ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
เคยคิดกันไหมครับว่าทำไมเวลาที่คนขายของเหมือนกันแต่ทำไมร้านขายดีกว่าแล้วร้านนั้นขายไม่ดีเลย
เราไม่ได้พูดถึงสินค้าแบบเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ รสชาติปริมาณ
แต่เรากำลังจะพูดถึงสินค้าแบบเดียวกันเป๊ะ
ออกมาจากบริษัทออกมาจากโรงงานเดียวกันเลย
แต่ทำไมบางคนขายดีบางคนขายไม่ดี
วันนี้ผมขอแชร์ประสบการณ์ในมุมมองของคนที่เข้าไปเลือกซื้อสินค้าแล้วกันนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผมจำเป็นต้องซื้อของใช้เข้าบ้าน แต่ว่าไม่อยากจะเดินทางออกไปซื้อด้วยตัวเอง
ของที่ผมว่าก็เป็นของง่ายๆนะครับ เช่นข้าวสาร แต่ซื้อหลายถุง
นมหลายแพ็ค ขนมหลายห่อ น้ำตาลหลายกิโล
ถ้าผมจะออกไปซื้อก็ไปได้นะ แต่เสียเวลาในการเดินทางและหาที่จอดรถ
ก็เลยวิ่งเข้าไปในเว็บไซต์ที่เขาขายของแบบนี้
นั่นก็คือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของห้างดังๆ
จริงๆผมก็เลยเอาไว้อยู่ 2-3 เจ้า
ผมลองเลือกใช้บริการเจ้าแรกก่อน
เจ้านี้ทำโปรโมชั่นดีดูมีของลดราคาผมก็เลยลองคลิกเข้าไปดู
พอตอนที่จะเลือกสั่งซื้อสินค้าแต่ละตัว เวลาที่จะเพิ่มจำนวนทำไมมันช้าจัง
เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่เคยได้จากเว็บ Shopping อื่นๆ เราใช้เวลาน้อยกว่าแต่ไปไหนต่อไหนแล้ว
เวลากดไปสักกลมนึงแล้วก็รู้สึกดีเลย์แบบสุดๆ
ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันไปถึงสถานะไหนแล้ว!
พอมาถึงหน้ารวมราคา ระบบก็ให้ใส่ที่อยู่
(จริงๆผมเคยสั่งของจากที่นี่ไปแล้วครั้งนึงนะครับ เลยมีที่อยู่จำเอาไว้ในระบบ)
แต่ก็แปลกใจว่าทำไมต้องให้ใส่ที่อยู่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ถึงเวลาคำนวณสินค้าทั้งหมดแล้ว
ไปถึงหน้าการชำระเงิน มีให้เลือกว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง หรือ จ่ายชำระบัตรเครดิตได้เลย
ปรากฏว่าผมมีปัญหาเรื่องการจ่ายด้วยบัตรเครดิต (อันนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นจากตัว User อย่างผมเอง) ก็เลยทำให้เกิดการค้างชำระขึ้นมา
เลยโทรไปสอบถามที่ Call Center ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วอยากจะจ่ายเงินที่หน้าบ้านทำอย่างไร
เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสามารถที่จะเลือกเป็นแบบจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง แต่บอกกับคนส่งได้เลยว่าเขาจ่ายเงินสด
ผมก็เลยถามว่าผมไม่เห็นมีให้เลือกว่าให้จ่ายเงินสดได้เลย
เจ้าหน้าที่บอกว่ายอดผมเกิน 2,000 บาท ระบบก็เลยไม่มีทางเลือกเป็นเงินสดให้
แต่สามารถจะบอกกับเจ้าหน้าที่ได้ว่าชำระด้วยเงินสด
ผมเลยพยายามทำความเข้าใจระบบ
แล้วลองไปสั่งอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ปรากฏว่า ไม่สามารถซื้อสินค้าบางตัวได้ตามความต้องการ
ก็เลยถามคอลเซ็นเตอร์ไปอีกทีว่า ทำไมไม่มีของขายทั้งๆที่เมื่อกี้ก็มีอยู่
ตอนที่บอกว่า เป็นเรื่องของระบบ Stock Online
ผมก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นความผิดพลาดของ User แบบผมเอง
ที่มีปัญหาในเรื่องของการชำระเงิน จึงผ่านมาทำให้ซื้อของได้ไม่ครบ
ผมก็เลยหยุดทุกกิจกรรม แล้วเปลี่ยนไปเข้าอีกเว็บนึง
เป็น web Shopping Mall เหมือนกันขายของแบบเดียวกัน
แต่ประสบการณ์ที่ได้รับแตกต่างกันมาก
เวลาที่จะคลิกอะไรไปสักอย่างนึงก็เร็วมากๆ
เวลา Search หาของต่างๆนานาก็แสดงผลได้รวดเร็วทันใจ
เวลาที่จะเลือกของใส่ไว้ในตะกร้าก็ถือว่าเร็วมากๆ
เรียกว่าประสบการณ์ใกล้เคียงกับเว็บช็อปปิ้งเจ้าใหญ่ (สีส้ม)เลยทีเดียว
เวลาที่ผมใช้ในการสั่งซื้อจนครบกระบวนการในเว็บไซต์นี้
ใช้ระยะเวลาเท่ากับตอนที่ผมเลือกของใส่ตะกร้าในเว็บก่อนหน้า
เรื่องนี้บอกอะไรครับ?
ผมเลือกซื้อสินค้าแบบเดียวกัน
จากโรงงานเดียวกันเป๊ะเลย
แต่ทำไมผมถึงเลือกสั่งของจากเว็บไซต์อีกตัว
ทั้งๆที่ผมเสียเวลาไปกับเว็บไซต์แรกไปตั้งนานแล้ว
ผมขอสรุปเรื่องนี้ได้สั้นๆ สองอย่างนะครับ
1. ประสบการณ์ที่ดีในการซื้อ
เว็บไซต์แรกทำให้ผมเสียเวลามากๆในการกรอกข้อมูลต่างๆ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการเลือกซื้อของ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการชำระเงิน
ทำให้ผมเสียเวลาในการสั่งสินค้าใหม่แต่ไม่ได้ตามที่ต้องการ
2. การสื่อสารที่ชัดเจนกับลูกค้า
ตอนที่ผมจะจ่ายเงิน จริงๆ เว็บไซต์แรก ก็สามารถที่จะเก็บเงินสดปลายทางได้ แต่ตอนที่จะชำระเงินดันไม่ขึ้นว่าชำระเงินสดได้ เมื่อเทียบกับ เว็บไซต์ตัวที่ 2 เขียนไว้ชัดเจนว่าชำระเงินสดหรือบัตรเครดิตได้
คำพูดบางคำที่หายไป ทำให้เสียโอกาสในการขายไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งเป็นยุคนี้ที่คนเรามีทางเลือกมากมาย
ถ้าไม่แฮปปี้กับเจ้าไหน ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นได้ง่ายๆ
เพราะไม่ต้องออกเดินทาง
แค่เปลี่ยน URL หรือเปลี่ยน application ก็จบแล้ว
เมื่ออ่านเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว
ให้ลองพิจารณาดูกับธุรกิจของคุณนะครับ
เราขายของเหมือนกับคนอื่นๆ เป๊ะๆ
แต่สิ่งที่เราจะสร้างให้เกิดความแตกต่างกับคนอื่น
นั่นคือประสบการณ์
ประสบการณ์ที่ดีจะทำให้คนจำเราได้ในมุมที่ดี และอยากจะมาซื้อซ้ำ หรือหากชอบมากๆก็จะแนะนำให้คนอื่นมาซื้อกับเราด้วย
แต่หากพบประสบการณ์ที่ไม่ดี
เราก็คงจะเลิกซื้อ แถมยังจะไม่แนะนำให้คนอื่นไปใช้บริการด้วยเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นพบกับประสบการณ์ไม่ดีเหมือนกับเรา
ลองคิดและนำไปปรับปรุงธุรกิจของคุณเองนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
มีคนเคยถามว่า อยากสร้างยอดขายด้วยช่องทางออนไลน์
ต้องทำยังไงดี ต้องใช้เครื่องมืออะไร
ที่จะทำให้เกิดยอดขายและรายได้ตามมา
ก่อนที่จะไปรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ
ผมอยากจะแชร์แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างยอดขายโดยช่องทางออนไลน์
ให้เข้าใจแบบง่ายๆ
ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาให้อ่านกันนะ
“อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ต้องรู้จัก 2 สิ่งนี้ก่อน”
ค่อยๆที่กระโดดเข้ามาบนช่องทางออนไลน์
น่าจะเกิดจากความคิดที่ว่า ตอนนี้ขายของบนโลกออนไลน์เริ่มแผ่วแล้ว
มาทางออนไลน์น่าจะง่ายกว่า
เพราะว่าใครๆก็มาขายกัน
อันนี้ เป็นความคิดที่ถูกต้องครับ
แต่จะถูกเมื่อประมาณสัก 7 8 ปีก่อน
เพราะว่าสมัยนั้นคนยังลงมาแข่งขันในตลาดนี้ไม่เยอะเท่าไหร่
ดูแล้วเป็นสิ่งที่ใหม่ ตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
ตัดรอบต่อไปนี้ หันมองไปทางไหน ทุกคนก็ขายของออนไลน์
ทุกคนก็ลงมาแข่งในสนามเดียวกันหมดเลย
การลงออนไลน์เป็นเรื่องดี แต่คู่แข่งก็มากขึ้นตามลำดับ
การสร้างยอดขาย ก็ต้องใช้ความพยายามสูงขึ้นเงาตามตัว
แต่ก่อนที่จะไปหาเครื่องมืออะไรมาช่วยผ่อนแรง
ต้องเข้าใจก่อนว่า ยอดขายบนโลกออนไลน์นั้นมาจากอะไร
ยอดขาย เท่ากับ Traffic คูณกับ Conversation
อธิบายให้ฟังง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องของคำว่า Traffic และ conversion
ถ้าสมัยก่อนเราจะทำธุรกิจสัก
เราก็ต้องเลือกทำเล หาพื้นที่ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะๆ
ที่ไหนรถไม่ผ่าน คนไม่เดิน แบบนี้เราก็คงไม่เลือก
เราจะเลือกสถานที่ที่คนเดินเยอะๆ และที่สำคัญจะต้องเป็นกลุ่มลูกค้า ที่จะใช้สินค้าหรือบริการของเราด้วย
วิธีการคิดแบบนี้ก็คือ การหา Traffic นั่นเอง
แต่หากเรามีเฉพาะแค่ Traffic คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ
แต่ไม่มีการเชื้อเชิญลูกค้าเข้า หรือว่าลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยลูกค้าดูของไป
หรือพอเข้ามาถามก็ตอบแบบขอไปที
หรือไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลอะไรจนลูกค้าพอใจ เชื่อใจ
หรือให้ข้อมูลมากเกินไปและไม่ได้ไปถึง ช่วงสำคัญ นั่นคือปิดการขาย
แบบนี้ยอดขายก็ไม่เกิดแน่นอน
กระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคนเข้ามาในร้านของเราแล้ว
เปลี่ยนจากคนเยี่ยมชม ให้กลายเป็นคนซื้อของ หรือลูกค้าของเรา
สิ่งนั้นคือความหมายของคำว่า Conversion
คราวนี้ลองมามองในมุมของโลกออนไลน์กัน
บอลโลกออนไลน์นั้นทุกคนไม่จำเป็นจะต้องไปหาทำเล
เพราะเราสามารถที่จะเสิร์ฟสินค้าหรือบริการของเรา ไปถึงหน้าจอของลูกค้าทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม
ในเมื่อทำเลกว้างขวางขนาดนี้
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือการหากลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
วิธีการคิดหากลุ่มเป้าหมายก็คือ
สินค้าของเราแก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง ให้นึกภาพออกมาเป็นเหมือนกับคนคนนึง ที่เขาเห็นสินค้าหรือบริการของเราแล้วอยากจะซื้อใช้ทันที
อายุ เพศ การศึกษา ความชอบ พฤติกรรมต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะใช้ในการหากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Facebook
หากกลุ่มคนเหล่านี้สนใจ
แล้วทักมาหาเราไม่ว่าจะเป็นการ inbox หรือ Line มาถาม
สิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนคนทักให้กลายเป็นลูกค้า
นั่นคือ ทักษะในการตอบคำถาม ให้ข้อมูล สร้างบรรยากาศ ให้เกิดความอยากได้
แล้วสรุปเพื่อปิดการขายให้ได้
บางคนทำโฆษณาได้ดีมีคนทักมาแล้ว
แต่บรรยากาศในการซื้อการขาย แสนจะวังเวง ถามคำตอบคำ
หรือมุ่งมั่นเอาแต่จะขายของอย่างเดียวโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
หรือเห็นบทสนทนาแล้วอยากจะกดปิดหน้าจอ แล้วไปหาร้านอื่นแทน
แบบนี้ยอดขายก็ไม่บังเกิดอย่างแน่นอน
สรุปนะครับ
ถ้าต้องการที่จะมียอดขายที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเรียนรู้เทคนิคให้คนเข้ามาในร้านของเราเยอะๆ
นั่นคือเทคนิคในการเปลี่ยน คนทัก ให้กลาย ลูกค้าของเรา
สำคัญจริงๆนะครับ
ฝากเอาไปด้วย
ลองไปปรับปรุงกันนะครับว่าตอนนี้เราพลาดที่จุดไหน
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
.
ลูกค้า กว่าจะหามาได้สักคนนึง
ต้องแลกกับค่าโฆษณา ค่าอินเตอร์เน็ต
เวลาที่เราพูดคุยกับเขาจนจบ
.
จะดีกว่ามั้ย หากเขาจะกลับมาซื้อซ้ำ
สินค้าของเราอีกครั้ง
หรือ ซื้อแล้ว ซื้ออีกเรื่อยๆ
.
นั่นคือความประทับใจ
แต่จะทำให้เขาประทับใจอย่างไรกันดีล่ะ
.
วันนี้เลยขอมาแชร์ เคล็ดลับดีๆ
ที่คนขายของดีๆ เขาทำกัน
บางท่านที่ใช้เทคนิคนี้อยู่แล้ว ก็ถือว่าดีเลยครับ
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยทำ
ลองไปใช้กันดูจ้า
เอาล่ะ มาดูกันเลย
1. แจ้งสถานะการส่ง ทุกครั้ง
เพราะ การซื้อของออนไลน์ หรือ ใช้บริการออนไลน์
คนอยากรู้ว่า ของจะมาถึงตัวเองเมื่อไร
หัวใจมันร่ำร้องบอกว่า
มาเร็วๆๆๆ
.
สมัยนี้ ระบบ tracking ต่างๆ ของบริษัทขนส่ง หรือ Logistic นั้น
ตรวจสอบกันได้ทุกระยะ อยู่แล้ว
.
การส่งเลข EMS หรือ tracking number ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องบอก
จะสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจให้ลูกค้า ว่าได้รับของแน่นอน
.
เหมือนที่เราเห็นใน shopee lazada ต่างๆ แหละครับ
(ใจคนคอย มันเต็มไปด้วยความหวังนะ 😉
.
2. การแนบโบรชัวร์ สินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปให้
เมื่อกล่องสินค้า ไปถึงมือลูกค้าแล้ว
ความตื่นเต้นจะบังเกิด กับลูกค้า
เขาจะแกะกล่อง เพื่อตรวจสอบ สำรวจสินค้าทันที
.
ดังนั้น เขาจะสนใจ ของทุกอย่างที่อยู่ด้านในเสมอ
นี่คือโอกาส ในการขายของเพิ่มเติม
.
กระดาษสักใบ ที่แสดงสินค้าอื่นๆ ที่คุณมีอยู่พร้อมราคา
คือการเพิ่มยอดให้คุณ!!
.
เสียค่าแอดแล้ว กระดาษ 1 ใบ ราคาถูกกว่าค่าแอดอีกนะครับ
.
3. การให้ส่วนลด เมื่อซื้อครั้งต่อไป
ข้อเสนอสำหรับคนพิเศษ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
เราจึงขอมอบส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป ในร้านเรา
เพียงแสดงโค้ดนี้มาด้วย
.
แม้เขาจะไม่ได้ซื้อในทันที
แต่ครั้งต่อไป เขาจะนึกถึงเรา เป็นลำดับต้นๆ
.
ส่วนลดกับลูกค้าที่เคยซื้อของจากเราไป
กับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ในระยะยาว
ผมว่าคุ้มค่านะครับ
.
4. การให้ของแถมเล็กๆน้อยๆ กับ ลูกค้า
ของที่ระลึก หรือ ของแถม ที่มีประโยชน์กับเขา
สอดคล้องกับสินค้าของเรา
จะทำให้ลูกค้าจดจำ เราได้เสมอ
.
จดจำได้ว่า เคยซื้ออะไรจากเรา
จดจำได้ว่า เรามีความใส่ใจ ให้ลูกค้า
.
อย่างผมซื้อที่ชาร์จ กล้องถ่ายภาพมาจากเพจขาย Battery แห่งหนึ่ง
สิ่งที่เขาทำได้ดี คือการแถมผ้าเช็ดเลนส์ มาให้ด้วย
ซึ่งติดโลโก้ของแบรนด์มาเรียบร้อย
.
ทำให้ทุกครั้งเวลาเช็ด ผมจะเห็นโลโก้ของเขาตลอด
และหากผมไปเช็ด ตอนไปเที่ยว
.
เพื่อนๆ ก็จะเห็น และ รู้จักแบรนด์ไปในตัว
โดยที่ไม่ต้องเสียค่ายิงแอดเลย
.
5. การเข้าไปทักทายต่อยอดกับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
เมื่อสินค้า ถึงมือแล้ว
การเข้าไปสอบถาม พูดคุยแสดงความเป็นกันเอง บ้าง
จะทำให้รู้สึกดี ว่าเอาใจใส่
.
ฝั่งคนขาย ก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า
อะไรดี อะไรไม่ดี
ต้องไปปรับปรุงตรงไหนบ้าง
.
และหากรักษา ความสัมพันธ์ได้ดี
การซื้อครั้งต่อไป ก็ไม่ยาก
.
เอาล่ะ
นั่นคือ 5 เคล็ดลับ ที่มัดใจให้ลูกค้าติดหนึบ
หลังจากปิดการขายเรียบร้อยแล้ว
.
ลองไปใช้กันดูนะครับ
.
อ้อ ที่สำคัญที่สุด
เมื่อมีลูกค้าที่ปิดได้แล้ว
.
การเก็บข้อมูลลูกค้าของเราเอาไว้
คือสิ่งสำคัญที่สุด นะครับ
เพราะนี่คือ ทรัพย์สินที่มีค่าสุดๆ ของเรา
.
อย่าทำหายนาจา
เอาไปทำการตลาดภายหลัง
จะโทรหา หรือ SMS ไปบ้าง
ก็ไม่ว่ากัน
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ เป็นกำลังใจให้บ้างนะจ๊ะ 😉
.
#digitalnook