ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
เคยคิดกันไหมครับว่าทำไมเวลาที่คนขายของเหมือนกันแต่ทำไมร้านขายดีกว่าแล้วร้านนั้นขายไม่ดีเลย
เราไม่ได้พูดถึงสินค้าแบบเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ รสชาติปริมาณ
แต่เรากำลังจะพูดถึงสินค้าแบบเดียวกันเป๊ะ
ออกมาจากบริษัทออกมาจากโรงงานเดียวกันเลย
แต่ทำไมบางคนขายดีบางคนขายไม่ดี
วันนี้ผมขอแชร์ประสบการณ์ในมุมมองของคนที่เข้าไปเลือกซื้อสินค้าแล้วกันนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผมจำเป็นต้องซื้อของใช้เข้าบ้าน แต่ว่าไม่อยากจะเดินทางออกไปซื้อด้วยตัวเอง
ของที่ผมว่าก็เป็นของง่ายๆนะครับ เช่นข้าวสาร แต่ซื้อหลายถุง
นมหลายแพ็ค ขนมหลายห่อ น้ำตาลหลายกิโล
ถ้าผมจะออกไปซื้อก็ไปได้นะ แต่เสียเวลาในการเดินทางและหาที่จอดรถ
ก็เลยวิ่งเข้าไปในเว็บไซต์ที่เขาขายของแบบนี้
นั่นก็คือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของห้างดังๆ
จริงๆผมก็เลยเอาไว้อยู่ 2-3 เจ้า
ผมลองเลือกใช้บริการเจ้าแรกก่อน
เจ้านี้ทำโปรโมชั่นดีดูมีของลดราคาผมก็เลยลองคลิกเข้าไปดู
พอตอนที่จะเลือกสั่งซื้อสินค้าแต่ละตัว เวลาที่จะเพิ่มจำนวนทำไมมันช้าจัง
เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่เคยได้จากเว็บ Shopping อื่นๆ เราใช้เวลาน้อยกว่าแต่ไปไหนต่อไหนแล้ว
เวลากดไปสักกลมนึงแล้วก็รู้สึกดีเลย์แบบสุดๆ
ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันไปถึงสถานะไหนแล้ว!
พอมาถึงหน้ารวมราคา ระบบก็ให้ใส่ที่อยู่
(จริงๆผมเคยสั่งของจากที่นี่ไปแล้วครั้งนึงนะครับ เลยมีที่อยู่จำเอาไว้ในระบบ)
แต่ก็แปลกใจว่าทำไมต้องให้ใส่ที่อยู่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ถึงเวลาคำนวณสินค้าทั้งหมดแล้ว
ไปถึงหน้าการชำระเงิน มีให้เลือกว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง หรือ จ่ายชำระบัตรเครดิตได้เลย
ปรากฏว่าผมมีปัญหาเรื่องการจ่ายด้วยบัตรเครดิต (อันนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นจากตัว User อย่างผมเอง) ก็เลยทำให้เกิดการค้างชำระขึ้นมา
เลยโทรไปสอบถามที่ Call Center ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วอยากจะจ่ายเงินที่หน้าบ้านทำอย่างไร
เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสามารถที่จะเลือกเป็นแบบจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง แต่บอกกับคนส่งได้เลยว่าเขาจ่ายเงินสด
ผมก็เลยถามว่าผมไม่เห็นมีให้เลือกว่าให้จ่ายเงินสดได้เลย
เจ้าหน้าที่บอกว่ายอดผมเกิน 2,000 บาท ระบบก็เลยไม่มีทางเลือกเป็นเงินสดให้
แต่สามารถจะบอกกับเจ้าหน้าที่ได้ว่าชำระด้วยเงินสด
ผมเลยพยายามทำความเข้าใจระบบ
แล้วลองไปสั่งอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ปรากฏว่า ไม่สามารถซื้อสินค้าบางตัวได้ตามความต้องการ
ก็เลยถามคอลเซ็นเตอร์ไปอีกทีว่า ทำไมไม่มีของขายทั้งๆที่เมื่อกี้ก็มีอยู่
ตอนที่บอกว่า เป็นเรื่องของระบบ Stock Online
ผมก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นความผิดพลาดของ User แบบผมเอง
ที่มีปัญหาในเรื่องของการชำระเงิน จึงผ่านมาทำให้ซื้อของได้ไม่ครบ
ผมก็เลยหยุดทุกกิจกรรม แล้วเปลี่ยนไปเข้าอีกเว็บนึง
เป็น web Shopping Mall เหมือนกันขายของแบบเดียวกัน
แต่ประสบการณ์ที่ได้รับแตกต่างกันมาก
เวลาที่จะคลิกอะไรไปสักอย่างนึงก็เร็วมากๆ
เวลา Search หาของต่างๆนานาก็แสดงผลได้รวดเร็วทันใจ
เวลาที่จะเลือกของใส่ไว้ในตะกร้าก็ถือว่าเร็วมากๆ
เรียกว่าประสบการณ์ใกล้เคียงกับเว็บช็อปปิ้งเจ้าใหญ่ (สีส้ม)เลยทีเดียว
เวลาที่ผมใช้ในการสั่งซื้อจนครบกระบวนการในเว็บไซต์นี้
ใช้ระยะเวลาเท่ากับตอนที่ผมเลือกของใส่ตะกร้าในเว็บก่อนหน้า
เรื่องนี้บอกอะไรครับ?
ผมเลือกซื้อสินค้าแบบเดียวกัน
จากโรงงานเดียวกันเป๊ะเลย
แต่ทำไมผมถึงเลือกสั่งของจากเว็บไซต์อีกตัว
ทั้งๆที่ผมเสียเวลาไปกับเว็บไซต์แรกไปตั้งนานแล้ว
ผมขอสรุปเรื่องนี้ได้สั้นๆ สองอย่างนะครับ
1. ประสบการณ์ที่ดีในการซื้อ
เว็บไซต์แรกทำให้ผมเสียเวลามากๆในการกรอกข้อมูลต่างๆ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการเลือกซื้อของ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการชำระเงิน
ทำให้ผมเสียเวลาในการสั่งสินค้าใหม่แต่ไม่ได้ตามที่ต้องการ
2. การสื่อสารที่ชัดเจนกับลูกค้า
ตอนที่ผมจะจ่ายเงิน จริงๆ เว็บไซต์แรก ก็สามารถที่จะเก็บเงินสดปลายทางได้ แต่ตอนที่จะชำระเงินดันไม่ขึ้นว่าชำระเงินสดได้ เมื่อเทียบกับ เว็บไซต์ตัวที่ 2 เขียนไว้ชัดเจนว่าชำระเงินสดหรือบัตรเครดิตได้
คำพูดบางคำที่หายไป ทำให้เสียโอกาสในการขายไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งเป็นยุคนี้ที่คนเรามีทางเลือกมากมาย
ถ้าไม่แฮปปี้กับเจ้าไหน ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นได้ง่ายๆ
เพราะไม่ต้องออกเดินทาง
แค่เปลี่ยน URL หรือเปลี่ยน application ก็จบแล้ว
เมื่ออ่านเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว
ให้ลองพิจารณาดูกับธุรกิจของคุณนะครับ
เราขายของเหมือนกับคนอื่นๆ เป๊ะๆ
แต่สิ่งที่เราจะสร้างให้เกิดความแตกต่างกับคนอื่น
นั่นคือประสบการณ์
ประสบการณ์ที่ดีจะทำให้คนจำเราได้ในมุมที่ดี และอยากจะมาซื้อซ้ำ หรือหากชอบมากๆก็จะแนะนำให้คนอื่นมาซื้อกับเราด้วย
แต่หากพบประสบการณ์ที่ไม่ดี
เราก็คงจะเลิกซื้อ แถมยังจะไม่แนะนำให้คนอื่นไปใช้บริการด้วยเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นพบกับประสบการณ์ไม่ดีเหมือนกับเรา
ลองคิดและนำไปปรับปรุงธุรกิจของคุณเองนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ความรู้สึกเคว้งคว้าง เมื่อผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
#เรื่องเล่าวัยเยาว์
ความรู้สึกเคว้งคว้าง
เมื่อผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า
ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
หลายๆคนที่ติดตามเพจผมมาตั้งแต่เมื่อต้นปีก่อน
น่าจะได้รับฟังความรู้และบทความต่างๆเกี่ยวกับ Online Marketing กันพอสมควร
.
มีหลากหลายคำถามที่มากกว่าการใช้งาน Facebook
.
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมากับการทำงานในแวดวง ทำเว็บ ทำ Content
การทำงานเกี่ยวกับ Online Marketing
ทำให้ผมสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้.
ถ้าเป็นเรื่องไหนที่ผมเคยผ่านมาหรือมีประสบการณ์ผมก็จะตอบได้ทันที
.
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะสามารถออกมาแบ่งปันเทคนิคต่างๆให้กับทุกคนได้แบบทุกวันนี้
.
เชื่อหรือไม่ว่าผม
เคยส่งกระดาษคำตอบตอบๆ ในวันแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ในโรงเรียนประจำอำเภอ
โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ห่างไกลจากตัวเมืองไป 100 กว่ากิโลเมตร
แต่ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ของผมนั้นเต็มเปี่ยม
.
แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากจะเรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์
นั่นคือ วีดีโอเกมแฟมิคอม
ผมอยากรู้ว่าการที่ตัวละครออกมาโลดเล่น แล้วทำให้เรามีความสุขกับการเล่นเกมนั้น
เขาทำกันอย่างไร อยากรู้มากๆเลย
.
สมัยก่อนแค่การจะวาดรูปอะไรขึ้นมาสักอย่าง
ต้องใช้อักขระพิเศษมากมายยาวเป็นหน้ากระดาษ
ต่างจากสมัยนี้ที่มีเครื่องมืออำนวยความความสะดวก สามารถเนรมิตภาพออกมาได้อย่างรวดเร็วทันใจ
.
ผมพยายามศึกษาวิธีการเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกด้วยตัวเอง
ผ่านคอลัมน์ ในนิตยสารรู้รอบตัว ผมรู้สึกว่าเขาเขียนออกมาแล้วชวนให้อยากลงมือทำตาม
ได้รับแรงบันดาลใจผ่านหนังสือคอมพิวเตอร์ทูเดย์ ที่แนะนำโปรแกรมเกมต่างๆ ที่อยากซื้อมาเล่นสุดๆ
.
ไม่ได้ออกไปหาหนังสือคู่มือเกี่ยวกับภาษา Basic มาเลย
เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปซื้อที่ไหน (สมัยนั้นเด็กมาก)
.
จนมาถึงวันหนึ่ง โรงเรียนมีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อที่จะเข้าไปสอบแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์ ระดับจังหวัด แน่นอนว่ามีโรงเรียนที่เข้าร่วมมากมายเลยทีเดียว
.
ผมเลยขออาสาสมัครที่จะเข้าไปแข่งทักษะคอมพิวเตอร์ เพราะดูแล้วเขาพูดถึงภาษา Basic ที่ผมเคยอ่านมา (แต่ยังไม่ได้ทำเป็นชิ้นเป็นอัน ทำได้เพียงการแต่งเพลงด้วยภาษา Basic)
.
มีระยะเวลาเตรียมตัวประมาณ 2 สัปดาห์
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเตรียมตัวอย่างไร รู้แต่ว่ามีคุณครูสอนวิทยาศาสตร์ ที่แกเป็นคนหลงใหลและชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกัน บอกว่า
.
“เมื่อดูทักษะของเธอในวันนี้แล้ว ครูคิดว่าเธอยังไม่น่าที่จะไปแข่งขัน”
.
แต่ความรั้นในวัยเด็ก ทำให้ผมมองผ่านถึงคำเตือนของครูท่านนั้น
แล้วผมก็เดินทางไปแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
ภายในห้องแข่งขัน มีนักเรียนจับคู่กันเป็นกลุ่ม โรงเรียนละ 2 คน
ผมจับคู่กับเพื่อนอีกคนนึง ผมดูสีหน้าและแววตาของนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆมีความมุ่งมั่นและตั้งใจมาก
.
บททดสอบแรก เป็นข้อเขียนที่เกี่ยวกับทักษะคอมพิวเตอร์ตามปกติ
ในบทนี้ไม่มีปัญหาเพราะผมสามารถที่จะตอบได้ทุกข้อ
ผมก็เลยรู้สึกว่าไม่เห็นจะยากอะไรเลยนี่หว่า และมีความลำพองอยู่ในตัว
.
แต่บททดสอบที่ 2
นี่แหละครับคือที่สุดของที่สุดในวัยเด็กของผม
.
โจทย์มีอยู่ว่าให้เราสร้างโปรแกรมวนลูปอะไรสักอย่าง ที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิตนี้
สิ่งที่ทำได้ก็คือมองตาปิดไปยังนักเรียนกลุ่มอื่น ซึ่งพวกเขาก็ปรึกษาหารือกันว่าจะแก้โจทย์นี้ได้อย่างไรภายในเวลาอันจำกัด
.
ตัดมาที่ผม
ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรด้วยซ้ำ
.
ภาพที่คุณครูได้เตือนเอาไว้ก่อนสมัครแข่งขัน พุ่งขึ้นมาอยู่ในหัว
ผมรู้สึกเคว้งคว้าง แล้วคิดในใจอยู่ประโยคหนึ่งว่า “กูมาทำอะไรที่นี่” (ตอนนั้นเพลงพี่เบิร์ดยังไม่ออกมานะครับ)
.
สิ่งเดียวที่พอจะเข้าเวลาและทำให้รู้สึกความขัดเขินมันลดลงไป
นั่นคือการแต่งเพลงลอยกระทง ด้วยภาษา Basic
ก่อนจะลุกออกจากห้องไป แบบไม่บอกกล่าว
.
เพื่อนที่มาด้วยกัน ก็ยังงงเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
ได้แต่ถามว่า “จะเดินไปไหน ยังแข่งขันไม่จบเลยนะ”
.
สำหรับผมการแข่งขันมันได้จบลงไปแล้ว
ไม่สิ ผมไม่ได้เข้ามาแข่งขันด้วยซ้ำ ผมเป็นเพียงแค่ คนที่หลงเข้ามาในห้องนี้แบบงงๆมากกว่า
.
ตลอดบ่ายนั้นผมรู้สึกเคว้งคว้าง
ไม่มีความรู้สึกมั่นใจ รู้สึกสูญเสียกำลังใจไปแบบสุดๆ
.
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น
ช่วงที่เราเดินทางปรับตัวอำเภอของเรา
สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจอีกอย่างนึงแทนที่จะต้องมานั่งคร่ำครวญ
.
นั่นก็คือ
“ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกิดขึ้นจากความประมาทของตัวเราเอง เราจะต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ เราจะไม่ทนว่าเรารู้ทุกอย่าง เพราะเมื่อใดที่เราคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด
เราจะหยุดการเรียนรู้ ปิดกั้นความคิด ปิดกั้นการเติบโต”
.
หลังจากนั้นผมได้กลับไป ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์
การเรียนต้นเขียนโปรแกรม ด้วยภาษา pascal โดยศึกษาจากหนังสือคู่มือที่ซื้อมาในร้าน
.
ซึ่งเมื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในชั้นปีที่ 1
มีวิชาคอมพิวเตอร์ 101 ที่ว่าด้วยเรื่องการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา pascal
.
ทุกบทเรียนที่ อาจารย์ได้สอน
คือสิ่งที่ผมได้อ่าน และฝึกทดลองเขียนโปรแกรมมาแล้วก่อนหน้า 1 ปี
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผมได้ A ในวิชานี้
.
เป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
เมื่อเทียบกับวันนั้นที่ผมต้องส่งกระดาษคำตอบเปล่า ในการแข่งขันทักษะคอมพิวเตอร์
.
เรื่องนี้บอกอะไรกับพวกเรา
.
สิ่งที่ผมอยากจะฝากเอาไว้ให้กับทุกคนในบทความนี้ นั่นคือ
อย่าหยุดการเรียนรู้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราเก่งที่สุดแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะทางความคิด
.
ใครๆก็ย่อมเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งนั้น
แต่ถ้าเราไม่ขยับตัวหรือพัฒนาตัวเอง เราก็ยังจะอยู่ณจุดนั้นเสมอ
.
อย่ากลัวที่จะออกไปพบกับความล้มเหลว
อย่ากลัวที่จะถูกคนมองอย่างไร
.
เหมือนกับการทำโฆษณาทุกวันนี้ของเราครับ
ผิดพลาดให้เยอะๆเข้าไว้ เราจะได้เรียนรู้และเติบโตจากความผิดพลาดเหล่านั้น
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
#digitalnook
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
อวสาน LINE@ แพ็คเกจฟรีตลอดชีพ ไม่ได้ไปต่อใน LINE OA
อวสาน LINE@ แพ็คเกจฟรีตลอดชีพ ไม่ได้ไปต่อใน LINE OA
หากใครยังจำกันได้เมื่อช่วงกลางปีก่อน
ในบ้านเรามีบริการรับจ้างทำ LINE@ ที่จ่ายเงินครั้งเดียวแล้วไม่ต้องจ่ายค่ารายเดือนอีกต่อไปเลย
ความสามารถของมันดูน่าเย้ายวนใจ มากๆ
ไม่ว่าจะเป็น การบรอดแคสได้ไม่จำกัดข้อความ โพสต์ไทม์ไลน์ได้ไม่จำกัด แต่จำกัดฟิวเจอร์บางอย่างไว้
ซึ่งตอนนั้นคนที่ซื้อมาก็พอใจในการทำงานของ
เพราะราคาที่จ่ายไปไม่ได้แพงอะไรเลย
ตอนแรกผมก็สงสัยว่าบริการแบบนี้มันมีอยู่จริงหรือเปล่า
เมื่อลองสืบค้นข้อมูลดูก็พบว่า
เป็นบริการของเราจริงๆ เป็นแพ็คเกจฟรี
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เป็นการใช้เทคนิคในการเปิดบริการ account LINE ในต่างประเทศ
(ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้นะครับว่าเป็นประเทศอะไร)
ซึ่งก็มีการซื้อขาย account กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
มีคนซื้อมาใช้มากมาย
แล้วก็ส่งข้อความกันอย่างเมามัน
แต่ล่าสุด
เมื่อ บริษัท LINE ประเทศไทย ได้ประกาศว่า
จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการ LINE@ ไม่เป็น LINE official Account
นี่คือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ LINE@ ที่ซื้อมาจากต่างประเทศ
ไม่ได้ไปต่อในวงการ LINE OA
ที่บอกว่าไม่ได้ไปต่อนั้นก็คือ
LINE@ แพ็คเกจฟรีนี้ จะไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อชำระค่าบริการได้
ซึ่งก็หมายความว่า คุณจะไม่สามารถใช้มันในการทำธุรกิจได้อีกต่อไป
บางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะว่าไปทำใหม่ก็ได้
แต่สำหรับคนที่มีคนติดตามเป็นจำนวน อาจจะเริ่มรู้สึกตระหนก เพราะเสียดายจำนวนคนติดตาม ที่ได้สร้าง
ผมก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน
ก็เลยติดต่อถามไปที่ Call Center ของ LINE official Account เพื่อสอบถามถึงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
ได้ความมาแบบนี้ครับ
LINE@ แพ็คเกจฟรี เมื่อย้ายมาใน LINE official account แล้ว
จะเหลือโควต้าในการส่งข้อความเพียงแค่ 500 เท่านั้น
บางคนอาการหนัก เพราะผมที่จะแชทกับลูกค้าไม่มีเลย
แม้แต่การจะบอกให้ลูกค้าไปติดตามช่องทางไหนก็ไม่สามารถทำได้!!
เสียใจด้วยนะครับคุณไม่ได้ไปต่อ!!
แล้วเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
แนะนำให้ทำ Account ใหม่ไปเลย
LINE@ ฟรีตลอดชีพที่ซื้อมาจากต่างประเทศนั้น ไม่ได้ไปต่อใน LINE official Account ดังนั้นจึงขอให้สร้าง account ใหม่ไปเลย ไม่ต้องรอโอกาส
แต่ระหว่างนั้นให้ทำการแจ้งลูกค้ามากดติดตาม Account ใหม่เอาไว้ก่อน
เมื่อ Premium id เก่าหมดอายุ ให้รีบไปต่ออายุใน account ตัวใหม่
หา Premium id เก่าหมดอายุ ก็ให้รีบนำชื่อ Premium ID ที่เราต้องการนั้น ไปผูกไว้กับ Account ใหม่ที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าใครจำวันที่สร้างได้วันแรกก็ ok ครับ
(ส่วนใหญ่เราจำกันไม่ค่อยได้หรอกว่าทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่)
ถ้าจำไม่ได้ ก็ให้รอตัว Premium ID ของเรา กลายเป็น ชื่อแบบ Random
เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เพื่อผูกไว้ กับ account ของเรา
เพราะนี่คือกฎกติกาที่เขาสร้างเอาไว้
หาก platform นี้เป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับกิจการ หรือว่าธุรกิจของคุณ
คุณก็ควรต้องไปต่อในรูปแบบ และกฎเกณฑ์ที่เขาวางเอาไว้
อยู่บ้านใครก็ต้องทำตามกฎบ้านนั้น
นี่เป็นสิ่งที่ควรระลึกไว้
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
มีคนเคยถามว่า อยากสร้างยอดขายด้วยช่องทางออนไลน์
ต้องทำยังไงดี ต้องใช้เครื่องมืออะไร
ที่จะทำให้เกิดยอดขายและรายได้ตามมา
ก่อนที่จะไปรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ
ผมอยากจะแชร์แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างยอดขายโดยช่องทางออนไลน์
ให้เข้าใจแบบง่ายๆ
ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาให้อ่านกันนะ
“อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ต้องรู้จัก 2 สิ่งนี้ก่อน”
ค่อยๆที่กระโดดเข้ามาบนช่องทางออนไลน์
น่าจะเกิดจากความคิดที่ว่า ตอนนี้ขายของบนโลกออนไลน์เริ่มแผ่วแล้ว
มาทางออนไลน์น่าจะง่ายกว่า
เพราะว่าใครๆก็มาขายกัน
อันนี้ เป็นความคิดที่ถูกต้องครับ
แต่จะถูกเมื่อประมาณสัก 7 8 ปีก่อน
เพราะว่าสมัยนั้นคนยังลงมาแข่งขันในตลาดนี้ไม่เยอะเท่าไหร่
ดูแล้วเป็นสิ่งที่ใหม่ ตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
ตัดรอบต่อไปนี้ หันมองไปทางไหน ทุกคนก็ขายของออนไลน์
ทุกคนก็ลงมาแข่งในสนามเดียวกันหมดเลย
การลงออนไลน์เป็นเรื่องดี แต่คู่แข่งก็มากขึ้นตามลำดับ
การสร้างยอดขาย ก็ต้องใช้ความพยายามสูงขึ้นเงาตามตัว
แต่ก่อนที่จะไปหาเครื่องมืออะไรมาช่วยผ่อนแรง
ต้องเข้าใจก่อนว่า ยอดขายบนโลกออนไลน์นั้นมาจากอะไร
ยอดขาย เท่ากับ Traffic คูณกับ Conversation
อธิบายให้ฟังง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องของคำว่า Traffic และ conversion
ถ้าสมัยก่อนเราจะทำธุรกิจสัก
เราก็ต้องเลือกทำเล หาพื้นที่ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะๆ
ที่ไหนรถไม่ผ่าน คนไม่เดิน แบบนี้เราก็คงไม่เลือก
เราจะเลือกสถานที่ที่คนเดินเยอะๆ และที่สำคัญจะต้องเป็นกลุ่มลูกค้า ที่จะใช้สินค้าหรือบริการของเราด้วย
วิธีการคิดแบบนี้ก็คือ การหา Traffic นั่นเอง
แต่หากเรามีเฉพาะแค่ Traffic คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ
แต่ไม่มีการเชื้อเชิญลูกค้าเข้า หรือว่าลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยลูกค้าดูของไป
หรือพอเข้ามาถามก็ตอบแบบขอไปที
หรือไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลอะไรจนลูกค้าพอใจ เชื่อใจ
หรือให้ข้อมูลมากเกินไปและไม่ได้ไปถึง ช่วงสำคัญ นั่นคือปิดการขาย
แบบนี้ยอดขายก็ไม่เกิดแน่นอน
กระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคนเข้ามาในร้านของเราแล้ว
เปลี่ยนจากคนเยี่ยมชม ให้กลายเป็นคนซื้อของ หรือลูกค้าของเรา
สิ่งนั้นคือความหมายของคำว่า Conversion
คราวนี้ลองมามองในมุมของโลกออนไลน์กัน
บอลโลกออนไลน์นั้นทุกคนไม่จำเป็นจะต้องไปหาทำเล
เพราะเราสามารถที่จะเสิร์ฟสินค้าหรือบริการของเรา ไปถึงหน้าจอของลูกค้าทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม
ในเมื่อทำเลกว้างขวางขนาดนี้
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือการหากลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
วิธีการคิดหากลุ่มเป้าหมายก็คือ
สินค้าของเราแก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง ให้นึกภาพออกมาเป็นเหมือนกับคนคนนึง ที่เขาเห็นสินค้าหรือบริการของเราแล้วอยากจะซื้อใช้ทันที
อายุ เพศ การศึกษา ความชอบ พฤติกรรมต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะใช้ในการหากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Facebook
หากกลุ่มคนเหล่านี้สนใจ
แล้วทักมาหาเราไม่ว่าจะเป็นการ inbox หรือ Line มาถาม
สิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนคนทักให้กลายเป็นลูกค้า
นั่นคือ ทักษะในการตอบคำถาม ให้ข้อมูล สร้างบรรยากาศ ให้เกิดความอยากได้
แล้วสรุปเพื่อปิดการขายให้ได้
บางคนทำโฆษณาได้ดีมีคนทักมาแล้ว
แต่บรรยากาศในการซื้อการขาย แสนจะวังเวง ถามคำตอบคำ
หรือมุ่งมั่นเอาแต่จะขายของอย่างเดียวโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
หรือเห็นบทสนทนาแล้วอยากจะกดปิดหน้าจอ แล้วไปหาร้านอื่นแทน
แบบนี้ยอดขายก็ไม่บังเกิดอย่างแน่นอน
สรุปนะครับ
ถ้าต้องการที่จะมียอดขายที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเรียนรู้เทคนิคให้คนเข้ามาในร้านของเราเยอะๆ
นั่นคือเทคนิคในการเปลี่ยน คนทัก ให้กลาย ลูกค้าของเรา
สำคัญจริงๆนะครับ
ฝากเอาไปด้วย
ลองไปปรับปรุงกันนะครับว่าตอนนี้เราพลาดที่จุดไหน
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ไม่ต้องทำให้ทุกคนถูกใจ แต่แก้ไขปัญหาให้แค่บางคนก็พอ
แชร์แนวคิดสำหรับ ธุรกิจออนไลน์ที่เปิดตัวใหม่
ไม่ต้องทำให้ทุกคนถูกใจ แต่แก้ไขปัญหาให้แค่บางคนก็พอ
.
สินค้าต้องแมสเท่านั้น คนถึงจะซื้อ
ต้องทำของให้คนจำนวนเยอะๆ ถึงจะรวย
.
คำพูดดังกล่าวนั้น ไม่ผิดครับ
ถ้าเรามีเงินลงทุนจำนวนมากๆ เยอะๆ และพร้อมทุ่มไปเต็มที่
แบบนั้น ok เลยครับ
.
ในมุมกลับกัน
หากเรามีเงินทุนยังไม่มากพอ จะไปทุ่มขนาดนั้น
การไปหาตลาดใหญ่ ตั้งแต่ครั้งแรก อาจจะไม่เหมาะ
.
แต่ส่วนใหญ่ เรามักจะทำแบบนั้นกันเสมอ
เลยต้องพบกับ การใช้เงินเป็นจำนวนมาก
กับตลาดขนาดใหญ่
.
มีอีกแนวคิดหนึ่งครับ ที่ผมได้ฟังอย่างละเอียด ไปเมื่อวานนี้
จริงๆ ผมคุ้นหูกับคำว่า early adopter ผ่านบทสนนทนา
หรือบทความต่างๆ แต่อาจจะไม่ได้ลงลึก หรือเจาะลึก
หรือไม่อินกับคำพูดนี้สักเท่าไร
เลยเหมือนฟังผ่านๆ
.
ทว่าเมื่อวานนี้
ผมใช้เวลากับกราฟนี้ มากกว่าเดิม
โดยมีคุณอั๋น คุณเอ จาก สัมมนา iclass 1 month in a day
มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับกราฟนี้
เห็นว่า เป็นแนวคิดที่ดี เข้าใจง่าย เลยอยากเอามาแชร์ให้ฟังครับ
.
นั่นคือ กราฟ Technology Adoption
อธิบายการเติบโต ของธุรกิจประเภทนี้ได้ดี
.
ช่วงแรกของการสร้างธุรกิจนั้น จะเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า
innovation หรือ นวัตกรรม
กระบวนการ ที่ทำอะไรขึ้นมาใหม่ๆ อาจจะคิดใหม่ทั้งหมด
หรือ ต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่ให้ตอบโจทย์มากขึ้น
.
และเมื่อผ่านช่วงนวัตกรรม ช่วงแรกไปแล้ว
คนที่จะมาซึมซับ รับอะไรใหม่ๆ นี้ไปง่ายๆ
เราเรียกว่า early adopter
อย่างคนที่ ซื้อ iPhone รุ่นแรกๆ สมัคร netflix ทันทีที่เข้าไทย สมัคร spotify ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ กล้าใช้ grab ในวันแรกๆที่เปิดใช้งาน
.
ซึ่งพอกลุ่ม early adopter นั้นใช้งานกันอย่างบ้าคลั่ง สนุกสนาน
จนกระจายสิ่งเหล่านี้ออกไป แบบปากต่อปาก
สิ่งที่ตามมา ก็คือ เออ น่าสนใจ เอาด้วยวุ้ย!
นี่คือขั้นตอนที่เราเรียกว่า early majority
.
จนกระแสความฮิตนั้น หนักหน่วงจนกลายเป็นกระแสหลัก
เสมือนไลน์แมนวันนี้ ที่กลายเป็นเรื่องปกติของคนไทย
ใครๆ ก็ใช้ เพราะคนอื่นๆ ก็ใช้กันตลอดเวลา
อันนี้แหละ คือ stage ที่เรียกว่า late majority
คนรู้จักเยอะ เข้าใจเยอะ การแข่งขันของรายใหม่ๆ ก็จะยากขึ้นแล้ว
เพราะต้องใช้สรรพกำลังมาก ใช้เงินเยอะ
.
และท้ายสุด นั่นคือ laggards
เป็นช่วงปลายของวงจร แล้ว คนกลุ่มนี้จะยอมใช้ เพราะว่ามันไม่เหลือของเก่าๆ ให้ใช้งานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
– จำเป็นต้องเปลี่ยนจาก vdo มาเป็น vcd เพราะไม่มี vdo ขายแล้ว
– จำเป็นต้องเปลี่ยนจาก vcd เป็น dvd เพราะว่า ไม่มี vcd ขายแล้ว
– ต้องมาดู netflix แทน เพราะว่าตอนนี้ ที่บ้านไม่มีที่เก็บ blueray dvd แล้ว
.
ซึ่งกลุ่มคนในแต่ละ stage นั้น
มีความแตกต่างกันไปเสมอ
.
หากวันนี้ เรามีเงินเยอะมาก
มีเงินพร้อมทุ่ม ก็ไปเลย ที่ stage ของ early majority หรือ late majority
.
แต่หากความจริง ไม่ใช่
ให้พยายาม นึกตอบโจทย์ให้กับเหล่ early adopter แทน
ตอบโจทย์ แก้ปัญหา สร้างความพึงพอใจ ให้กับคนบางกลุ่ม ก่อน เหมือนกับ
– joox สร้างแอพฟังเพลง เพื่อสนอง need คนชอบฟังเพลงทั้งวัน
– lineman สร้างแอพขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์คนหิวข้าว แต่ไม่อยากไปซื้อเอง
– grab สร้างแอพขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์คนที่เรียกแท็กซี่ ไม่ได้สักที เพราะ แท็กซี่ไม่อยากไป
.
เพราะหากเราตอบสนองความต้องการ
ของคนกลุ่มเล็กๆ ให้เต็มที่ และสมบูรณ์แบบ
.
คนกลุ่มนี้แหละ จะขยาย กระจายให้บริการของเรา
เป็นที่รู้จักต่อเนื่องและยาวไกลไปแบบเต็มๆ
.
แต่ถ้าเรา ไม่สามารถเติมเต็มคนเหล่านี้ได้
มันก็จะกลายเป็นช่องว่าง ที่ทำให้ไปไม่ถึงฝั่งฝัน อย่างที่ต้องการ..
.
ลองคิดดูนะครับ
ว่าเราจะจัดการ อย่างไร กับคนกลุ่มเล็กๆ ที่พร้อมจะตะโกนบอกความดีงาม
ของธุรกิจออนไลน์ของคุณ ให้ดังไปไกลกว่าเดิม
ได้อย่างไร…
.
#digitalnook