Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
.
ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้งาน internet ในบ้านเรา ประจำรอบ JAN 2020
ซึ่งเป็นเก็บรวบรวมข้อมูล ล่าสุดมาให้อ่านกัน
.
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นตัวที่ทำให้เรา ได้ตัดสินใจ หรือ คิดวางแผนได้ล่วงหน้าว่า
จะต้องปรับตัวอย่างไร ให้ทันกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน internet จริงๆ
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะเหมือนเดิม
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะทำให้แปลกใจ
.
เอาล่ะ
จะเป็นอย่างไรนั้น อย่ารอช้า มาดูกันเลย
.
ข้อมูลโดยรวม!
คนไทยทั้งหมด 69.71 ล้านคน มีมือถือทั้งหมด 93.39 ล้านคน ใช้ internet 52 ล้านคน
.
คนไทยใช้สมาร์ทโฟนแทบจะ 100% ไปแล้ว
.
เวลาทั้งหมดของการใช้ internet ของคนไทย หมดไปกับการดู หนัง แชท และ ฟังเพลง ชอบความบันเทิงไง!!
.
ความเร็วเฉลี่ย internet มือถือเร็วขึ้น 48% ส่วน internet บ้านเพิ่มขึ้น 117% (สำรวจจากคนส่วนใหญ่ ใครเน็ทช้า ลองเช็คว่าเราใช้ pakage ไหนด้วยนะ)
.
สมัยก่อนเราเข้าใจว่า traffic เข้าเว็บมาจากมือถือ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่า มาจาก computer มากกว่า (อันนี้เปลี่ยนความคิดคนทำเว็บไปพอสมควร)
.
เว็บยอดนิยม ยังเป็น google เฟสบุ๊คและ youtube แต่เว็บโป๊ก็ยังติดอันดับ 9 ที่คนดูเยอะสุด ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 16 นาทีต่อครั้ง! (อืม…)
.
คำค้นหาของคนไทย ยังวนเวียน กับเรื่อง บอล หวย หนัง เหมือนเดิม (คลาสสิกสุดๆ)
.
กิจกรรมยอดนิยมของคนไทยก็ยังเป็นการดูคลิป ดู VLOG แต่ที่น่าสนใจคือการฟัง podcast ที่ติดอันดับมาด้วย!
.
คนไทยใช้ voice search เพิ่มขึ้น จ่ายเงินรายเดือนเพื่อดูหนังเพิ่มมากขึ้น (netflix เป็นต้น)
.
การใช้ social media ของคนไทย อยู่ที่ช่วงวัย 25-34 มากที่สุด รองลงมาคือ 18-24
.
ที่ผ่านมา social media น้องใหม่อย่าง tiktok มาแรงมากๆ รองจาก twitter และ instagram ใครอยากหาตลาดใหม่ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ต้องไปศึกษา (ไปสร้างให้คนพูดถึงแบรนด์ แต่จะมี account หรือไม่มีก็ได้ ถ้านึกไม่ออก ให้ดูการตลาดของเพลง วิบวับ ที่ดังมาจาก วิบวับชาเลนจ์)
.
instagram คืออาณาจักรของสาวน้อย เพราะมีผู้หญิงใช้งาน 63% จากทั้งหมด 12 ล้านคน
.
twitter คืออาณาจักรของสาวน้อยยิ่งกว่า instagram เพราะมีผู้หญิงใช้งานมากถึง 78% จาก 6.55 ล้านคน (พฤติกรรมส่วนใหญ่ คือ การติดตามข่าวสารที่ไวมากๆ ส่วนวิธีการพูด การสื่อสาร จะต้องเป็นกันเอง ไม่ต้องเยิ่นเย้อ เพราะคำพูดที่เขียนได้มีจำกัด แค่ 280 ตัวอักษร และใส่ภาพได้สูงสุด 4 ภาพ)
.
llinkedin มีคนใช้งาน 2.7 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ชายใช้งานมากกว่า (วัยทำงานด้วย)
.
คนซื้ออะไรในออนไลน์
มากที่สุดคือ ท่องเที่ยว 6.12 พันล้าน USD เสื้อผ้า 1.03 พันล้านเหรียญ USD แต่ที่น่าสนใจ คือตลาดเกมส์ 227 ล้านเหรียญ USD
.
ธุรกิจอะไรเติบโตก้าวกระโดดในอีคอมเมิร์ซ บ้านเรา
ธุรกิจอาหาร และ การดูแลสุขภาพ มาเป็นอันดับ 1 22% รองลงมาคือ ของเล่น งาน DIY โต 19% ส่วนเสื้อผ้า และ เฟอร์มาไล่ๆกัน
.
ลูกค้าเจอแบรนด์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางไหน?
ที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าไปหาเจอใน search engine ถึง 41% คาดว่าน่าจะมาจาก Google Maps ใครอยากเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ให้ไปเรียนรู้เรื่อง google my business ครับ รองลงมายังเป็นทีวีนะจ๊ะ
.
ทั้งหมดนี้ คือสรุป การใช้งาน Thailand internet 2020 ที่สรุปมาจาก weare social และ hoot suit ซึ่งจะทำออกมาเป็นประจำ
.
ถือเป็นข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานกันนะครับ
แต่หน้างานจริงๆ ก็ให้ยึดจากข้อมูล ที่เราเจอจริงๆ
อาจจะแตกต่างไปจากที่เขาสรุปมาให้ก็ได้
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ 😉
ที่มาของข้อมูล
https://datareportal.com/reports/digital-2020-thailand
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
คัมภีร์ 7 วิถี สู้ปัญหา เฟสบุ๊ค ลด Reach
เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า Social Media ที่คนไทยใช้กันมากที่สุด
คือ Facebook
แต่ทุกๆปี Facebook จะทำการลดสปีดหรือการเข้าถึงให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
เมื่อเราอยู่บ้านหลังนี้เขาวางกฏเอาไว้อย่างไร
เราก็คงต้องปฏิบัติตาม
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า Facebook จะลดการเข้าถึง ให้น้อยลงไปอีก
ผมเลยขออาสาเขียนวิธี 7 วิธีสู้ปัญหา Facebook ลด Reach
มาให้ทุกคนได้ไปปรับใช้กับเพจ Facebook ของตัวเอง
1.เลี่ยง keyword ที่ขาย เพราะ Facebook รู้ว่าเรากำลังขาย
โดยปกติแล้วถ้ามีคำพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับการขายของ Facebook จะมองว่านี่คือโฆษณา ล่าสุดลามมาถึงระดับ Facebook ส่วนตัว หากเขียนคำว่าขายหรือราคา จะมีปุ่มให้กดทักแชทขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่อยากให้โพสต์คุณ เป็นการขายของ ให้ลด หรือ งด คำว่าราคา ขาย เช่า ไปบ้าง
(แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็เขียนเป็นไปเถอะครับ)
2.งด การทำ Before After แม้จะไม่ได้โฆษณา
หากใครเป็นสายสุขภาพสกินแคร์ สิ่งที่พยายามจะเลี่ยงก็คือเรื่องของ Before After บางคนเลี่ยงมีโฆษณา แต่ว่าโพสต์ตามปกติแทน แล้วคิดว่ามันไม่ผิด
แต่อันที่จริงแล้ว Facebook เขามองทั้งหมดแหละครับ ทั้งแบบโฆษณาและไม่โฆษณา ถ้าใครยังทำอยู่ Facebook มองว่านี่คือ Landing Page ที่สร้างประสบการณ์ไม่ดี
3.ใช้สูตร content 80/15/5
เรื่องนี้ ผมขอเขียนสั้นๆ นะครับ เพราะใครอยากอ่านละเอียด ผมขอส่ง link ให้ไปอ่านต่อครับ
80 = การเขียน content ให้คุณค่า
15 = การโชว์ผลงาน testimonial ต่างๆ
5 = การขายแบบไม่ขาย
ไปอ่านได้เลยครับ >> https://www.digitalnook.co/388/
4. งดการ capture chat inbox มาโพสต์
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ facebook เข้มข้นมากๆ เหตุผลไม่เกี่ยวกับเรื่องของ privacy แต่เป็นเรื่องของการอ้างอิง platform ของ Facebook มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมไปที่บทความนี่เลยครับ
https://www.digitalnook.co/369/
5.เพิ่มคนคุณภาพ เข้ามาในเพจ ด้วย content คุณภาพ
ฐานแฟนที่มีคุณภาพ คือ asset หรือสินทรัพย์ ที่คุณต้องระลึกถึงเสมอ เพราะเราไม่สามารถจะโฆษณาได้อยู่ตลอดเวลา และอีกหน่อยการโฆษณาก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ
การหาคนคุณภาพเข้ามาอยู่เป็นฐานแฟน คือสิ่งที่ต้องทำ
อยากรู้ว่าทำอย่างไร แนะนำให้ดูคลิปนี้นะครับ
>> https://www.digitalnook.co/522/
6. เปลี่ยนรูปแบบของโพสต์บ้าง อย่าทำรูปแบบเดิมๆ โดยเฉพาะ Live
การโพสรูปแบบเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ Facebook จะไม่ชอบ โดยเฉพาะการออกมาไลฟ์ ถ้าคุณทำถี่เกินไป คุณจะโดน Facebook ปรับการมองเห็นให้ลดลงแบบสุดๆ
บางคนถึงขั้นกับขึ้นป้ายสีแดงที่หน้าเพจ ซึ่งทำให้โพสต์อะไรคนก็จะไม่เห็น
ทางแก้อย่างเดียวก็คือ กด appeal แจ้งเหตุผลไปแจ้ง facebook ว่า ทำไมเพจเราถึงไม่ควรโดนปิดกั้นการมองเห็น
แย่น้อยที่สุด คือ โดนปิดการมองเห็นไว้ 7 วัน แต่ถ้าแย่มากๆ อาจจะไม่กลับมาเลย ก็เป็นได้
(ขอบอกว่า การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Facebook ขอให้คุยแบบภาษาธุรกิจนะครับอย่าไปเหวี่ยงใส่!!)
7. 5 โพสต์ที่ได้รับ Reach สูงสุดในเพจของคุณ คือแนวทางที่คุณต้องทำ
หลายคนพยายามนำเสนอสิ่งที่เราอยากจะบอก อยากจะเล่า แต่บางครั้งอาจจะไม่ถูกจริตคนติดตามเพจ ดังนั้น ให้ดูจากข้อมูล 5 โพสต์ในเพจของคุณที่ได้รับยอด Reach สูงๆ
ดูว่าคนชอบ Content เหล่านั้นเพราะอะไร ให้นำเอาแนวทางนั้นมาพัฒนาต่อ
นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนฝ่าฟันและอยู่ร่วมกับ Facebook อย่างมีความสุขในปี 2020
และในปีต่อไปตราบใดที่ยังมี Facebook ใช้งานกันอยู่
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
รวมข้อผิดพลาด การยิงแอดเฟสบุ๊ค ที่ทำให้ขาดทุน
สำหรับคนที่ทำธุรกิจออนไลน์แล้ว
การสร้างกำไร เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ซึ่งการจะสร้างกำไรให้เกิดกับธุรกิจของตัวเองได้นั้น
การทำโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาเฟสบุ๊คนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญ
หรือจะเรียกกันสั้นๆ ว่ายิงแอด ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่ ปัญหาที่เรามักจะพบเจอในกลุ่มนักยิงแอดมือใหม่ ก็คือ
ยิงแอดแล้วขาดทุน ยิงแอดแล้วไม่ได้กำไร
หรือบางครั้ง ก็บอกว่า ยิงแอดมั่ว
จากการสำรวจ และประสบการณ์จริง ที่ได้ทำการยิงแอดมา
ผมขอแชร์ข้อผิดพลาด ที่มักจะเจอบ่อยๆ ในการยิงแอด
ซึ่งนำพาไปสู่การขาดทุน ได้ง่ายๆ
จะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
1. ไม่ได้ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย
เอะอะ ก็กดปุ่ม Boost post เลยทันที ไม่ได้เลือก ไม่ได้คิดว่า คนเหล่านั้น เป็นกลุ่มคนที่ต้องการสินค้า หรือบริการของเราจริงๆ หรือเปล่า อันนี้ ถือเป็นเรื่องพลาดขั้นแรกเลยครับ
และส่วนใหญ่มือใหม่ ชอบกด boost post หาคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ใส่ความสนใจเลย
อันนี้ถือว่า ต้องลองคิดใหม่นะครับ
เครื่องมือที่ใช้เช็คหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ที่ควรใช้คือ Audience Insight และ เครื่องมือที่เรียกว่า Precise Maganetic (ฟรีนะครับ ไปหาโหลด chrome extension ได้)
2.ไม่ได้ทดสอบ content ที่จะนำมาโฆษณา
การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค ต้องใช้ศิลปะการถ่ายทอด การขยี้ การทำให้คนสนใจแบบสุดๆ ถ้าเราไม่ได้ทดสอบว่า Content แบบไหนที่คนชอบมาก่อน โอกาสเกิด ก็ยาก ค่าโฆษณาก็พุ่งปรี๊ดๆ แน่นอน
วิธีการทดสอบ Content ที่ง่ายที่สุด คือ ทำมาหลายๆ แล้วโพสต์ในเพจแบบปกติ ไม่ต้องจ่ายเงิน อันไหนที่ได้รับการมองเห็น การเข้าถึงเยอะ คนชอบกดไลค์ กดแชร์เยอะๆ ให้เอา content นั้นมาทำโฆษณา
3.ไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหา content
บางครั้ง เราใช้โฆษณาอันเดิม แบบเดิม ก็คิดว่ามัน สุดยอดแล้ว แต่จริงๆ content ไหนที่เราเห็นบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้
ดังนั้นการลองปรับปรุงเนื้อหา จะทำให้เจอผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้นเสมอ
4.ความอดทนในการทดสอบตัวโฆษณา
สำหรับมือใหม่ บางคน เห็นว่าแอดกินเงินไปแล้ว แต่ไม่มีใครทัก หรือ ไม่เกิดยอดขายเลย ก็ปิดไปซะแล้ว บางคนเปิดมา 2 ชั่วโมง ไม่เห็นยอดขาย ก็ปิด
ทางที่ดี คุณต้องปล่อยให้โฆษณาตัวนั้นวิ่งไปก่อน 7 วัน เพราะว่า ในแต่ละวัน การตอบรับของโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไป ให้เวลาโฆษณาทำงานนิดนึง ก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจปิด
5.ไม่ได้ตรวจเช็คการตั้งค่า ก่อนปล่อยแอด
บางครั้งตอนที่เราทำโฆษณา เราอาจจะใจร้อน รีบลงมือทำ พอเห็นว่าตั้งค่าอะไรเสร็จแล้ว ก็ปิดหน้าจอไป ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน
ผลเสียที่ตามมาก็คือ บางครั้ง เราตั้งค่าการจ่ายเงินผิด ลืมกำหนดเวลาสิ้นสุด กลายเป็นเปิดยาวตลอด ทำให้กินเงินไปฟรีๆ โดยที่ไม่รู้ว่า (อันนี้ เรื่องจริง เพราะมีน้องคนนึง เปิดโฆษณาไว้ 1 เดือน โดยไม่รู้ว่าตัวเองเปิดไว้ แถมแอดวิ่งไป แบบไม่มีคนทัก ก็เลยไม่รู้ว่าแอดยังเปิดอยู่)
6.ไม่ได้ไปดูผลลัพธ์ของการทำโฆษณา
เมื่อทำโฆษณาเสร็จแล้ว การตรวจดู report รายงานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้รู้ว่า ads ตัวไหนทำงานได้ดี แล้วทำงานได้ดีกับกลุ่มเป้าหมายไหนบ้าง
เพราะถ้าแอดตัวไหนไม่ดี เราดูจาก repor ก็ยังสามารถ นำข้อมูลจริงมาปรับปรุงโฆษณาให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ถ้าไม่ได้ดูเลย ก็จะใช้การมโนนึกแทน ไม่ได้หยิบข้อมูลมาใช้เลย แบบนี้น่าเสียดายครับ
ลองเช็คกันดูนะครับ ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
แล้วจะปรับปรุงอย่างไร
ทำผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะว่าถ้าเรารู้แล้วแก้ เรื่องแย่ๆ จะเป็นครูสอนเรา
แต่หากรู้ว่าพลาด แล้วไม่แก้ เรื่องแย่ๆ ก็จะใหญ่โตไปกว่าเดิม
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Facebook Pixel ช่วยคุณขายของได้ยังไง?
สำหรับนักการตลาดที่ทำโฆษณาบน Facebook มานาน
เมื่อช่วงกลางปีก่อน คำว่า Facebook Pixel เป็นสิ่งที่เราเริ่มพูดกัน
ตอนนั้น คำว่า Pixel ดูเป็นเรื่องใหม่มากๆ สำหรับคนยิงแอด
แต่สำหรับเมืองนอกนั้น เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาแล้ว
ไปดูความรู้เกี่ยวกับคำว่า Pixel ใน Youtube เมืองนอก เขาลง video กันไว้ก่อนหน้า
นานมากแล้ว
คำว่า Pixel คืออะไร อาจจะไม่น่าสนใจเท่ากับคำว่า
Facebook Pixel จะช่วยเราขายของ ได้ยังไง
น่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ
งั้นเรามาเจอทำความรู้จักกันเลยครับ
Facebook Pixel ก็คือโค้ดคำสั่ง ที่เอาไว้ใช้จับพฤติกรรมของคนที่ใช้งานเฟสบุ๊ค แล้วเข้าไปใช้งานในเว็บต่างๆ
เพราะตัว Pixel นี้ จะมีการติดตั้งเอาไว้ในเว็บไซต์ทุกหน้า
Pixel จะรู้ว่า ใครเคยเข้าเว็บเราบ้าง เข้าใช้งานช่วงเวลาไหนบ้าง หรือเข้าไปดูเว็บหน้าไหนบ้าง ดูหน้าไหนนานที่สุด
ถ้าเรารู้ว่าใครเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา คนเหล่านั้นต้องมีความสนใจสินค้า หรือ บริการของเราอย่างแน่นอน ใช่มั้ยเอ่ย!
ลองคิดนะ แค่เราส่งโฆษณากลับไปหาคนที่เคยเข้าเว็บเราได้ แบบนั้นก็คือ เจ๋งมากแล้ว
เพราะลูกค้าสมัยนี้ เห็นโฆษณาแค่ครั้งเดียว คงไม่ได้ซื้อของทันที
ขนาดตัวเราเอง ยังต้องเห็นโฆษณาไม่รู้กี่ครั้ง กว่าจะซื้อของชิ้นนั้น
หากเรามี Pixel ติดในเว็บของเรา เราสามารถจะทำโฆษณาแบบนี้ได้
ใครเคยลองเข้าไปใช้งาน Agoda.com lazada หรือ shopee บ้าง
ถ้าเราเข้าไปใช้งานในเว็บ หรือ application เหล่านี้
แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ณ ตอนนั้น
แล้วก็ออกมาจากเว็บ หรือ แอพนั้นๆ
แล้วออกมาใช้งาน Facebook
สักพักเราจะเจอโฆษณา ของที่พัก หรือ สินค้า ที่เราเพิ่งเข้าไปดู ในเว็บหรือ application
ทำให้เราระลึกได้ว่า เคยเล็งที่พัก หรือ สินค้านี้เอาไว้ แต่ยังไม่ได้ซื้อ
ซึ่งส่วนใหญ่ พอนึกขึ้นมาได้ ก็จะคลิกเพื่อกลับไปดูอีกรอบ แล้วโอกาสที่จะซื้อ ก็ย่อมมากกว่า
นี่คือความสามารถอย่างหนึ่ง จากหลายๆ อย่างของ pixel ที่จะช่วยทำให้เราขายของได้มากขึ้น
Pixel เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เราขายของได้ เพราะมันเป็นเพียงตัวเก็บข้อมูลพฤติกรรมคนใช้งานเว็บไซต์
แต่มันจะขายของได้ ต่อเมื่อ ได้ใช้งานร่วมกับ Facebook Ads วัตถุประสงค์ Conversion นั่นเอง
ซึ่งผมจะขออธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ ในลำดับต่อไป
วันนี้เข้าใจว่า Pixel คืออะไรก่อนนะครับ 😉
หากใครมีข้อสงสัยอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถ สอบถามกันได้เลยนะครับใน Comment นี้ 😉
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ ไลค์ละ 60 สตางค์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
สำหรับคนทำเพจ
ใครๆ ก็อยากมีคนติตตามเยอะๆ เพราะว่ามันดูดีกว่า
บางคนอยากเห็นผลลัพธ์เร็วๆ ก็ไปเสียเงินจ้างคนปั๊มไลค์
เพราะว่าถูกดี
ผลสุดท้ายเป็นไง โอ้โฮ แม่เจ้ามีแต่ฝรั่งมังค่า อิสราเอล อินเดีย บังคลาเทศ
แถมยังเป็นวัยรุ่น ที่ไม่ได้ มีความสนใจสินค้า บริการเราเลย
ซื้อไปแบบนี้ ก็มีแต่ขาดทุน
เลิกๆๆๆ เลิกความคิดแบบนั้น แล้วขอให้หันมาใช้แนวคิดใหม่
ที่จะทำให้คุณมีเพจคุณภาพ ใช้งานกัน
ด้วยการทำโฆษณากับ facebook นี่แหละ
แต่การที่จะทำให้ได้คนคุณภาพ หลายคนก็บอกว่า
ช่างยากเหลือเกิน หลายบาทแท้เหลา
โอย ไม่ไหวๆๆ
ปัญหาที่คุณประสบพบเจอนี้้จะหมดไป
เพราะผมจะขอแชร์เทคนิค การทำโฆษณาติดตามเพจ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าเดิม
ซึ่งผมเองใช้ได้ผลมาแล้ว กับหลายเพจ ทั้งเพจขายของ เพจไลฟ์สไตล์
ทุกบาทที่จ่ายคือความคุ้มค่า!
อยากได้เทคนิค ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจแบบมีคุณภาพ
คลิกดูคลิปนี้โดยพลัน!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
รับมือยังไง เวลา โดนปิดบัญชีโฆษณาเฟสบุ๊ค (พร้อมวิธีการป้องกัน)
รับมือยังไง เวลาโดน ปิด account โฆษณาเฟสบุ๊ค (พร้อมวิธีการป้องกัน)
หลังจากที่ห่างหายไปจากวงการ Facebook ในช่วงต้อนรับปีใหม่
หลายๆคนน่าจะพบกับเหตุการณ์ประหลาดประหลาดจาก Facebook
นั่นคือแจ้งว่า account ของคุณผิดปกติและขอทำการปิดบัญชีโฆษณา
.
ถ้าใครเจอบ่อยๆก็จะเกิดอาการรู้สึกชินชา และค่อยๆแก้ปัญหาไป
แต่หากใครไม่เคยเจอมาก่อนก็จะรู้สึกตกใจแบบสุดๆ
.
พร้อมกับรำพึงอยู่ในใจว่า “ซวยแล้วกู”
.
อย่าเพิ่งตกใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ปัญหา
เวลาที่มีคำเตือนจาก Facebook ว่า บัญชีโฆษณาของคุณโดนปิด หรือคุณไม่มีสิทธิ์ในการทำโฆษณา
1.ตั้งสติ แล้ว ยื่นเรื่องและทำการอุทธรณ์ไปยังเจ้าหน้าที่
ผมเข้าใจว่าทุกๆครั้งที่เราเจอเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดอาการสติแตกกันทุกคน
แนะนำว่าอย่าตกใจ อยากตีโพยตีพายหรือใส่อารมณ์
เพราะอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นนั้นจะทำให้เราติดต่อเจ้าหน้าที่ Facebook ด้วยถ้อยคำที่ไม่ดี!
ทุกครั้งที่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมา ทาง Facebook จะมีแบบฟอร์มให้เรากรอกลงไป เพื่อแสดงความประสงค์ หรือต้องการอธิบายเหตุผลให้ทาง Facebook ฟังว่าทำไม Facebook ไม่ควรปิดบัญชีโฆษณาของเรา
ถ้าเราไม่เคยทำอะไรผิดมาก่อนเลย ให้อธิบายด้วยเหตุผลที่ดี อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เพราะเป็นไปได้ที่ระบบอาจจะเกิดการจับพฤติกรรมอะไรบางอย่างของเราผิดพลาด
การแสดงออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผล จะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น
2. ติดต่อเจ้าหน้าที่ Facebook ผ่านทางแชท
ถ้าคุณทำโฆษณามานานมากพอ การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Facebook จะทำให้การประสานงานในการแก้ปัญหานั้นเร็วมากยิ่งขึ้น เวลาทำการของเจ้าหน้าที่ Facebook นั้นอยู่ที่ 8:15 น. จนถึงเวลา 19.00 น ของวันจันทร์ถึงวันเสาร์ ถ้าติดต่อช่วงเช้าจะได้เร็วมากกว่าปกติ ถ้าเป็นช่วงกลางวันหรือบ่ายๆอาจจะต้องรอนานนิดนึง
สำหรับกรณีที่เป็นปัญหาเรื่องของการผิดนโยบายนั้น เจ้าหน้าที่ อาจจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับแบบฟอร์มเพื่อให้เรา ยื่นอุทธรณ์ไปยัง Facebook เราอาจไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่าผิดในเรื่องใด ดังนั้นต้องทำใจด้วยนะครับ
3. รอการตอบกลับทาง feedback ของ Facebook
สำหรับกรณีที่โดนปิดบัญชีหรือโดนระงับไม่ให้ทำการโฆษณา การติดต่อจะผ่านช่องทาง Facebook in box support ถ้าเรื่องที่เราทำการอุทธรณ์ผ่านหรือเจ้าหน้าที่เช็คแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เราจะได้สิทธิ์ในการทำโฆษณาคืนกลับมา
แต่ถ้าเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วว่าเราตั้งใจทำผิดพลาดซ้ำๆบ่อยๆ โอกาสที่จะได้คืนนั้นถือว่าน้อยมาก ให้ทำใจไปเลย
ที่กล่าวไปข้างต้นคือวิธีการแก้ปัญหา
ผมเลยขอแนะนำวิธีการป้องกันเอาไว้ก่อนนัดต่อไปนี้ครับ
1.อย่าทำผิดกฎหรือพยายามแหกกฎของ Facebook
การอยู่ในสังคมหรืออยู่ในบ้านของใคร จะเคารพกฎกติกาของบ้านหลังนั้นเอาไว้ด้วยอันนี้เป็นพื้นฐานที่ต้องทำความเข้าใจอย่างมาก
2.พยายามดูเรื่องการชำระเงินบัตรเครดิตอย่าให้ขาด
หลายครั้งที่บัญชีโฆษณามักจะถูกปิดเพราะไม่มีเงินพอจ่ายอยู่ในบัญชี Facebook จะมองว่าเราเป็นคนไม่มีเครดิต และอาจจะเพิกถอนบัญชีโฆษณาของเราได้ง่ายๆ
3.พยายามสร้าง Accout facebook สำรองเอาไว้หลายตัว
ในยุคที่การทำโฆษณา Facebook จำเป็นต้องใช้ Business Facebook ให้ระลึกไว้ว่า Facebook 1 account จะสามารถสร้าง Business Facebook ได้เพียงแค่ 2 Business เท่านั้น
ดังนั้นพยายามกระจายความเสี่ยงด้วยการสร้าง account Facebook สำรองเอาไว้ด้วย
4.ถ้าทำ Business Facebook ให้เพิ่มคนที่ไว้ใจได้ลงไปใน Business นั้นสำรองเอาไว้
เพราะหากเกิดปัญหามาจะได้มีคนบริหารจัดการแทนก็ได้
สรุป
ทั้งหมดนี้ก็คือวิธีแก้ไข เวลาโดนเฟสบุ๊ค ปิด account โฆษณา ครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เช็คลิสต์ ก่อนทำ Facebook Conversion ads ปี 2020 (สำหรับมือใหม่)
เช็คลิสต์ ก่อนทำ Facebook Conversion ads ปี 2020 (สำหรับมือใหม่)
ทุกๆปี การทำโฆษณาเฟสบุ๊ค จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ
ค่าโฆษณาก็จะแพงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
วิธีการเดิมๆ ที่เราใช้อยู่ ก็ยังใช้ได้ แต่คนก็รู้จักวิธีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
เมื่อวิธีไหน ที่คนใช้งานกันเยอะๆ
การ bid ราคาก็จะสูงตามไปด้วย
.
ยังมีโฆษณาอีกรูปแบบหนึ่งของเฟสบุ๊ค ที่จริงๆ เราเห็นกันมานานแล้ว
แต่ไม่ค่อยได้ไปกดใช้งานกันสักที
.
เขาเรียกกันว่า Facebook conversion ads
เป็นวัตถุประสงค์ ที่ใช้เพื่อวัดผลกันตรงๆ
จ่ายเงินไปแล้ว ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไร ค่าใช้จ่ายต่อผลลัพธ์ เป็นอย่างไร
ไม่ต้องไปนั่งรายงาน cost/result ต่ออีกรอบ
เพราะว่า ทำเสร็จแล้ว ระบบ จะแสดงรายงานให้เห็นเลยว่า
– โฆษณาของคุณใช้เงินเท่าไร แล้วได้ผลลัพธ์ ออกมาเท่าไร
.
แต่ที่สำคัญ Facebook conversion ads
จะไปคัดเลือกหากลุ่มเป้าหมาย ที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับสิ่งที่้เราวางเอาไว้
– ถ้าตั้งโจทย์ว่า อยากได้คนกดปุ่มซื้อของ เฟสบุ๊คก็จะส่งไปหาคนกดปุ่มสั่งซื้อของให้กับเรา
– ส่งไปหาคนที่ชอบลงทะเบียน เฟสบุ๊คก็จะส่งไปหาคนที่มีโอกาสลงทะเบียนกับเรา
.
ดีใช่มั้ยเอ่ย
.
ก่อนจะไปเริ่มทำ Facebook Conversion ads
ก็ต้องเตรียมเครื่องมือต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือ
จะทำโฆษณาแบบนี้ได้ เราต้องใช้งานควบคู่กับเว็บไซต์ หรือ sale page
.
และทั้งหมดนี้คือเช็คลิสต์ที่ผมขอแชร์ประสบการณ์ การทำ Facebook Conversion ads มาให้กับทุกท่าน ที่ยังไม่เคยทำมาก่อนเลยครับ
1. มีเว็บไซต์ หรือ sale page หรือยัง
การทำ Facebook conversion สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำงานร่วมกับเว็บไซต์ หรือ sale page ถ้าวันนี้คุณยังไม่มี แนะนำให้ไปสร้างก่อน จะเริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่าง sale Page หน้าเดียวก็ยังได้ (ถ้าให้ดีแนะนำไปใช้บริการ Sale page เพราะไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนโปรแกรม ก็สามารถทำออกมาได้สวยๆเลย)
2. มี Facebook business หรือยัง
สิ่งสำคัญอีกอย่างนั่นคือ บัญชีธุรกิจบนเฟสบุ๊ค หรือ Facebook Business
ถ้ายังไม่มีรีบไปสมัครก่อนเลยครับ เพราะ 1 คนสร้างได้ 2 Facebook Business
(เคยเขียนเรื่อง facebook business เอาไว้ก่อนหน้านี้นะครับ ไปอ่านได้ใน https://www.digitalnook.co/419/)
3. มี ads account ใน Facebook Business
สำหรับมือใหม่ ที่เคยยิงแอดมาก่อน อาจจะบอกว่า ฉันก็มีบัญชีโฆษณาส่วนตัวอยู่แล้ว
ทำไมต้องทำใหม่ อันนั้นไม่ผิดครับ
แต่ว่าคุณจะเสียโอกาส เพราะบัญชีโฆษณาส่วนตัว จะเชื่อมต่อและทำงานกับ account ของเราคนเดียวเท่านั้น หากจะทำเป็นรูปแบบธุรกิจเต็มที่ แนะนำให้ใช้บัญชีโฆษณาจาก Facebook Business เพราะสามารถสร้างได้มากถึง 5 บัญชีโฆษณาด้วยกัน โดยแต่ละบัญชีก็จะสามารถสร้าง Facebook Pixel ได้อย่างละ 1 ตัว
4. มี Facebook pixel
Facebook Pixel คือชุด Code คำสั่งในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมที่ผู้ใช้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของเรา เข้าหน้าไหน URL อะไรบ้าง ก็จะรู้หมดเลย รวมทั้งพฤติกรรม ระยะเวลาที่อ่านเนื้อหาของเรา การกดปุ่มต่างๆภายในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จำเป็นมากๆในการทำ Facebook conversion ads
5. มี google tag manager
คนที่เคยทำเว็บมาก่อน น่าจะเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับการใส่โค้ดวัดสถิติต่างๆ จะใส่ครั้งหนึ่งก็ต้องให้ Programmer ช่วยใส่ลงไปในโค้ด / ถ้าใส่โค้ดชุดเดียว ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องมีการใส่โค้ดหลายๆตัว ก็ดูเป็นเรื่องยุ่งยาก
ระบบ Google Tag Manager คือนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการใส่โค้ดวัดสถิติ หลายๆ ตัว / กล่าวคือ เราติดตั้ง Code Google Tag Manager ที่เว็บไซต์เพียงแค่ตัวเดียว แต่โค้ดวัดสถิติต่างๆ อย่าง Google analytics หรือ Facebook Pixel เราจะนำมาเชื่อมกับ Google Tag Manager เพียงตัวเดียวเท่านั้น
(อันนี้ เป็นทางเลือกนะครับ ถ้าจะติดตั้งผ่าน sale page บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้อง google tagmanager ก็สามารถทำงานได้แล้ว)
6. รู้จักการใช้ Facebook pixel helper
ถ้าเราจะดูเข้าเว็บไซต์ไหนมีการติดตั้ง Facebook Pixel ถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ก็จะทำการ View source Code แต่ถ้าเราลงตัว Facebook Pixel helper เพียงแค่เปิดหน้าเว็บก็จะรู้ได้เลยว่า URL ไหนมีการติดตั้ง Pixel เอาไว้ ง่ายสุดๆ
7. รู้จักการใช้ line notify
สำหรับใครที่ทำโฆษณาแบบ conversion เพื่อให้คนมาซื้อสินค้าหรือกรอกฟอร์ม ก็อยากจะรู้ว่ามีออเดอร์เข้าตอนไหนจะได้เข้าไปตรวจสอบ เพื่อสรุปยอดส่งของให้กับลูกค้าโดยเร็ว ถ้าจะให้ไป Refresh ระบบพี่ดู order ตลอดเวลาก็คงจะเหนื่อย การใช้ระบบแจ้งเตือนผ่านทาง LINE ดูเป็นวิธีที่ฉลาดดี แล้วทำได้ไม่ยาก ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินด้วย
(อันนี้ ก็ถือเป็นทางเลือกนะครับ ถ้าวัตถุประสงค์ของคุณ ไม่ต้องการรู้ทุก transaction แบบรวดเร็วมากๆ อาทิ เป็นการเก็บสะสม คนกรอกฟอร์มรับข่าวสาร แบบนี้ line notify ก็ไม่จำเป็นเลย)
8. Dynamic creative ads
ปกติแล้วการทำโฆษณาบน Facebook เราจะไม่มานั่งเดาว่าภาพไหน หรือ แคปชั่นอะไรที่ถูกใจลูกค้ามากที่สุด ด้วยตัวเราเอง แต่จะใช้การทดสอบบน Facebook เพื่อให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเองเลย เรียกกันว่า A/B testing หากตัวไหนดีเราจะเลือกตัวนั้นเอามาทำโฆษณาต่อ
ถ้าเราต้องการทดสอบ รูป 3 แบบ /แคปชั่น 3 แบบ / Title 3 แบบ / คำบรรยาย 3 แบบ / เราจะต้องสร้างโพสต์โฆษณาขึ้นมาอยู่ 81 ตัว เพื่อทดสอบว่าตัวไหนดีที่สุดด้วยตัวเราเองทั้งหมด
ตัวไหนดีเราก็เปิดต่อตัวไหนไม่ดีแล้วก็ปิดไป!
ดูแล้วก็ดูน่าจะเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
Dynamic creative ads คือฟีเจอร์ของระบบ Facebook ads ที่มาต่อยอดระบบ AB testing
เราทำหน้าที่ในการโยน รูป 3 แบบ /แคปชั่น 3 แบบ / Title 3 แบบ / คำบรรยาย 3 แบบ ลงไปในระบบอย่างเดียว ที่เหลือ Facebook จะดำเนินการผสมผสานจนกลายออกมาเป็นโฆษณาให้เราเอง
ไม่ต้องมานั่งทำเองให้เหนื่อย! ดีไหมครับ
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็คือ checklist สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนทำ Facebook conversion ADS ในปี 2020 ( สำหรับมือใหม่)
หากใครมีคำถามอยากจะสอบถามเพิ่มเติม ก็สามารถ comment ได้ในโพสต์นี้นะครับ
ผมจะพยายามมาตอบคำถามให้
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
มีคนเคยถามว่า อยากสร้างยอดขายด้วยช่องทางออนไลน์
ต้องทำยังไงดี ต้องใช้เครื่องมืออะไร
ที่จะทำให้เกิดยอดขายและรายได้ตามมา
ก่อนที่จะไปรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ
ผมอยากจะแชร์แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างยอดขายโดยช่องทางออนไลน์
ให้เข้าใจแบบง่ายๆ
ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาให้อ่านกันนะ
“อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ต้องรู้จัก 2 สิ่งนี้ก่อน”
ค่อยๆที่กระโดดเข้ามาบนช่องทางออนไลน์
น่าจะเกิดจากความคิดที่ว่า ตอนนี้ขายของบนโลกออนไลน์เริ่มแผ่วแล้ว
มาทางออนไลน์น่าจะง่ายกว่า
เพราะว่าใครๆก็มาขายกัน
อันนี้ เป็นความคิดที่ถูกต้องครับ
แต่จะถูกเมื่อประมาณสัก 7 8 ปีก่อน
เพราะว่าสมัยนั้นคนยังลงมาแข่งขันในตลาดนี้ไม่เยอะเท่าไหร่
ดูแล้วเป็นสิ่งที่ใหม่ ตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
ตัดรอบต่อไปนี้ หันมองไปทางไหน ทุกคนก็ขายของออนไลน์
ทุกคนก็ลงมาแข่งในสนามเดียวกันหมดเลย
การลงออนไลน์เป็นเรื่องดี แต่คู่แข่งก็มากขึ้นตามลำดับ
การสร้างยอดขาย ก็ต้องใช้ความพยายามสูงขึ้นเงาตามตัว
แต่ก่อนที่จะไปหาเครื่องมืออะไรมาช่วยผ่อนแรง
ต้องเข้าใจก่อนว่า ยอดขายบนโลกออนไลน์นั้นมาจากอะไร
ยอดขาย เท่ากับ Traffic คูณกับ Conversation
อธิบายให้ฟังง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องของคำว่า Traffic และ conversion
ถ้าสมัยก่อนเราจะทำธุรกิจสัก
เราก็ต้องเลือกทำเล หาพื้นที่ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะๆ
ที่ไหนรถไม่ผ่าน คนไม่เดิน แบบนี้เราก็คงไม่เลือก
เราจะเลือกสถานที่ที่คนเดินเยอะๆ และที่สำคัญจะต้องเป็นกลุ่มลูกค้า ที่จะใช้สินค้าหรือบริการของเราด้วย
วิธีการคิดแบบนี้ก็คือ การหา Traffic นั่นเอง
แต่หากเรามีเฉพาะแค่ Traffic คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ
แต่ไม่มีการเชื้อเชิญลูกค้าเข้า หรือว่าลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยลูกค้าดูของไป
หรือพอเข้ามาถามก็ตอบแบบขอไปที
หรือไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลอะไรจนลูกค้าพอใจ เชื่อใจ
หรือให้ข้อมูลมากเกินไปและไม่ได้ไปถึง ช่วงสำคัญ นั่นคือปิดการขาย
แบบนี้ยอดขายก็ไม่เกิดแน่นอน
กระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคนเข้ามาในร้านของเราแล้ว
เปลี่ยนจากคนเยี่ยมชม ให้กลายเป็นคนซื้อของ หรือลูกค้าของเรา
สิ่งนั้นคือความหมายของคำว่า Conversion
คราวนี้ลองมามองในมุมของโลกออนไลน์กัน
บอลโลกออนไลน์นั้นทุกคนไม่จำเป็นจะต้องไปหาทำเล
เพราะเราสามารถที่จะเสิร์ฟสินค้าหรือบริการของเรา ไปถึงหน้าจอของลูกค้าทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม
ในเมื่อทำเลกว้างขวางขนาดนี้
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือการหากลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
วิธีการคิดหากลุ่มเป้าหมายก็คือ
สินค้าของเราแก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง ให้นึกภาพออกมาเป็นเหมือนกับคนคนนึง ที่เขาเห็นสินค้าหรือบริการของเราแล้วอยากจะซื้อใช้ทันที
อายุ เพศ การศึกษา ความชอบ พฤติกรรมต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะใช้ในการหากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Facebook
หากกลุ่มคนเหล่านี้สนใจ
แล้วทักมาหาเราไม่ว่าจะเป็นการ inbox หรือ Line มาถาม
สิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนคนทักให้กลายเป็นลูกค้า
นั่นคือ ทักษะในการตอบคำถาม ให้ข้อมูล สร้างบรรยากาศ ให้เกิดความอยากได้
แล้วสรุปเพื่อปิดการขายให้ได้
บางคนทำโฆษณาได้ดีมีคนทักมาแล้ว
แต่บรรยากาศในการซื้อการขาย แสนจะวังเวง ถามคำตอบคำ
หรือมุ่งมั่นเอาแต่จะขายของอย่างเดียวโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
หรือเห็นบทสนทนาแล้วอยากจะกดปิดหน้าจอ แล้วไปหาร้านอื่นแทน
แบบนี้ยอดขายก็ไม่บังเกิดอย่างแน่นอน
สรุปนะครับ
ถ้าต้องการที่จะมียอดขายที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเรียนรู้เทคนิคให้คนเข้ามาในร้านของเราเยอะๆ
นั่นคือเทคนิคในการเปลี่ยน คนทัก ให้กลาย ลูกค้าของเรา
สำคัญจริงๆนะครับ
ฝากเอาไปด้วย
ลองไปปรับปรุงกันนะครับว่าตอนนี้เราพลาดที่จุดไหน
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook (สำหรับมือใหม่)
มีหลายๆคนเคย inbox มาถามผม เกี่ยวกับเรื่องของการทำ Business Facebook
ว่ามีความจำเป็นหรือสำคัญอย่างไร
แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เรื่องของ Business Facebook ก็มีความซับซ้อนพอสมควร
เลยเป็นที่มาของบทความนี้
ที่อยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกรอบนึงนะครับ
ขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน Business Facebook เป็นภาษาง่ายๆ นะครับ
ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook
1. Business Facebook ต้องใช้อีเมลในการติดต่อ
สมัยก่อนถ้าเราใช้ Facebook Page ปกติ ปกติ เราสามารถที่จะเชิญคนมาเป็นแอดมินร่วมได้ โดยแอดชื่อ Facebook Profile เข้าไป แต่หากเป็นการใช้ Business Facebook เราจะใช้อีเมลในการเชิญเข้ามาใน Business
ใน Business Facebook นั้น เราสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงเพจและ ad account ที่ใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันได้
ซึ่งจะต่างจาก Facebook Page ที่กำหนดสิทธ์ในเพจ แต่บัญชีโฆษณาต้องใช้ของใครของมัน
2. Facebook Profile สร้างได้ 2 Business Facebook
Facebook Profile สามารถที่จะสร้าง Business ของตัวเองได้ 2 Business แต่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ร่วมกับ Business อื่นๆได้ไม่จำกัด
3. เราสามารถแชร์ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อให้คนอื่นมา Boost post ในเพจได้
สมัยก่อนที่ไม่มี Business Facebook เราจะใช้จะใช้บัญชีโฆษณาของเรา ที่เชื่อมกับบัตรเครดิตของตัวเราเอง ทำโฆษณาเป็นหลัก ถ้าเป็นเพจของตัวเราเอง เราบริหารด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่หากเป็นการทำงานในรูปแบบบริษัท ความยุ่งยากเกิดขึ้นมาทันที
เวลาคนทำหน้าที่บูทโพส ไม่มาทำงาน หรือลาไปต่างประเทศ แล้วมีงานด่วนที่จะต้องบูตโพสต์ทันที ความยุ่งยากจะเกิดขึ้น เพราะข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลส่วนตัวล้วนๆ
บางบริษัทอาจจะแก้ปัญหาด้วยการทำ Facebook Profile กลาง ที่ทุกคนรู้ Password แต่ก็ยังถือว่ามีความยุ่งยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่คนเราจะจำได้แต่ Password ของตัวเอง
ระบบ Business Facebook จึงมีขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้
ทุกคนสามารถใช้ Facebook Profile ของตัวเองในการบูทโพสโฆษณาได้ และไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของตัวเอง เพราะสามารถใช้บัตรเครดิตบริษัทวางเอาไว้ ให้ทุกคนที่มีสิทธิ์ในการทำโฆษณาสามารถใช้งานได้
4. 1 Business Facebook สามารถสร้างได้หลาย บัญชีโฆษณา (Ads Account)
สมัยก่อน 1 Profile มีได้ 1 บัญชีโฆษณา แต่สำหรับ Business Facebook สามารถสร้างบัญชีโฆษณาได้มากกว่า 1 บัญชีโฆษณา ส่วนใหญ่จะทำกันได้ที่ 5 บัญชีโฆษณา
ความมากน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราโฆษณาลงไปใน Facebook ช่วงแรกๆอาจจะทำได้มากสุด 2 บัญชีโฆษณา และใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 300 บาท
แต่ถ้าลงโฆษณาอยู่บ่อยๆอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเพิ่มจำนวนเงินมากขึ้นได้เรื่อยๆตามลำดับ
ที่สำคัญบัญชีโฆษณาแต่ละตัวนั้น เปรียบเสมือนกับเซลล์ ที่วิ่งออกหาลูกค้าด้วยความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากต้องการทดสอบโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกัน ลองพยายามใช้ให้เข้าที่แตกต่างกันไป จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
5. การเชิญคนเข้ามาเป็นแอดมิน ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจได้ เท่านั้น
เคยมีหลายๆคนที่สร้าง Business แล้วโดนยึดเพจได้อย่างง่ายดาย เพราะปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักเข้ามาอยู่ใน Business ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เพราะคนที่มีสิทธิ์เป็นแอดมิน สามารถทำได้ทุกอย่าง
นั้นหากเราจะเชิญใครเข้ามาเป็น Admin ด้วย จะต้องเป็นคนที่เราไว้ใจมากๆเท่านั้น
6. เจ้าของธุรกิจ ควรสร้าง Business Facebook ไว้ใช้สำหรับตัวเอง
การสร้าง Business Facebook นั้น ให้มองว่าเป็นทรัพย์สินหรือสมบัติอย่างหนึ่งของเรา เพราะมันสามารถจัดเก็บข้อมูลต่างๆเพื่อใช้งานในประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ทำการโฆษณา หรือพวก Facebook Pixel ที่จะมีประโยชน์ในการทำโฆษณาแบบ conversion ก็ล้วนแต่เก็บเอาไว้ใน Business Facebook ทั้งนั้น
ดังนั้นหากจะจ้างใครทำโฆษณา ควรให้เขาทำโฆษณาใน Facebook ของคุณ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองในอนาคต
7. ควรมีแอดมินที่ไว้ใจได้ร่วมด้วยอยู่ในนั้นอย่างน้อย 1 คน
สมัยก่อนตอนที่เรามี Facebook Page ถ้าเรามีแอดมิน เป็นเพียงตัวเราอยู่คนเดียวอยู่ในนั้น เวลาเกิดปัญหาที่เราเข้าใช้งาน Facebook ตัวเองไม่ เพจนั้นก็มีโอกาสที่จะตายเอาง่ายๆ เพราะไม่มีคนสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้อีกต่อไป เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมีแอดมินร่วมหลายๆคนอยู่ในนั้น เพราะหากใครมีปัญหา คนอื่นๆก็สามารถที่จะบริหารงานต่อได้
เช่นเดียวกับ Business Facebook ถ้ามีเราบริหารเองเพียงลำพัง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะดึงเอา Business นั้นกลับมาใช้งานได้อีกต่อไป หรือถ้าจะกู้คืนมาก็ต้องใช้เวลานานและยุ่งยาก
8. 1 Page Facebook สามารถเชื่อมได้กับ 1 Business Facebook เท่านั้น
Facebook Page ที่เราใช้งานกันอยู่นั้น จะเข้ามาทำงานอยู่ภายใต้ Business Facebook ได้เพียง 1 Business เท่านั้น และมองเป็นทรัพย์สินของ Business นั้นๆไปเลย
หากจะมีการโยกย้าย หรือปรับเปลี่ยนไปบริหารใน Business อื่นๆ จะต้องได้รับการยินยอมจาก Admin ที่อยู่ใน Business นั้นๆก่อนเสมอ
9. สามารถนำ Instagram account เข้าไปใส่ใน Business Facebook ได้แต่ต้องเชื่อมกับเพจ
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจ นั่นคือ สามารถนำเอา Instagram account เข้าไปอยู่ใน Business Facebook ได้ โดยต้องเลือกเชื่อมกับเพจใด เพจหนึ่ง
ข้อดีของการนำ Instagram account มาเชื่อมต่อกับ fanpage คือ
– ข้อความแบบ Direct Message ใน instagram จะสามารถเห็นได้ในช่อง inbox Facebook
– สามารถตั้งเวลาการโพสต์ Instagram ได้ ผ่าน facebook creator ( ทำผ่าน Desktop เท่านั้น)
– สามารถทำ Instagram Shopping ได้ในอนาคต (สำหรับประเทศไทย ตอนนี้ยังทำได้เพียงบางแบรนด์ เพื่อเป็นการทดลองตลาด)
สรุป
และทั้งหมดนี้
ถือว่าเป็นการแชร์ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Business Facebook
จากประสบการณ์ที่เคยทำมานะครับ
สำหรับท่านที่เป็น มือใหม่ ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อยนะครับ
หากใครมีคำถามอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่องของ Business Facebook
สามารถพิมพ์มาในช่อง Comment ของพวกนี้
ถ้าตอบได้เลยจะตอบให้ทันที
แต่ถ้ายังตอบไม่ได้จะไปค้นคว้า หาคำตอบมาให้นะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เคล็ดลับ เอาปุ่มข้อความออกจากโพสต์เฟสบุ๊ค ทำได้แบบนี้นี่เอง
เคยสังเกตมั้ยครับ
ว่าเวลาเราโพสต์เฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดิโอ หรือ Photo album
แล้ว เฟสบุ๊คจะมีการติด ปุ่มข้อความไว้ให้ทักแชท
เพราะอะไร
เพราะเขาต้องการให้เราสื่อสาร สอบถามเจ้าของเพจได้
เป็นบริบทของการสอบถาม ทักถามให้พูดคุย ซื้อขายกัน
ที่บอกแบบนี้ เพราะว่าวันนั้น ผมใส่ตัวเลข ไปในโพสต์ คำว่า 50 บาท 100 บาท
เฟสบุ๊คจะมองว่า คำนี้คือ ราคาสินค้า เป็นการขายของ
เป็นการโฆษณา
เมื่อมองเป็นโฆษณา การปรับ reach ก็จะลดลงไป
แต่หากโพสต์ของเราเป็นโพสต์ที่ต้องการให้คุณค่ากับลูกค้า
แล้วดันลืมใส่ ปุ่มข้อความเข้าไปด้วย
จะไปแก้ไขจะไป edit โดยตรง ทำไม่ได้เลย!!
แล้วทำไงดี
คลิปนี้ จะเฉลยเคล็ดลับที่ทำให้คุณเอาปุ่มข้อความ ออกจากโพสต์ได้ง่ายๆ เลยครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt