แจกเทคนิค เปิดการมองเห็นโพสต์ในเฟส 50,000 Reach แบบไม่ต้องยิงแอดเลยแม้แต่บาทเดียว
รู้ไหมครับปัญหาหลัก ชวนหมดกำลังใจ
ของคนทำ Content ใน Facebook คือทำเมื่อไหร่
ก็ไม่ค่อยมีใครเห็น Content ของเรา แม้จะตั้งใจเขียนยังไงก็ตาม
ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่ Content เราไม่ดี
แต่ติดอยู่ตรงที่ เฟส กำลังสนับสนุน Content ประเภทใหม่ที่เรายังไม่คุ้นชิน
วันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของ เฟสบุ๊ค Reels นะครับ
แต่จะพูดถึงเทคนิคที่ผมได้ทำมาแล้วหลายครั้งและได้รับการมองเห็น 50,000 Reach ขึ้นไปทุกครั้ง
เทคนิคนี้คือ Short Message นั่นเอง
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็เหมือนกับ การที่เราเขียนข้อความแบบสั้นๆ ในทวิตเตอร์ นั่นแหละครับ
หลายคน อาจจะไปลองทำแล้ว แต่คนไม่เห็นจะเยอะเหมือนที่พี่นุกบอกเลย
โพสต์นี้เลยจะแชร์เทคนิคที่ทำมาเองแล้วได้ผล มาให้อ่านกันครับ
1.ค้นหาความต้องการของลูกค้า
ถ้าเราทำเพจมาสักระยะ จะพบว่า Content ที่คนมีส่วนร่วมเยอะๆจะเป็น วิธีการแก้ปัญหา หรือ How to ที่เอาไปทำตามได้ง่ายๆเลย เช่น “รวมคำต้องห้าม ที่ใช้แล้วบัญชีปลิว” หรือ “เทคนิคหาไอเดียทำ Content 30 วัน ภายใน 5 นาที”
2.เขียนฮุกให้โดน
คนจะดูโพสต์ของเราจาก Hook ที่เขียนไว้ได้กระแทกใจ หรือสะดุดตา
และส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการเขียนประเภทนี้
ย้อนแย้ง เช่นวิธีการผ่อนบ้านให้หมดโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว
ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น 3 เรื่องเข้าใจผิด ที่คนลดน้ำหนักเข้าใจว่ามันถูกมาตลอดชีวิต
มีตัวเลขมายืนยัน ยกตัวอย่างเช่น วิธีการสร้างรายได้วันละ 3,000 บาทโดยฉบับทำได้จริง
ถ้าเป็น How to ต้องใช้ตัวเลข 3 5 7 9
3.โพสต์ลงให้เป็นรูปแบบข้อความแล้วใส่ Background เป็นสี
ไม่แนะนำให้ทำเป็นรูปภาพเพราะว่าการมองเห็นจะตกลงไปมาก โดยเฉพาะภาพที่ออกแบบเอามาไว้อย่างดีคนจะมองเป็นโฆษณา
4.ซอยคอนเทนต์เป็นข้อๆ
เขียนเนื้อหาแล้วโพสต์ลงในคอมเม้นทีละข้อ วิธีการนี้เป็นการเลียนแบบการทำ Content ใน Twitter ที่เรียกกันว่า เธรด (จริงๆ เฟส ก็ทำเทรดนะแต่ตอนนี้เริ่มเงียบๆไปแล้ว)
5.ใส่ Call to action ลงไปไหน Content สุดท้าย
จะเขียนเนื้อหาทันทีก็อย่าลืมใส่ Call to action ให้คนทำอะไรบางอย่างหลังจากที่อ่านจบแล้ว เช่น กดตามเพจ หรือไปดูเนื้อหาอื่นๆต่อได้ในเว็บไซต์หรือ YouTube หรือเข้าไปใน tiktok
ถ้าต้องการขายของก็ให้แอดไลน์หรือส่งลิงค์ที่ขายสินค้าของเราได้เลย
6. ถ้า comment จากลูกค้าเยอะมากจนคนใหม่ๆไม่เห็นเนื้อหา
แนะนำให้เอา Content ทั้งหมดไปใส่ในเว็บไซต์ แล้วเอาลิงค์ มาแปะให้คนเข้าไปอ่านแบบสะดวกๆ
จะดีมากถ้าเว็บไซต์ของเรามีการติด pixel ต่างๆของแต่ละแพลตฟอร์มเอาไว้ เพราะเราสามารถนำมา retarget หาคนที่เคยเข้ามาอ่านเนื้อหา
7. ถ้าโพสต์นี้ มันไวรัล มากๆ ให้เอาไปยิงแอด
แนะนำให้เอาไปยิงแอดแบบ engagement หรือ Reach จะช่วยกระจายแบรนด์ให้เราดังยิ่งขึ้น ค่าโฆษณาจะถูกมากๆเลย
ทุกครั้งที่ใช้วิธีการนี้จะมีคนติดตามเพิ่มขึ้นมาโดยอัตโนมัติและเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช่เพราะว่าเนื้อหาที่เราทำขึ้นมานั้นตอบโจทย์เขาจริงๆ
สรุป
เฟสบุ๊คปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา อย่าฝืนยึดติด ใช้แต่ท่าเดิมๆ ที่เคยได้ผล แต่วันนี้มันพังแล้ว
ปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยนะครับ แล้วเราจะอยู่รอด
สรุป 11 เทคนิค การใช้ Reels เพิ่มยอดขาย
สำหรับนักธุรกิจ ที่ต้องรีบทำตอนนี้
การสร้างรายได้จาก Reels กำลังมาแรง
เพราะทำคลิปปังๆ ก็มีโอกาสได้เงินหมื่น เงินแสน โหดมาก!!
คนเลยแห่มาทำคลิปกันเต็มเหนี่ยว
ด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่ตัวเองถนัด มาลงกันเต็มฟีดไปหมด
แต่ในมุมของเจ้าของธุรกิจถ้าอยากจะกระโดดลงมาในสนามของ Reels
พี่นุกก็มองว่าดี เพราะหากมีรายได้
ก็จะทำให้เรามีเงินไปจ่ายค่าโฆษณาให้กับพี่มาร์ค (เงินหมุนไป เวียนมา)
พี่นุกเลยมีเทคนิค มาแนะนำให้กับเจ้าของธุรกิจ เอาไปทำ Reels แบบนี้ครับ
1.ถ้า Profile เฟสของเรา ไม่ซีเรียส ไม่เน้นความเป็นส่วนตัว ให้เปิด Public ได้เลย แล้วไปเปลี่ยนเป็น Mode มืออาชีพ (Professional)
2.ถ้าไม่อยากเอา Profile ตัวเอง นำเสนอคลิป Reels ให้ทำผ่านเพจแทน
3.การสร้างรายได้ผ่านคลิป Reels จะต้องมี ผู้ติดตามเกิน 5,000 คน มีคลิปมากกว่า 5 คลิปขึ้นไป และมีจำนวนนาทีการเล่นมากกว่า 60,000 นาทีขึ้นไป (เป็นไปได้ ถ้าคลิปของเรามันไวรัลมาก)
- โฟกัสการทำคลิป ให้เป็นแนวทางเดียวกัน เพราะเรา ตั้งใจ ทำ content เพื่อสร้าง แบรนด์ไปด้วยในตัว
5.Content ที่เราจะนำมาลงเป็น Reels สำหรับธุรกิจ ที่ได้ผลดีแนะนำแบบนี้
- โชว์เบื้องหลังการทำงานเช่นกว่าจะมาเป็นสินค้าตัวนี้ได้ต้องผ่านขั้นตอนอะไร ให้เห็นอยู่บนสายพานหรือกระบวนการในโรงงานที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
- รีวิวสินค้าให้ดูแบบง่ายๆอันนี้ก็จะเป็นสไตล์คลิปสั้นที่เราเคยใช้กันใน tiktok เช่นกันแกะกล่องให้ดูว่ามีอะไรอยู่ข้างไหนแล้วใช้งานอย่างไร
- ถ้าใครเป็นสินค้าเกี่ยวกับของกินให้เอาวิธีการทำมาโชว์เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการทำขนมเปี๊ยะไข่เค็ม เริ่มต้นตั้งแต่ปั่นแป้งใส่ใส้แล้วเอาไปอบ
- ถ้าเป็นธุรกิจประเภทบริการ ให้นำเสนอเนื้อหาหรือสถานการณ์ที่ลูกค้าอยู่ในคลิปนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่นเป็นร้านทำผม ก็เล่าเรื่องลูกค้ามาใช้บริการ แล้วสวยขึ้นอย่างไร
6.การตัดต่อจะต้องกระชับฉับไวอย่าเยิ่นเย้อ ให้ตัดสลับภาพ ครั้งละ 3 วินาที
7.ความยาวคลิปขอให้อยู่ที่ 15 ถึง 30 วินาที ถ้ายาวๆ ก็อย่าให้เกิน 90 วินาที มันจะไม่ใช่ Reels แล้ว
- คลิปไหนที่มี engagement ดีๆให้ไปยิงแอดต่อได้เลย
- ถ้าเป็นบัญชีโฆษณารุ่นใหม่ๆจะยิงแอด คลิป Reels นั้นได้เลยทันที
- แต่ถ้าเป็นเป็นบัญชีโฆษณารุ่นเก่าจะต้องทำการอัพโหลดคลิปแล้วเลือก placement เป็น Reels แทน หรือถ้าอยากให้มีก็ต้องรอให้ Update ถ้าไม่อยากรอ Update แนะนำให้ไปสร้างบัญชีโฆษณาใหม่เลย
- คลิปไหนที่เราทำแล้ว engagement ดีให้นำมายิงแอดต่อได้เลยโดยวางจุด Call To Action ไว้ใน Comment นั่นเอง
แต่การที่เราทำคลิปดีๆนั้นก็มักจะมีสัมภเวสีคอยมาใส่ลิงค์แปลกๆ ใน Comment อยู่เสมอ แนะนำให้เราตั้งค่าป้องกันไม่ให้เขาเอาลิงค์ใส่ลงไปได้ ต้องไปตั้งค่าที่เพจนะครับ
ความคิดเห็นส่วนตัว
การทำคลิป reels ถือว่าเป็นการกระตุ้นให้ตัวเราเองสร้างแบรนด์ อยู่ตลอดเวลาแบบสม่ำเสมอ
ของเรามีคลิปสั้นออกมาเยอะ ก็เอาไปใช้งานต่อได้อีกมากมายในแพลตฟอร์มต่างๆ
อย่ามองแต่เรื่องรายได้ที่เกิดขึ้น จาก Reels เป็นหลัก
แต่ให้มองเป็นเครื่องมือขยายแบรนด์ ที่กำลังมาแรง ณ ตอนนี้!!
อัพเดท! Facebook ปรับใหม่ ลดวัตถุประสงค์ จาก 11 เหลือ 6!
คนทำโฆษณาด้วยเครื่องมือของ Facebook ต้องปรับตัวอีกครั้ง กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่ยุบวัตถุประสงค์ จากที่เคยเห็นทั้งหมด 11 ให้เหลือแค่ 6 ตัวเท่านั้น
.
หลายคนบอกว่า วัตถุประสงค์ข้อความไม่มี! อ้าวแล้วจะทำยังไง?
แล้วหายไปจริงมั้ย มาดูกันเลยครับ!!
.
วัตถุประสงค์เดิมของเฟสบุ๊คนั้น หลักๆ จะแบ่งออกมาเป็นสามส่วน ก็คือ
Awareness
Consideration
Conversion
.
และภายในนั้น จะมีวัตถุประสงค์แยกย่อยลงไปอีก
.
ความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังจะเกิดขึ้น (ตอนนี้หลายๆ คนน่าจะได้เจอ หน้าตาใหม่แล้ว) ตอนนี้ ปรับให้เหลือ 6 วัตถุประสงค์
- การรับรู้
เป็นการทำโฆษณา เพื่อให้เกิดการรับรู้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ - จำนวนผู้เข้าชม
เป็นการทำโฆษณาเพื่อส่งให้ผู้ชม เดินทางไปเข้าเว็บไซต์ แอพ หรือว่า shop ในเพจของเราได้
. - การมีส่วนร่วม
เป็นการทำโฆษณา เพื่อค้นหาคนที่มีแนวโน้มจะโต้ตอบกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นแชทกับเรา หรือ ดูวิดีโอ - ข้อมูลลูกค้า
จะเป็นการค้นหาคนที่สนใจในธุรกิจของเรา และ มีโอกาสที่จะ ส่งข้อมูลติดต่อของเขาให้กับเรา ซึ่งภายในนี้ จะมีวัตถุประสงค์ย่อยมาอีก หลายตัว นั่นคือ lead generation และ messenger
. - การโปรโมทแอพ
เป็นการทำโฆษณา ไปหาคนที่มีแนวโน้มจะติดตั้ง application ที่คุณทำโฆษณาออกไป
. - ยอดขาย
เป็นการทำโฆษณาออกไปหาคนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า ของเรา ไม่ว่าจะเป็นแบบ Offline หรือ online ก็ตาม
.
เมื่อมานั่งพิจารณา แบบนี้แล้ว จะพบว่า จริงๆ แล้ว หลายๆ วัตถุประสงค์ ที่เราเคยใช้งานนั้น ไม่ได้หายไป แต่ว่า จะเข้าไปอยู่ ในวัตถุประสงค์ต่างๆ ทั้ง 6 ตัวนี้แทน
.
“ข้อความ” จะเข้าไปอยู่ใน วัตถุประสงค์ ข้อมูลลูกค้า หรือ Lead นั่นเอง ดังนั้น ไม่ต้องตกใจกันนะครับ ยังอยู่เหมือนเดิม
.
“Conversions” จะไปอยู่ในวัตถุประสงค์ ยอดขาย หรือ Sale แทน ซึ่งการทำงานยังเหมือนเดิม
.
“การรับชมวิดีโอ” จะเข้าไปอยู่ในวัตถุประสงค์ การมีส่วนร่วม นั่นเอง
.
การ Update ครั้งนี้ จะทะยอยเปลี่ยนให้สำหรับแต่ละคน สำหรับผมเองนั้น ยังไม่เจอหน้าตาใหม่ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง จะมาพร้อมกับสิ่งดีๆ เสมอ (ยกเว้นค่าแอดที่แพงขึ้น ยิ้มทั้งน้ำตา)
.
แล้วเราควรปรับตัวอย่างไร?
.
ไม่ว่าสถานการณ์ จะเป็นอย่างไร interface ของเฟสบุ๊คจะเปลี่ยนไปกี่รอบ สิ่งสำคัญที่จะดึงเอาคนที่ใช่ มาเป็นลูกค้าของเรา นั่นคือ การทำ Content ที่ดี มีคุณค่า ทำให้อยากได้ อยากใช้ และ อยากได้จากเราเท่านั้น ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นจาก รีวิว ผลลัพธ์ ต่างๆ ที่คนใช้แล้วชอบ ใช้แล้วบอกต่อ
.
เป็นกำลังใจ ให้ทุกคนได้เดินต่อไป บนเส้นทาง ธุรกิจสายนี้ ที่คุณเลือกด้วยตัวเอง
.
สู้ๆ ครับ!
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
สอน ขอใบเสร็จ Facebook เพื่อไปทำเป็นค่าใช้จ่าย ทำภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
Facebook เริ่มคิด ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในค่าโฆษณา Facebok ads ตั้งแต่ 1 ก.ย. 64 นี้
.
1.สำหรับบริษัทไหนที่จดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้นำ เลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปกรอกด้วย
.
- หากกรอกเลข VAT ID Facebook จะไม่คิด VAT 7% เพิ่มไปใน Billing
- แต่ถ้าไม่กรอก VAT ID Facebook จะคำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เพิ่มลงไปใน Billing
.
ซึ่งทั้งสองกรณีนั้น คุณก็ต้องทำ ภพ 36 ส่งให้สรรพากร อยู่ดี ดังนั้น มี VAT ID ก็ให้เอาไปใส่นะครับ
.
2. สำหรับบุคคลทั่วไป และ บริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ เพราะยังไง ก็ไม่ได้เอาไปคำนวณอยู่แล้ว
.
ในคลิปนี้ จะสอน การตั้งค่า Business information หรือ ข้อมูลบริษัทของคุณ ลงใน facebook ads และการดึงเอา Billing มาเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อไปทำภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง
.
จะเป็นอย่างไร ไปดูกันได้เลยนะครับ
.
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
Facebook เก็บภาษี Vat 7% 1 ก.ย. 64 นี้ รับมือยังไงดี?
อ่วม! เฟสบุ๊ค เก็บภาษี Vat 7% 1 ก.ย. นี้
ต้นทุนเพิ่มขึ้นแบบนี้ ทำไงดี?
.
ข่าวล่ามาเร็ว สำหรับคนทำธุรกิจที่ต้องยิงแอดเฟสบุ๊ค เตรียมตัวจ่ายเงินค่าภาษีเพิ่ม 7% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 64 นี้เป็นต้นไป
.
นั่นหมายความว่า ต้นทุนของคุณจะเพิ่มขึ้น 7% ทันที การบริการงบประมาณทำการตลาดจะต้องคิดให้มากขึ้น
.
ยกตัวอย่างง่ายๆว่า คุณยิงแอด 10,000 บาท สมัยก่อน ก็จ่าย 10,000 บาท ตามที่ Billing ส่งมาเก็บ
แต่พอมีเรื่อง vat 7% เข้ามา คุณต้องจ่ายเงิน 10,700 บาท ให้กับทาง Facebook
.
ใน Report ของ facebook จะไม่แสดงจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมา แต่จะไปปรากฏใน Billing แทนนะครับ
.
ส่วนคนที่ใช้การเติมเงินเข้าไปในเฟสบุ๊ค
การเติมเงินไป 10,000 บาท ก็จะใช้ได้ไม่ถึง 10,000 บาท เพราะโดนหักไป 7%
.
แล้วทำยังไงดี?
.
แม้ว่า ค่ายิงแอดในเฟสบุ๊คนั้นจะแพงขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีวันลง แต่ธุรกิจ ก็ยังต้องใช้ในการโฆษณาอยู่เสมอ และจะหนีความจริงเรื่องภาษีไปไม่ได้แน่นอน
.
ดังนั้น ให้วางแผนการทำธุรกิจดังนี้ครับ
.
- อย่าลืมคิดต้นทุนส่วนนี้เข้าไปด้วย
ต้นทุนการขายสินค้น คือ ค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่ากล่อง ค่าแพค ค่ายิงแอด และ ภาษี 7% ก็จะกลายเป็นต้นทุนของคุณด้วย
.
2.เพิ่มรายได้ด้วยการ Upsell ลูกค้า
เวลายิงแอด แล้วได้ลูกค้า 1 คน ไม่ควรขายของชิ้นเดียว ให้นำเสนอสินค้าแบบเป็น package ซื้อมากขึ้น แต่ราคาถูกลง เช่น 1 ชิ้น 300 บาท แต่ซื้อ 3 ชิ้นลดให้ 200 บาท กำไรอาจจะลดลงไปบ้าง แต่รายได้ต่อครั้งเพิ่มขึ้น
. - บริหารลูกค้าเก่าในมือ
80% ของรายได้บริษัทมาจาก ลูกค้าเก่า คือ ทรัพย์สินของคุณ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่ดี ส่วนการรักษาลูกค้าเก่า คือสิ่งที่จำเป็นมากกว่า แต่คนลืมทำ ดังนั้น ควรบริหารลูกค้าเก่า ด้วยการใช้ LINE OA อีเมล์ SMS หรือ การโทรหา
. - ลดต้นทุนด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ
ยังมีลูกค้าที่กระจายตัวในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เรามองข้ามไป LINE, TikTok, Youtube, Google Ads, หรือ SEO ลองสำรวจตัวเองว่า หาทางไปในช่องทางเหล่านี้ได้อย่างไร
.
เป็นกำลังใจให้ นักธุรกิจทุกคนนะครับ
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #facebook #ยิงแอด
4 เทคนิค สร้างโพสต์”รู้ใจ” ก่อนลูกค้า”รู้ตัว” เพิ่มยอดขาย ในเฟสบุ๊ค
4 เทคนิค สร้างโพสต์”รู้ใจ” ก่อนลูกค้า”รู้ตัว”
เพิ่มยอดขาย ในเฟสบุ๊ค (อ่านแล้ว เอาไปทำตามได้เลย)
.
ทุกวันนี้ มีโพสต์โฆษณา โผล่ให้เห็นขึ้นมามากมาย ในเฟสบุ๊ค
ดังนั้น มันจึงเป็นสงครามดึงความสนใจขนาดย่อมๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
.
.
เราจะเอาตัวรอดจากสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง
.
.
วิธีดึงความสนใจ ที่โดนใจลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญ
บทความนี้ จะไกด์เทคนิค ที่สะกิดต่อมประหลาดใจ ให้กับคนอ่านโฆษณา
ว่า “ทำไมโพสต์นี้ มันถึงรู้ใจนะ”
.
วิธีนี้ จะทำได้ ด้วยการยิงแอดเฟสบุ๊ค แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยครับ
เอ้า มาเก็บไอเดียไปทำกันครับ
.
1 เดือนเกิด
เดือนเกิด เป็นข้อมูลที่ ผู้ใช้เฟสบุ๊ค ระบุลงไปเอง
ดังนั้น มันจึงมีความแม่นยำสูง (เว้นแต่ว่า คนที่สมัครเฟสบุ๊ค จะระบุ วันเกิดตัวเองมั่วซั่ว)
.
ด้วยไอเดียนี้ เราจึง เอาความสนใจนี้ มาประกอบกับ โพสต์ขายได้ ยกตัวอย่างเช่น
.
ให้ของขวัญวันเกิดกับตัวเอง ด้วย สิ่งนี้…
สิทธิพิเศษ สำหรับคนเกิดเดือนนี้ จัดไปเลยกับโปรโมชั่น…
.
เหมาะกับธุรกิจไหน?
สินค้า บริการทุกประเภท ที่ ต้องการใช้ โปรโมชั่นเดือนเกิด
2. OS หรือ เครื่องมือ (Device) ที่ใช้เล่นเฟสบุ๊ค
ในเฟสบุ๊คจะมี พฤติกรรมที่บ่งบอกว่า ใช้สมาร์ทโฟนอะไร เข้ามาใช้งาน เช่น
คนที่ใช้ android เข้ามาเล่นเฟสบุ๊ค
คนที่ใช้ samsung เข้ามาเล่นเฟสบุ๊ค
.
หรืออีกแบบคือ ต้องไปที่ “Placements” แล้วเลือก “Manual Placements” ไปเลือกที่
“Specific Mobile Devices & Operating Systems” ซึ่งสามารถจะเลือกได้ว่า เป็น Android , iOS หรือ iPad
.
เมื่อรู้ข้อมูลแล้ว เราก็สามารถ ระบุ เจาะจงเพื่อขายสินค้า เฉพาะคนที่ใช้ Device กลุ่มนี้ ได้ เช่น
.
เคส iPad สุดสวย รอคุณมาครอบครอง จองเลยสิจ๊ะ
สิทธิพิเศษ ลด 20% สำหรับผู้ใช้ iPhone และเห็นโพสต์นี้ เท่านั้น
.
เหมาะกับใคร
สินค้าที่ขายควบคู่ไปกับ อุปกรณ์ต่างๆ อย่าง iPhone , Android , iPad เช่น เคส ที่ชาร์จ แท่นชาร์จ คีย์บอร์ด เป็นต้น
.
3.วันเกิดเพื่อน
ในเฟสบุ๊ค จะมีความสนใจประเภทหนึ่ง นั่นคือ
- เพื่อนของผู้ชาย ที่มีวันเกิดในเดือนนี้ ภายใน 0-7 วัน , 7-30 วัน
- เพื่อนของผู้หญิง ที่มีวันเกิดในเดือนนี้ ภายใน 0-7 วัน , 7-30 วัน
- เพื่อนของคนที่มีวันเกิด ในเดือนนี้
อันนี้ เหมาะมาก สำหรับทำโพสต์ให้กับคน ที่กำลังมองหาของขวัญ ให้กับเพื่อนนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
.
ใกล้ถึงวันเกิดเพื่อนแล้ว มีของขวัญให้หรือยัง?
มีเพื่อนเกิดเดือนนี้ใช่มั้ย มองหาอะไรไปเซอร์ไพรส์หรือยัง
.
เหมาะกับธุรกิจอะไร?
ร้านของขวัญ ร้านเค้ก ร้านขนม
.
4. ปีที่เกิด
ปีเกิด เป็นข้อมูลที่ ผู้ใช้เฟสบุ๊ค ระบุลงไปเอง
ซึ่งสามารถคำนวณออกมาได้ ว่า คนเหล่านี้ เกิดราศีอะไร
.
พอรู้ว่า เกิดราศีอะไร ก็พร้อมแล้วที่จะส่งโพสต์เรียกร้องความสนใจ
ไปให้คนเหล่านั้น และเขาก็พร้อมรับข้อมูลด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
.
สำหรับชาวราศี กันย์ รับสิทธิพิเศษ เมื่อเห็นโพสต์นี้ ทักมารับสิทธิพิเศษนี้ได้เลย
ปีนี้ปีชง ของคุณ คลิกเพื่ออ่านวิธีเสริมดวง เบอร์ใหม่ได้เลยตรงนี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ
.
เหมาะกับธุรกิจไหน?
เบอร์มงคล สินค้าเสริมดวง
.
.
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างครับ
ถ้ารู้เทคนิคนี้ แล้ว จะเอาไปประยุกต์ใช้กับสินค้า และ บริการของตัวเองเพิ่มเติมจากที่แนะนำ ก็คอมเมนต์มาบอกกันได้นะครับ น่าจะต่อยอด เกิดประโยชน์ไปได้มากขึ้น
.
หรือเอาไปใช้แล้ว ได้ผลยังไง มาบอกกันด้วยนะครับ 😉
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
digitalnook #ยิงแอด
ยิงแอด Facebook ยังไง ในวันที่ iOS14 มาป่วนตลาดซะขนาดนี้!!
ยิงแอด Facebook ยังไง ในวันที่ iOS14 มาป่วนตลาดซะขนาดนี้!!
หลังจากที่ Apple ได้ประกาศลดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ใน iOS14
ทำให้การยิงแอด Facebook ได้รับผลกระทบโดยตรง
ความแม่นยำที่เคยเป๊ะๆ ละเอียดแบบสุดๆ จะเปลี่ยนไปแล้ว
“ไม่แม่นเหมือนดิม” เอาง่ายๆ
โดยเฉพาะการยิงแอดร่วมกับเว็บไซต์ หรือยิงแอด Conversion
ตอนนี้ ถือว่าอยู่ในช่วงที่ลำบากมากกว่าเดิม
ผมเชื่อว่า Facebook มีกลวิธีในการแก้เกมส์นี้ ได้อยู่แล้วครับ
เพียงแต่ช่วงนี้ อาจจะวุ่นวายหน่อย กับการปรับแก้ ให้มาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม
แล้วคนทำธุรกิจออนไลน์ ที่ยังต้องใช้ Facebook ในการสร้างรายได้
ต้องทำยังไง
วันนี้ผมจึงอยากแชร์ การยิงแอด Facebook ในช่วงเวลานี้ให้ทุกคนได้นำไปคิด และ ใช้ประโยชน์กันครับ
มา มาดูกันเลยครับ!!
- ใส่ใจกับ Content ให้มากกว่าเดิม
Content คือ แม่เหล็กที่จะดึงกลุ่มเป้าหมาย ให้มายัง inbox ของเรา
หลักการเขียน Content ที่ดี จะต้องมี คำพูด หรือ ความคิดของลูกค้าของเราอยู่ในนั้นเสมอ
- เขาอยากได้อะไร
- เขาไม่ชอบอะไร เขาบ่นอะไร
- เขามีปัญหาอะไรอยู่ ณ ตอนนี้
- ทางแก้ปัญหาเดิมของเขา เพียงพอหรือเปล่า
- สิ่งที่เราจะขาย มันแก้ปัญหาให้เขาได้ยังไง?
ถ้าลูกค้าในอนาคตของเรา ได้มาอ่าน แล้วมันจี๊ดใจ ตรงใจแบบตบเข่าฉาด
เขาก็จะ inbox มาหาเรา หรือ Comment ในโพสต์ ได้อย่างง่ายดาย
บางครั้ง Content ดีๆ สินค้ามีความต้องการ
ไม่ต้องใส่ความสนใจ ก็ปังได้
- ใช้ความสนใจ Core Audience ที่ Facebook มีให้
การยิงแอดขั้นต้นที่เราเลือกใช้ตั้งแต่ครั้งแรก ยังทำงานได้ดีอยู่
ลองมาโฟกัส ในการเลือกความสนใจกันอีกครั้งแบบละเอียดๆ
ส่วนใหญ่ เรากำหนดข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย มาการจินตนาการ ว่าคนที่น่าจะเป็นลูกค้าของเราเป็นใคร เพราะเราจะได้รายละเอียด ของเพศ วัย ที่อยู่อาศัยของเขา รวมทั้งความสนใจ ที่คนเหล่านี้น่าจะชอบ
และเราก็ต้องมาเช็คอีกครั้ง ด้วย Audience Insight (ใช้งานเวอร์ชั่นเก่าได้ถึง 1 ก.ค. 64) ก่อนนำมาใช้
แต่ยังมีความสนใจอีกสองแบบ ที่ควรกลับไปเลือกใช้ นั่นคือ
พฤติกรรม : เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ / การเดินทาง / วันเกิด / เป็นต้น /
กิจกรรมในชีวิต : เช่น แต่งงาน / การเปลี่ยนงาน / อาชีพ
- สร้างกลุ่มเป้าหมาย Custom audience จาก facebook เป็นหลัก เพื่อ Retarget
เมื่อเรายิงแอดไปแล้ว ในครั้งแรก ลูกค้า อาจจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าตั้งแต่แรก
ดังนั้น เราต้องหากลุ่มเป้าหมาย ที่สนใจเราจริงๆ
กลุ่มเป้าหมายแบบ Custom Audience ที่ยังใช้งานได้ดี ณ ตอนนี้
แนะนำให้ใช้ Source ที่มาจาก Facebook เป็นหลักก่อนนะครับ
แนะนำดังนี้ครับ
Custom audience จากคนที่ inbox มาหาเพจ ใน 30 วัน
Custom audience ที่มีส่วนร่วมกับ post หรือ โฆษณา ใน 3 วัน
Custom audience ที่มีส่วนร่วมกับ คลิปของเราเกิน 75% ใน 3 วัน
(แต่ละธุรกิจ ช่วงระยะเวลา อาจจะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นของที่ ไม่ต้องคิดเยอะ อาจจะ ใช้จำนวนวันน้อย ถ้าสินค้า ราคาสูง อาจจะต้องเปลี่ยนจำนวนวันให้นานมากขึ้น)
คนเหล่านี้ คือคนที่สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา
และมีโอกาสเป็นลูกค้าของเราในอนาคต
ดังนั้น จึงต้องโฆษณากลับไปหาเขาอีกครั้ง ซึ่งเรียกว่า การ Retarget นั่นเอง
- Retarget กลับไปหาคนที่มีส่วนร่วมด้วย Content ใหม่
การส่งโฆษณากลับไปหา กลุ่มเป้าหมายที่สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา
ไม่ใช่ การส่งโฆษณา Content แบบเดิมไปหานะครับ
แต่เป็นการส่ง โฆษณาใหม่ๆ เนื้อหาใหม่ๆ ที่จะทำให้เค้าตัดสินใจ หรือ มั่นใจมากขึ้น ที่จะสั่งสินค้ากับเรา
โฆษณาประเภทนี้ จะเป็น การสร้างขึ้นมาจากตัวจัดการโฆษณา เพราะมันจะไม่ขึ้นที่หน้าเพจ เพราะเราไม่ได้ต้องการให้เห็นทุกคน
เราต้องการเฉพาะ คนที่เราอยากเขาได้เห็นเท่านั้น
ซึ่ง Content เหล่านี้คือ
โปรโมชั่นพิเศษ
รีวิวผู้ใช้งาน
รางวัลการันตี
งบประมาณที่เราใช้งานในการยิง Retarget ไม่ต้องมากเท่ากับ core audience
เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ มีไม่มาก
ใช้แค่วันละ 100 บาทต่อกลุ่มเป้าหมาย 5,000 คน ก็ถือว่า พอเพียงแล้วครับ
เอาไปใช้กันได้เลยนะครับ!!
#digitalnook #facebookads #ยิงแอด
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
Facebook Audience Insight ปลิวไปแล้วจริงหรือ?
Facebook Audience Insight ปลิวไปแล้วจริงหรือ?
แล้วทำไงกันดี?
ผมไปหาทางเข้ามาให้แล้วครับ ทุกโค้น!!
เมื่อก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนบทความแจ้งข่าวเรื่อง Audience Insight
เครื่องมือตรวจสอบความสนใจใน Facebook เอาไว้
ว่า เขาจะมีให้ใช้จนถึง 1 กรกฎาคม 64 แล้วก็จะย้ายไปอยู่ใน Business Suite แทน
ล่าสุดครับ ด้วยความมือบอน + ความสงสัยว่า เอ เครื่องมือนี้
มันยังใช้งานได้หรือเปล่า
เลยกดเข้าไปดู
ปรากฏว่าตอนนี้ปลิวหายไปแล้วครับ
หายไปก่อนกำหนดเสียด้วย!!
จึงต้องมาเขียนเรื่องนี้ แจ้ง Update ให้ทราบกันครับ
คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง ปรับปรุง และ โยกย้ายกันพอสมควร
หลังจากนั้น จึงลองเข้าไปเช็คใน Business suite ก็พบว่า
เครื่องมือ audience insight ยังมีอยู่ครับ
แต่ว่า การใช้งานจะเปลี่ยนไป เห็นข้อมูลน้อยลง จะเหลือเพียง
หลักๆ จะเป็นการสำรวจความสนใจ ของคนในเพจที่เราดูแลอยู่
กับอีกอันก็คือ potential audience ซึ่งเป็นตัวมาแทน Audience Insight ที่กำลังจะหายไป
โดยจะบอกอะไรบ้าง?
- Potential audience size : จำนวนคนที่เข้าถึงได้
- Gender and age : สัดส่วนของเพศและวัย
- Top towns/cities : จังหวัดที่คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่
- Top countries : ประเทศที่กลุ่มเป้าหมาย อาศัยอยู่
- Top Pages : อันนี้ ผมลองกี่ interest มันก็มีแต่ เพจดังๆ เท่านั้นเองครับ
แต่ข่าวดีครับ
ตอนนี้ เรายังเลือกใช้ Audince insight ได้ครับ เลือกใช้ได้ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 64
เพียงแต่ขั้นตอน อาจจะวุ่นวายกว่าเดิมเล็กน้อย
นั่นคือ
ไปที่ Business suite > insight > audience > แล้วไปที่ potential audience จะขึ้นคำว่า Opt out
ให้เอา mouse over ไปครับ จะมีแถบปรากฏขึ้นมา
แล้วบอกว่า ถ้ายังอยากจะกลับไปใช้ Facebook Audience Insight ละก็
คลิกที่ปุ่ม “Return to audience insight”
หลังจากนั้น หน้าจอจะตัดกลับมาที่ Audience insight ให้ใช้งานกันครับ!!
เอาเป็นว่า มันยังอยู่ ก็ให้รีบใช้ เสียก่อนที่มันจะหายไปนะครับ
เพราะเดี๋ยว iOS 14 Update มา ก็ไม่รู้ จะเกิดอะไรต่ออีก กับการยิงแอด Facebook
อย่างไรก็ตาม เรื่องของความสนใจ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
ที่จะทำให้ การยิงแอดนั้นประสบความสำเร็จ
แต่ตัวคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งเราควรสนใจ มันคือ
Content นั่นเอง
เพราะ Content ที่ดี จะชี้หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ มาให้เราเสมอ
นี่แหละ คือเครื่องมือ ที่เรามักหลงลืมกันไปบ่อยๆ
เพราะ Content ที่ใช่
จะคัดคนที่ชัวร์ มาให้เรา ตลอด
…..
ช่วงขายของ
การตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีแค่แพลตฟอร์มเดียวเท่านั้น
อย่าฝากความหวังไว้ที่ ใด ที่หนึ่งเท่านั้น
โลกนี้ ยังมี TikTok / LINE OA / LINE Ads Platform / Myshop
สนใจคอร์สออนไลน์ที่พร้อมสอนแบบไม่กั๊ก ดูย้อนหลังได้ตลอดชีพ มีคำถามปรึกษาได้ ทาง LINE ได้ตลอด
ทักไลน์ @digitalnookacademy หรือคลิก https://lin.ee/pL1INOl
ยิงแอด Facebook แล้วปิดการขายยาก ให้ยิงแบบ Facebook Funnel อ่านแล้วเอาไปทำตามได้เลย
ยิงแอด Facebook แล้วปิดการขายยาก ให้ยิงแบบ Facebook Funnel อ่านแล้วเอาไปทำตามได้เลย
สมัยนี้ หลายคนบอกว่า
ยิงแอดยากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เขียนโพสต์อะไรนิดๆหน่อยๆ
ส่งออกไปหากลุ่มเป้าหมาย สักพักก็ได้ยอด
ใช่แล้วครับ สมัยก่อน โฆษณาใน Facebook เป็นเรื่องใหม่
ทำอะไรก็แปลกตา
พอความแปลกตา ผ่านวันเวลามานานๆเข้า
เรื่องเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา จนคนรู้สึกเฉยๆ
การทำโฆษณาสมัยนี้ เราจึงได้ยินคำว่า Funnel กันบ่อยขึ้น
อันที่จริง ก็คือหลักการตลาดเดิม ที่ทำให้คนไม่เคยรู้จัก สนใจ มากขึ้นๆ จนกล้าซื้อสินค้ากับเราแหละครับ
วันนี้ จะขอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
เน้นเป็นวิธีทำ ที่อ่านแล้ว เอาไปใช้ได้เลย
หมายเหตุ
ถ้าสินค้าตัดสินใจง่าย บางที คุณอาจจะขายได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลย
แต่ถ้าสินค้าต้องพิจารณานาน บางครั้ง อาจจะต้อง
1.ส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า
โฆษณาชุดแรก ที่คุณต้องส่งไปหากลุ่มเป้าหมาย คือ โฆษณาที่ทำให้คนรู้จักเราก่อน
ว่าเราคือใคร ทำอะไร แก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง
เขียนให้สะดุดตา โดนใจกลุ่มเป้าหมายไปเลย ให้รู้ว่าเราคือคนที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้เขาได้ บางครั้งถ้าเขียน หรือ สื่อสารดีๆ ถ้าราคาเหมาะสม หรือ ไปสะดุดต่อมอยากได้ ก็อาจจะปิดการขายในขั้นตอนนี้เลย ก็เป็นได้
ขั้นตอนนี้ใช้ ความสนใจที่ Facebook มีให้เราใช้งานเลย
แต่ถ้ายังขายไม่ได้ ให้ไปสู่อีกขั้นตอน
ขั้นตอนนี้ สำหรับ Facebook ถ้าทำ Video เราสามารถทำ Custom audience ได้ / ถ้า video สั้นๆ ก็เลือกเอาคนที่ดู video เกิน 50%-75% หรือหากเป็นภาพ ก็ทำ Custom audience จากคนมี ส่วนร่วมกับโพสต์ได้
กลุ่มเป้าหมาย
เลือกคนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ในช่วงวันที่ 1-3
2.ส่งโฆษณา เสริมความมั่นใจ ไปให้ดูอีก
จากข้อ 1 เมื่อเราสร้าง Custom audience จาก การรับชม Video หรือมีส่วนร่วมกับโพสต์มาแล้ว เราจะส่งโฆษณาอีกแบบไปให้เขาดู
โฆษณาในขั้นนี้ อาจจะเป็นโฆษณาที่เจาะลึก ลงในสินค้าเรามากขึ้น หรือ อาจจะมีรีวิวคนใช้งาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คนที่พอใจในสินค้าของเรา
เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายของเรา เคลิ้ม คล้อยตามสิ่งที่เราบอกไปอีกขั้น
กลุ่มเป้าหมาย
เลือกคนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ในช่วงวันที่ 4-7
3.ส่งข้อเสนอ หรือ ราคาที่เห็นแล้วว้าวกลับไป
เมื่อรู้จักสินค้าแล้ว เห็นผลลัพธ์แล้ว รู้สึก อยากจะลองใช้ ลองซื้อ
แต่อาจจะติดอยู่ตรงเรื่องราคา ถ้าข้อเสนอดีๆ ก็ตัดสินใจง่ายขึ้น
ขั้นตอนนี้ ลองนำเสนอราคาโปรที่ดูเร้าใจ
มากกว่าสองขั้นตอนแรกดู
กลุ่มเป้าหมาย
เลือกคนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ในช่วงวันที่ 8-16
4.ถ้ายังไม่ซื้อจริงๆตอนนี้ บอกให้ติดตามไว้ก่อน
ถ้าทำยังไง ส่งอะไร ก็ไม่หือ ไม่อือ กับโฆษณาของเรา
แสดงว่า เขายังไม่พร้อมกับการซื้อในตอนนี้ ก็เป็นได้
อาจจะรอเงิน หรือ ไม่สนใจเลยจริงๆ
ในขั้นตอนนี้ ให้นำเสนอโฆษณา แบบภาพรวมออกไป
เป็นการให้ติดตามเราอยู่เรื่อยๆ นะ จะมีสินค้าดีๆ มีอะไรดีๆ มานำเสนอให้
จะได้ไม่พลาดโอกาสดีๆ จากเรา
กลุ่มเป้าหมาย
เลือกคนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ในช่วงวันที่ 17-30
ปล.
- กลุ่มเป้าหมายที่ดูโฆษณา มีส่วนร่วมกับเพจในช่วงเวลา ต่างๆ นั้น ให้ใช้เทคนิคการทำ custom audience คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์หรือโฆษณา
การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย คนดูโฆษณา (อันนี้ อาจจะซับซ้อนหน่อย)
- คนที่ดูโฆษณา 1-3 วัน ก็ให้เลือก คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 3 วัน
- คนที่ดูโฆษณา 4-7 วัน ก็ให้เลือก คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 7 วัน และ ไม่รวม (exclude) คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 3 วัน
- คนที่ดูโฆษณา 8-16 วัน ก็ให้เลือก คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 16 วัน และ ไม่รวม (exclude) คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 7 วัน
- คนที่ดูโฆษณา 17-30 วัน ก็ให้เลือก คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 30 วัน และ ไม่รวม (exclude) คนที่มีส่วนร่วมกับโพสต์โฆษณา ใน 16 วัน
ลองไปทำกันดูนะครับ 😉
แรกๆ อาจจะงง สับสนบ้าง
แต่ถ้าทำบ่อยๆ แล้วรับรองว่า จะคุ้นเคยไปเอง
พอจะเห็นเป็นแนวทางบ้างแล้วมั้ยครับ?
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
เลือกใช้ Google หรือ Facebook ทำการตลาด ตอนไหนดี? คำถามนี้ มีคำตอบให้
เลือกใช้ Google หรือ Facebook ทำการตลาด ตอนไหนดี? คำถามนี้ มีคำตอบให้
มีเจ้าของกิจการหลายท่าน
เคยถามผมว่า
“เราควรเลือกใช้ Google หรือ Facebook สำหรับทำการตลาดออนไลน์”
ผมขอตอบคำถามนี้ โดยแยกออกมาตามพฤติกรรมของลูกค้านะครับ
แบ่งง่ายๆ แบบนี้
“ถ้าสินค้า เป็นสิ่งที่คนมองหา เพื่อแก้ปัญหา ใช้ Google”
“ถ้าสินค้า เป็นสิ่งที่คนเห็นแล้ว รู้สึก อยากได้ ใช้ Facebook”
ฝั่ง Google ผมมองเครื่องมือออนไลน์ เป็นพวก youtube / website / google business
เวลาคนจะแก้ปัญหาอะไรที่เร่งด่วน จำเป็น บริการของ google ช่วยได้ดีมากๆ
- จะตัดสินใจซื้อของ ขอดูรีวิว จะไปดูใน Youtube ก่อน แล้วไปซื้อ บางทีก็ซื้อสินค้าจากลิงค์ในคำบรรยาของ Youtube นั่นแหละ
- จะเดินทางไปที่ไหน ประหยัดเวลา ค่าน้ำมัน ไม่หลง โทรไปหาก่อนด้วย Google Maps (พิกัดร้าน จัดการด้วย Google Business) ที่สำคัญ ร้านไหน หรือ ธุรกิจไหนอยู่บนแผนที่ จะสร้างความมั่นใจให้คนซื้อได้อีกเยอะ
- หาข้อมูลแก้ปัญหาบางอย่างให้ตัว หาเจอได้จาก Google Search แล้วเจอได้ทั้งข้อมูล และภาพ ที่ต้องการ / ถ้าเว็บเรามีคำตอบให้คนที่กำลังมองหา / เค้าจะมองเห็นเราเป็นหนึ่งในทางแก้ปัญหาให้เขา
ฝั่ง Facebook ผมมองเครื่องมือออนไลน์ เป็น Facebook group / Facebook live / fanpage
- คนเราชอบหาข้อมูล หรือ สอบถามเพื่อให้ได้คำตอบเร็วๆ จาก Facebook Group หรือ ได้ข้อมูล insight ที่ไม่อิงแบรนด์ อิงยี่ห้อ เป็นคำตอบจากคนใช้งานจริงๆ / คนเราชอบใช้ Facebook group แบบนี้
- ของบางอย่าง อาจจะยังไม่รู้สึกอยากได้ จนกระทั่งมี Live เกิดขึ้นมา / เห็นคนอื่นเขากด F สินค้า (สั่งจอง) กันสนั่นหวั่นไหว หัวใจของเรา มันก็อยากได้ขึ้นมาสินะ
- Fanpage คือ สื่อตัวเดียวของ Facebook ที่สามารถ ทำโฆษณาได้ เรียกว่าครบครันที่สุด / สามารถส่ง Content ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้ม สนใจสิ่ง สินค้าและบริการของเรา
แต่จะดีไปยิ่งกว่า หากเรานำทั้งสองสิ่งนี้ มาผสมผสานกัน
เพราะว่า ช่วยกัน ย่อมดีกว่าเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น
- ทำคลิปใน Youtube แล้วให้คนลิงค์ มาสอบถามทาง inbox ในเพจได้
- คนที่ search เจอเว็บไซต์เราหน้าไหน ก็กลับไป Remarketing ผ่าน Facebook ได้ด้วย Pixel
- คนที่หากิจการเราเจอใน แผนที่ ก็ใส่ลิงค์ไปยัง Facebook ได้ เพื่อให้เขามีข้อมูลเพิ่ม และติดต่อเรามาได้ง่ายขึ้น
นี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
ลองไปประยุกต์ใช้กันดูนะครับ
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook