาไว้ให้กับทุกคนในบทความนี้ นั่นคือ
อย่าหยุดการเรียนรู้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราเก่งที่สุดแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะทางความคิด
.
ใครๆก็ย่อมเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งนั้น
แต่ถ้าเราไม่ขยับตัวหรือพัฒนาตัวเอง เราก็ยังจะอยู่ณจุดนั้นเสมอ
.
อย่ากลัวที่จะออกไปพบกับความล้มเหลว
อย่ากลัวที่จะถูกคนมองอย่างไร
.
เหมือนกับการทำโฆษณาทุกวันนี้ของเราครับ
ผิดพลาดให้เยอะๆเข้าไว้ เราจะได้เรียนรู้และเติบโตจากความผิดพลาดเหล่านั้น
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
#digitalnook
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
กินอยู่ทั้งเดือนอย่างไร ด้วยเงินเพียง 17 บาท
กินอยู่ทั้งเดือนอย่างไร ด้วยเงินเพียง 17 บาท
.
ถ้าใครได้ฟังประโยคนี้
อาจจะคิดว่า นี่คือรายการเกมโชว์ แข่งขันประหลาดๆ ที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า
คำตอบคือ..
ไม่ใช่
.
ที่น่าตกใจกว่า คือเรื่องจริง
ที่ได้ฟังมาจากการไปสัมมนา กับมันนี่โค้ช วันนี้
.
เป็นเรื่องของพยาบาลหญิงท่านหนึ่ง
ที่เงินเดือนประมาณ 10,000 กว่าบาท
แต่เงินเดือนของเธอ ถูกหักออกไปด้วยการจ่ายหนี้สหกรณ์
การจ่ายหนี้อื่นๆ จนเหลือเงินแค่ 17 บาท
.
17 บาทกับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งเดือน
.
สุดประหลาด และ อเมซิ่งจริงๆ
.
เมื่อถามว่า อ้าวแล้วแบบนี้ จะใช้ชีวิตอย่างไร
จะกินข้าวอย่างไร
.
เธอตอบว่า เรื่องอาหารการกิน ก็อาศัยจากกับข้าวผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ไม่ใช่ว่าเธอจะไปเอาห้องคหกรรมนะ
แต่อาศัย ตอนที่ดูแลผู้ป่วยใน แล้วเค้าเหลือ หรือ ไม่กิน
.
ซึ่งหากมีเหลือจากผู้ป่วยหลายคน ก็จะเอาใส่ถุงกลับบ้าน
ไปให้ที่บ้าน ซึ่งมีลูก กับ สามีรออยู่
.
ถุงแรก สำหรับลูก
อีกถุง คือส่วนของเธอกับสามี
ที่อยู่บ้าน..แต่ไม่ได้ทำงาน
(ในนี้ไม่มีรายละเอียดอะไร ว่าทำไมสามีไม่ทำงาน)
.
การแก้ปัญหาของเธอ คงจะหนีไม่พ้นการไปกู้ยืมเงินจากเพื่อน
ซึ่งเป็นการกู้นอกระบบ และคิดดอกเบี้ยร้อยละ 30 ต่อเดือน
.
ชีวิต ดูจะหาทางออกไม่ได้แล้ว
.
จนกระทั่ง มีแนวคิดหนึ่งจากมันนี่โค้ช
หากเราไม่มีเงินแบบนี้ จะมีวิธีอะไร ที่เราหาเงินได้มากกว่านี้บ้าง
.
ทำกับข้าวเป็นมั้ย
ลองทำง่ายๆ สัก 1-2 เมนู แล้วเขียนใส่กระดาษเอาไว้
แล้วคัดลอกเป็นหลายๆ แผ่น
.
ส่งไปให้แต่ละแผนกว่า
ถ้าใครอยากได้ข้าวเช้า อุดหนุนได้นะ กล่องละ 20-30 บาท
.
ซึ่งหากใครอยากกิน ก็สามารถจ่ายเงินก่อนได้
แล้วเธอก็เอาเงินไปซื้อของมาทำข้าวกล่อง ขายให้เพื่อนได้
มีกำไร สะสมเอาไว้ วันละเล็ก วันละน้อย
.
บางส่วนก็ทำเก็บไว้กินเอง ที่บ้าน
.
เธอจึงเอาแนวคิดนี้ไปใช้ทันที..
.
เวลาผ่านไป มันนี่โค้ช
กลับไปเจอเธออีกครั้ง
ครั้งนี้ สีหน้าเธอดูดีขึ้น สดใสมากขึ้น
.
เพราะเหตุการณ์ครั้งก่อน ได้เปลี่ยนให้เธอมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการขายข้าว
และล่าสุดเธอขอเจรจากับทางโรงพยาบาลว่า
ขอตั้งโต๊ะ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อขายขนมเล็กๆน้อยๆ เพื่อสร้างรายได้
.
กระแสเงินสดของเธอดีขึ้น
เพราะเกิดการลงมือทำ
อะไรที่ทำแล้ว แก้ปัญหา เรื่องการเงินได้
เธอทำทันที
.
ไม่มีข้อสงสัยใดๆ
.
จากเรื่องจริงที่ได้ฟังนี้ ให้ข้อคิดอะไรบางอย่าง กับเราบ้างมั้ย?
.
สำหรับผม ผมคิดว่า
การที่เราเอาแต่หนีปัญหา หรือ บ่นเรื่องปัญหาชีวิตตัวเองในเฟสบุ๊คอย่างเดียว
โดยไม่ได้ลงมือทำอะไร.
.
หวังผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยใช้วิธีการเดิมๆ
แล้วก็บ่นว่า ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น
เบื่อหน่าย ชีวิต!!
.
นั่นคือการเสียเวลาโดยใช่เหตุ
.
หากยังทำอยู่
ให้เอาเวลาเหล่านั้น มาลงมือทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้
เพราะการหารายได้เพิ่มนั้น มีหลายแบบ
ตามความถนัด ความชอบ และ ความมุ่งมั่นของเรา
.
อะไรที่เราโฟกัส หรือลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
จะเกิดผลลัพธ์ขึ้นมา
เริ่มต้นจากหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย
แล้วค่อยๆ ขยับไปหลักหมื่น หลักแสน
.
แต่ปัญหาของเราคือ
มักจะหวังเห็นหลักหมื่น หลักแสนตั้งแต่วันแรก
.
เศรษฐีเงินล้าน
ยังเริ่มต้นมาจากการทำงาน และ สะสมเงินหลับสิบ หลักร้อยมาก่อนทั้งนั้น
.
สำคัญที่สุดคือ วันนี้ คุณลงมือทำหรือยัง
.
ใครที่ทำแล้ว ลงมือแล้ว วันนี้ ขอเป็นกำลังใจ และเอาใจช่วย ให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น
ใครที่คิดแล้ว ขอให้ลงมือทำ
ทำทันที
.
เพราะสิ่งที่เรียกกลับมาไม่ได้ คือ เวลา
เรามีเงินซื้อนาฬิกาได้นะ แต่ซื้อเวลาไม่แน่นอน
.
คงไม่มีเทคนิคพิเศษในการกินอยู่อย่างไร ทั้งเดือน ด้วยเงินเพียง 17 บาท
มีเพียงแนวคิดดีๆ ในการหาเงินเพิ่มจาก 17 บาท ให้มากกว่าเดิม
.
ส่วนจะได้มากเท่าไร?
ขึ้นกับตัวคุณเอง
.
ทำทันที ครับ
#digitalnook