ยกระดับ Up Skill ออนไลน์ ปรับตัวยังไงให้อยู่รอด ช่วงปิดเมือง
ในภาวะที่ทุกประเทศ ต้องปิดเมือง
นั่งทำงานที่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยง ในการติดเชื้อ
.
ทุกคนต้องใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม
หลายๆอาชีพ ไม่มีงานทันที ด้วยสิ่งที่ไม่คาดฝัน
แต่หลายๆคนยังอยู่ได้ ในวิกฤตินี้
เพราะมีวิถีทางบนโลกออนไลน์ รองรับอยู่
.
ทุกคนจึงหันหน้ามาทางออนไลน์
เพราะมันสามารถ ตอบโจทย์ได้
การสอน งานสอน ก็ผ่านระบออนไลน์
ซื้อของ ก็ผ่านออนไลน์
ซื้ออาหาร ก็ผ่านออนไลน์
ออกกำลังกาย ฟิตเนส ปิด ก็ดู live ผ่านออนไลน์
.
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะใช้เวลาที่ว่างมากขึ้นนี้ มาใช้ในการ Upgrade ตัวเอง
.
ผมเลยมองออกเป็นสองมุมครับ
มุมแรกคือ สำหรับมือใหม่ กับ มือเก่า
ดังนี้ครับ
.
Up skill สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยทำออนไลน์
1. มองให้ออก ว่าเรามีความถนัดเรื่องอะไร
ถ้าวันนี้ จะเริ่มต้นทำออนไลน์ อาจจะยังรู้สึกสับสน และพร้อมไปตามที่คนอื่นๆ บอกให้ทำ ไปขายอันนั้น อันนู้นสิ ดี รวย ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ชอบ
ถ้าแบบนี้ คุณจะทำได้แป๊บเดียว แล้วก็ หยุด แล้วก็เลิกทันที เพราะคุณไม่ชอบ ไม่ถนัด มันฝืน
ดังนั้นควรคิดให้ออกว่า เราชอบอะไร ทำอะไร
เราจะทำได้แบบ คล่องแคล่ว เป็นธรรมชาติ
เวลานำเสนออะไร หรือขายอะไรไปแล้ว คนจะเชื่อคุณเพราะความเป็นธรรมชาติของคุณ
2.มองให้ออกว่าใครมีปัญหาและต้องการการแก้ปัญหาจากเรา
มีคนจำนวนมากที่มีปัญหา และรอการแก้ปัญหาจากสิ่งที่เราถนัดเสมอ
แต่ต้องมองให้ออกว่า คนเหล่านั้นคือใคร อยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไร
เพราะหากเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้
คุณจะสามารถ ถ่ายทอดสิ่งที่เขาต้องการ ได้อย่างแท้จริง
เพราะหากเข้าใจปัญหาของเขา
คุณจะถ่ายทอดในเรื่องที่เขาอยากรู้ ได้เสมอ
3.จะสื่อสารยังไง ให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้
หลังจากที่เรารู้ว่า เขาต้องการอะไร ขั้นตอนต่อไป คือการหาเครื่องมือสื่อสาร ไปยังกลุ่มคนเหล่านี้
เพราะคนแต่ละกลุ่ม ไม่ได้ใช้ facebook แค่อย่างเดียว
แต่เลือกใช้สื่อหลายแบบ
คนส่วนใหญ่ทั่วไป ยังใช้ facebook
ถ้าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น ตอนนี้จะใช้ twitter instagram เป็นหลัก
คนที่พยายามแก้ปัญหา จะดูผ่าน google youtube
ลูกค้าที่เคยซื้อของเราแล้ว มักจะกลับมาซื้อผ่านช่องทาง LINE OA
เครื่องมือสื่อสาร ที่เราเลือกใช้ ในโลกออนไลน์ มีมากกว่า facebook
เพียงแต่จะเลือกใช้ตอนไหน
Up skill สำหรับมือใหม่ที่ทำออนไลน์มาแล้ว
1. ทำความเข้าใจเรื่องของ funnel ให้แน่นขึ้น
สำหรับคนที่ทำออนไลน์มาแล้วระยะหนึ่ง อยากให้ทำความเข้าใจ เรื่องของ funnel มากขึ้น เพราะจะทำให้เรา เข้าใจเรื่องการขายมากขึ้น
คนไม่ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรก
แต่ต้องผ่านขั้นตอนเปลี่ยน จากคนแปลกหน้า มาเป็นลูกค้า หรือสาวก อันนี้ เราเรียกกันว่า sale funnel
ซึ่งการเปลี่ยนแต่ละขั้นตอนนั้น จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป
ไปอ่านแบบละเอียดได้นะครับที่ >> https://www.digitalnook.co/590/
2.มาทำความเข้าใจการยิง ads ให้แน่นกว่าเดิม
สำหรับการยิงแอด ที่เข้าใจง่ายที่สุด ณ ตอนนี้ ก็ยังต้องยกให้ เฟสบุ๊คเสมอ
บางครั้ง เราอาจจะใจร้อน และรีบทำแอด ยิงแอด
จนไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะรีบขาย
.
ตอนนี้ มีเวลาแล้ว ลองย้อนกลับมาดู เกี่ยวกับโครงสร้าง
เกี่ยวกับพื้นฐาน ให้แน่นอีกครั้ง เพื่อให้รู้ถึงที่มา ที่ไป ของจุดประสงค์ต่างๆ
.
วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่เราไม่ค่อยได้ใช้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่จะลองใช้
เช่น
- reach ที่อาจจะละเลยไป ก็สามารถใช้ได้ เพื่อทำให้คนไม่ลืมเรา ในราคาที่ประหยัด
- conversion ถ้าไม่เคยทำ ก็ให้ไปลองทำ
- audience insight ตัวเช็ค interest ที่ดี ลองกลับมานั่งดู ว่าใช้งานยังไง
3. ทำหน้าบ้านดีแล้ว หลังบ้านต้องดีด้วย
บางคนที่ทำหน้าบ้าน ยิงแอด ได้ดีแล้วก็ควรจะมาใส่ใจ เรื่องของ ตัวเพจ ให้ดี
เพราะยิงแอดไป แล้วเข้ามาในเพจ ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาเชื่อถือได้
- ขายอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความรู้ ไม่ได้ให้คุณค่า
- ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีรีวิว ที่สร้างความมั่นใจ
- ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความ เชี่ยวชาญ ของเราในสายงาน
และนี่คือ แนวคิดหลักๆ ที่อยากให้ได้ลองปรับใช้กัน
ถ้าวันนี้ ยังไม่ได้ปรับปรุง ได้เวลาแล้วครับ ที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น
ไม่สายเกินไป สำหรับคำว่า การพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้น
เป็นกำลังใจให้กัน ในวันที่ต้องอยู่บ้าน
ยิงแอดแล้วลูกค้าไม่ซื้อ เพราะแบบนี้หรือเปล่า?
ยิงแอดแล้วลูกค้าไม่ซื้อ เพราะแบบนี้หรือเปล่า?
ยิงแอดไปแล้ว คนไม่ซื้อเลย
ทำไงดีครับ
คำถามนี้คือ คำถามคลาสสิกมากครับ
ที่เจอมาตั้งแต่เริ่มเปิดเพจมา และคำถามนี้ ก็ยังมีเรื่อยๆ
วันนี้เลยอยากจะแชร์ แนวคิด
เพื่อลองเอาไปแก้ปัญหากันครับ
แนวคิดนี้ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราอาจจะลืมกันไปเท่านั้นเองครับ
บางคนจะเคยได้ยินคำว่า customer jouney
บางคนอาจจะได้ยินคำว่า sale funnel หรือ กรวยการขาย
บางคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า cold market warket และ hot market
เดี๋ยวเรามาทำความเข้าใจกันอีกครั้งนะครับ
แนวคิดนี้ ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ เลย
ก็คือ ทำยังไง ให้คนแปลกหน้า กลายมาเป็นสาวก นั่นเอง
การจะยิงแอดให้คนแปลกหน้ามาซื้อของตั้งแต่ครั้งแรก
ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขนาดเรา ยังต้องเห็น โฆษณาไม่รู้กี่ครั้ง กว่าจะตัดสินใจซื้อ
บทความนี้ จะทำให้เห็นว่า ลูกค้าแต่ละขั้นตอนนั้น
เป็นอย่างไร และเราจะเปลี่ยนพวกเขา ให้ไปสู่ขั้นกว่า ได้อย่างไร
มาดูกันครับ
คนแปลกหน้า
กลุ่มคนเหล่านี้ คือ คนที่ไม่รู้จักเรามาก่อนเลย ปกติ คนแปลกหน้า เราจะต้องใช้พละกำลัง ทุ่มเทมากๆเพื่อทำให้เขาสนใจ
สิ่งที่จะทำให้เขาสนใจเราได้นั่นคือ พูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง สิ่งที่เขากำลังอยากแก้ปัญหา โดยใช้ ภาพสะดุดตา คำพูดสะดุดใจ นั่นเอง
ซึ่งขั้นตอนนี้ ถ้าเขาสนใจ ก็จะเปลี่ยนสถานะ จากคนไม่รู้จัก กลายเป็นคนที่สนใจเรา (แต่ยังไม่ซื้อของนะ)
คนที่สนใจ
คนที่สนใจเรา คือกลุ่มคน ที่เล็งๆ เอาไว้แล้วว่า อยากจะถามเรา มีอะไรที่อยากรู้เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการของเรา แต่อาจจะยังไม่ได้เกิดความรู้สึก ลึกซึ้งมากเท่าไร
สิ่งที่จะเปลี่ยนให้คนเหล่านี้ เปลี่ยนไปอีกขั้น ก็คือ การให้ข้อมูล การนำส่งเนื้อหาที่มีคุณค่า ที่ทำให้เขาเห็นว่าเราคือคนที่สามารถช่วยเขาได้ ในเรื่องที่เขาสนใจ เชี่ยวชาญพอ น่าเชื่อถือพอ
เมื่อถึงระดับหนึ่ง ที่เขาติดตามมานานมากพอ เขาจะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าเราได้ต่อเมื่อ ได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจ มากพอ เช่น ลดราคา โปรโมชั่น ส่งฟรี
ลูกค้า
เมื่อเขาได้กลายมาเป็นลูกค้าของเราแล้ว
นี่คือ กลุ่มคนที่เราจะต้องทำดี กับเขาให้นานที่สุด
เพราะหากดูแล ได้ดี ไปนานๆ กลุ่มคนเหล่านี้ จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำมากที่สุด
และหากเราดูแลได้ดีมากพอ
กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ จะกลายมาเป็นสาวก ของเรา
สาวก
สาวก ก็คือ กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบ ชื่นชม และพร้อมบอกต่อให้คนอื่นๆ มาเป็นลูกค้าเราเพิ่มได้
กลุ่มคนเหล่านี้ เราควรมอบอะไรที่เหนือความคาดหมาย
บางครั้ง อาจจะให้ของเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นคุณค่าทางใจ ไปได้
กลุ่มสาวก พร้อมให้ความร่วมมือกับเรา ง่ายที่สุด แม้จะเป็นกิจกรรม ที่ดูยากลำบาก แต่ก็พร้อมจะทำให้เราได้เสมอ ดังนั้น ควรดูแลพวกเขาเหล่านี้ให้ดี
สรุป
หวังว่า เมื่อทุกคนได้อ่านบทความนี้แล้ว
จะทำให้เข้าใจ แนวคิด ของลูกค้าทั้งสี่ขั้นตอน
เพื่อตอบปัญหา คลาสสิกว่า
“ยิงแอดแล้ว ลูกค้าไม่ซื้อ เพราะอะไร?”
ปรับตัวใช้ออนไลน์ เพิ่มยอดขายยังไง แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง
ปรับตัวใช้ออนไลน์
เพิ่มยอดขายยังไง
แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง
ใครจะไปนึกว่า วันหนึ่ง
หนังฮอลลีวู้ดที่ว่าด้วยเรื่อง ซอมบี้ ไวรัส
ที่เราดูกันอย่างตื่นเต้นในโรงหนัง
จะกลายเป็นเหตุการณ์จริงบนโลกเรา
และสร้างความวิตก วุ่นวายกันขึ้นมาขนาดนี้
เมื่อเกิดวิกฤติ ไวรัสขึ้นมาจริงๆ
คนเราก็ต้องปรับตัวกันมากขึ้น
เมื่อออฟไลน์ อย่างเดียวเอาไม่อยู่
คนเราเลยต้องหันมาใช้ออนไลน์ ในการดำรงชีวิตมากขึ้น
มากจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ตอนนี้ เมื่อหลายๆ อย่างมันเงียบ
การให้เวลาตัวเองได้ศึกษา หรือ ซุ่มซ้อมด้านออนไลน์
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
แล้วเราควรรู้อะไรบ้างล่ะ เพื่อจะปรับใช้กันได้อย่างถูกทาง
บทความนี้ เขียนเอาไว้ เพื่อให้แนวทางสำหรับทุกคนที่กำลังมองหาเครื่องมือ
เพื่อปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ ที่กำลังคอนเฟิร์มว่า ออนไลน์คือคำตอบ
1 เปิดเพจ
faccebook คือชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว การันตีได้จากจำนวนคนใช้งาน 45 ล้านบัญชี เราใช้เวลากับการดูชีวิตเพื่อน ดูคลิป ตามข่าว แชร์ content กันเป็นว่าเล่น
ดังนั้น เมื่อคนอยู่ตรงนี้เยอะ การสร้างช่องทางให้ตัวเองใน facebook ก็คือ การเปิดเพจ
ไม่ว่าจะขายของ สร้างตัวตน
การเปิดเพจคือช่องทางที่ง่ายที่สุด
แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเปิดเพจ ก็คือ
เราจะนำเสนออะไร ในนั้น สิ่งนี้สำคัญกว่า
เพราะเปิดเพจ จะต่างจากเปิดเว็บไซต์
เว็บไซต์ทำมา ไม่ได้ update ยังพอเข้าใจได้ เพราะว่าเอาไว้สำหรับ ให้ข้อมูล หรือติดต่อ
แต่หากเปิดเพจมา แต่ไม่ได้ update เนื้อหา คนจะเข้าใจไปได้ทางเดียว ก็คือ
คุณไม่ทำธุรกิจนี้แล้ว
ดังนั้น สิ่งจำเป็นคือความขยันในการโพสต์ และต้องโพสต์ในสิ่งที่คนอยากอ่านด้วย
เราเรียกกันคำว่า การทำ content
แต่ content ที่ดีควรจะต้องขายตัวเราเองได้ด้วย ซึ่งต้องผสม เทคนิคทางการตลาดลงไปด้วย
สรุปง่ายๆ ก็คือ จะโพสต์อะไร คนต้องอ่าน และ ขายของได้ด้วย!
อันนี้ ยังไม่รวมถึงการทำโฆษณา facebook หรือที่เราเรียกกันว่ายิงแอดนะครับ 😉
อันนั้น ก็เป็นอีกศาสตร์ ที่ต้องทำความเข้าใจ!
2.ใช้ LINE Official Account
ไลน์ คือ เครื่องมือการสื่อสาร ของคนไทยตั้งแต่วัยรุ่น ยันวัยเกษียณ
มันกลายเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว เหมือนเราใช้โทรศัพท์มือถือ กันเป็นนิจสิน
ความน่าเชื่อถือ จึงสูงมาก
หลายคนบอกว่า ใช้ไลน์ขายของเหรอ เออ ไลน์ส่วนตัวก็พอแล้วมั้ง
ถ้าธุรกิจของคุณ ไม่ต้องใช้คนเยอะ หรือ ทำงานคนเดียว ได้ ไลน์ส่วนตัวก็น่าจะพอ
แต่ถ้า ธุรกิจของคุณ ติดต่อกับคนเยอะมาก
และ มีรายการธุรกรรมมากมาย ต้องใช้ แอดมิน หรือ ทีมงานมาช่วยตอบ
Line Official account คือคำตอบ (ขอเขียนสั้นๆ ว่า LINE OA)
เพราะ LINE OA ให้คนมาช่วยตอบได้
LINE OA สามารถยิงข้อความไปถึงคนเยอะๆได้ ภายในครั้งเดียว
LINE OA มีระบบคูปอง ระบบสะสมแต้ม
LINE OA สามารถเชื่อมกับระบบ LINE MY SHOP ระบบที่ทำให้คุณมีหน้าร้าน เหมือน shopee lazada ที่คุณเอาไว้ขายของเอง แต่เงินเข้ากระเป๋าทันที
นี่คือลูกเล่นบางส่วน ที่บอกเลยว่า น่าสนใจ
และเหมาะกับคนไทย ที่ชอบแชทก่อนซื้อ 😉
ปลคนทักผ่านไลน์ ส่วนใหญ่ความตั้งใจ ในการซื้อสูงกว่าทาง inbox facebook
3.ใช้ WordPress ทำเว็บ
สมัยก่อนจะมี social media
คนไทยคุ้นเคยกับการใช้เว็บ หากทำเว็บดีๆ ติดหน้าแรก Google คนก็จะตามมา ตลอด
เมื่อก่อนการทำเว็บ ดูเป็นเรื่องวุ่นวาย ใช้เงินเยอะ
วันนี้ ก็ยังเหมือนเดิม แต่งบประมาณ จะลดลงมา เพราะมีทางเลือกให้เรามากขึ้น
ตั้งเว็บสำเร็จรูป หรือ แม้กระทั่งจะทำเว็บเอง ก็มีเครื่องมือทรงพลังที่คนใช้กันอย่างแพร่หลาย
นั่นคือ WordPress
ทำไมต้องเลือกใช้ wordpress นั่นเป็นเพราะ
พอคนใช้เยอะ เวลามีปัญหา เราก็สามารถ หาทางออกได้เร็วกว่า
มีศาสตร์ มีคลิป สอนมากมาย ที่สามารถ search ได้
หรือจะ update ในระบบหลังบ้านสมัยนี้ ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
เพราะหน้าตา เหมือนกับการใช้ Program word ธรรมดา นี่เอง
ที่สำคัญ WordPress สามารถเชื่อมต่อกับ Woo-commerce ระบบ shopping cart ที่มีให้ใช้งานได้ฟรี
ปลการใช้ wordpress อาจจะมีความจุกจิก เพราะเป็นเรื่องเชิงเทคนิค ถ้าไม่อยากเสียเวลา ให้จ้างคนทำแต่ถ้าเรามีเว็บ ข้อดีคือ เราจะใช้งานร่วมกับการยิงแอด facebook ได้ดียิ่งขึ้น เราเรียกว่า Converion ads (ฟังให้รู้ก่อนนะครับ หากสนใจ ค่อยศึกษากันแบบลึกๆ อีกที)
4. ใช้ Google My Business
แม้ว่าคนจะออกบ้าน น้อยลง
แต่พิกัดหมุด หรือ สถานที่ต่างๆ ก็ยังมีความสำคัญ ต่อชีวิตประจำวัน
หากมีธุรกิจ แล้วอยากให้คน search ชื่อของเราเจอในอันดับต้นๆ และ ดูยิ่งใหญ่ สว่างสไว การทำ Google My business คือทางออกเลย
ข้อดีของ Google My Business คือ
- คนติดต่อหาเราได้ง่ายขึ้น
- ลูกค้าเก่า search ชื่อ แล้วกดแผนที่ สามารถเดินทางมาหา ธุรกิจของเราได้ / สามารถโทรหาเราได้
- ลูกค้าใหม่ สามารถทำให้เจอได้ หากใช้เทคนิค การใส่ keyword ที่คนค้นหาเกี่ยวกับธุรกิจของเรา ไปอยู่ในหมุดของเรา
- รู้ข้อมูลว่า ใคร search มาหาเรา มาจากไหน มาด้วย keyword อะไร?
แต่ทั้งหมดนี้ต้องเกิดการยืนยัน ธุรกิจผ่าน Google เสียก่อน
จะยังไม่ลงลึกวิธีนี้นะครับ (เพราะละเอียดพอสมควร)
5.ใช้ Market place อย่าง shopee หรือ Lazada
การซื้อขายสินค้า ในปัจจุบัน
หากเป็นของที่ไม่ต้องคิดมาก เช่น ขนม อาหาร แป้ง ของใช้ ที่ดูว่า คนใช้กันเยอะๆ
ไม่ต้องโฆษณามาก ก็กดสั่งซื้อแล้ว
คนไทยเราใช้ shopee กับ lazada เป็นหลักเลย
ดังนั้นหากสินค้าของคุณ ไม่ต้องใช้วิจารณญาณ ในการเลือกซื้อเยอะ
จึงแนะนำให้ศึกษาการ ขายของผ่าน market place เหล่านี้ครับ
ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องการยิงแอด แต่เน้นที่ ทำยังไง ให้คนมาให้คะแนนสินค้าของเราเยอะๆ ทำยังไง ให้ภาพน่าซื้อ เขียนยังไง ให้อยากสั่ง ทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจ สนใจเรื่องการส่ง การบริการหลังการขาย รวมถึงทริคต่างๆ ที่ทำให้ร้านของเรา เป็นที่รู้จักใน platform มากที่สุด
6.instagram
ถ้าอยากขายของที่ราคาแพงขึ้น หรือ ต้องการลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น
เราจะขายไลฟ์สไตล์มากกว่าสินค้า
ซึ่งสื่อที่กลุ่มคนเหล่านี้ นิยมใช้กัน ก็คือ instagram นั่นเอง
ดังนั้น หากจะเข้าใจคนกลุ่มนี้ได้ ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในโลกของ instagram
ดูเยอะๆ ทั้งการโพสต์ การเขียน การใช้ hashtag รวมไปถึงการใช้ stories ที่พลาดไม่ได้เลย
รวมทั้งเวลาการโพสต์ ว่าช่วงไหนที่คน ว่างๆ แล้วหยิบมือถือมาดู อันนี้ก็สำคัญ
สำหรับการใช้ instagram กับธุรกิจ บัญชีที่เลือกใช้ ต้องเป็นบัญชีแบบ Business เพราะจะสามารถดูสถิติต่างๆ ที่จำเป็นในการพัฒนาเนื้อหาของตัวเราให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
ปลตอนนี้ instagram สามารถตั้งเวลาโพสต์ได้เหมือน facebook เลยนะ แต่ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า facebook creator เข้ามาช่วย (รายละเอียดเยอะพอสมควร เขียนตรงนี้ไม่จบแน่นอน แต่ให้รู้ไว้ก่อนว่าทำได้ครับ)
7.twitter
นี่คือ social media ที่ถือว่า กระจายข่าวสาร และ ติดตามข่าวสารได้เร็วมาก แทบจะ real time เลยทีเดียว ส่วนใหญ่เราใช้ twitter ในการติดตามเทรนด์ใหญ่ๆ ในสังคม
ดังนั้น ส่วนใหญ่ จึงมักเป็นเรื่อง ข่าวใหญ่ ข่าวร้อนแรง การเมือง เรื่องดราม่า รถติด ไฟไหม้ น้ำท่วม
twitter จะมีรายงานอย่างรวดเร็วมากๆ
แต่ twitter ก็ขายของได้เช่นกัน แต่ต้องนำเสนอให้ถูกต้อง ถูกกลุ่ม
เพราะคนที่ใช้ twitter ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม gen Y
ที่เห็นขายแล้วประสบความสำเร็จ ก็คือ เครื่องสำอาง ขนม ของกินเล่น cafe ร้านกาแฟ ร้านอาหาร
ปลtwitter ก็ยิงแอดได้นะครับ แต่ผลตอบรับ จะขึ้นกับ content เป็นหลัก ถ้าทำได้ดี ยอดขายจะตามมา แต่ถ้า content ไม่ดี ทำให้ตาย ก็ไม่ขึ้นอย่างแน่นอน
และทั้งหมดนี้คือ แนวคิดบางส่วน
ของการปรับตัวใช้ออนไลน์ ยังไง แบบเร่งรัด ในยุคไวรัสครองเมือง!
จะเลือกใช้ facebook หรือ LINE ทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขายดี!! คำถามนี้ มีคำตอบ
จะเลือกใช้ facebook หรือ LINE
ทำการตลาดออนไลน์
เพิ่มยอดขายดี!!
คำถามนี้ มีคำตอบ
มี inbox หนึ่ง ได้สอบถามผม เกี่ยวกับเรื่องการตลาดออนไลน์ว่า
“จะใช้ facebook หรือ line oa ดีนะ จะเริ่มยังไงดี สับสน!”
.
คำถามนี้ ผมว่าคลาสสิก และ น่าจะเป็นประโยชน์
เพราะผมเองใช้ทั้งสองตัวนี้ ในการทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขาย
ให้กับตัวเอง และ เจ้าของกิจการหลากหลายแบบ
.
หากใคร สับสนอยู่ ให้คิดแบบนี้ครับ
.
1.หาลูกค้าใหม่ ให้ใช้ facebook
.
การหาลูกค้าใหม่ ให้กับธุรกิจของเรา
ต้องยอมรับว่า เครื่องมือของ facebook นั้น ยังทำได้ดี และยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากๆ เพราะ facebook เก่งในเรื่องการเก็บข้อมูลแบบ BIG DATA จากคนทั้งโลก
.
ดังนั้นกลุ่มความสนใจที่มีให้เรามาเลือกใช้งาน จึงถือว่าแม่นมาก
(แต่คุณต้องเข้าใจ พฤติกรรมผู้บริโภคด้วยนะครับ)
.
คนใช้ facebook เพื่อเข้าไปอัพเดทเรื่องราวใหม่ๆ ต่างๆ มากมาย ผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเอง
และโฆษณาที่ปรากฏในหน้า feed ของลูกค้า ก็เป็นสิ่งที่ลูกค้า ยอมรับได้ ไม่เบื่อ
.
แต่จะสนใจหรือไม่ ขึ้นกับการเขียน Content
ซึ่งต้องประกอบด้วย
A. ภาพที่ฮุก สะดุดสายตา
B. caption ที่โดดเด่น และ ดึงให้คนที่มีปัญหา หรือกลุ่มเป้าหมายของเรา ต้องอ่าน
.
ประกอบกับการส่งโพสต์นี้ไปหาลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
จะทำให้โฆษณาประสบความสำเร็จ!!
.
- เก็บลูกค้าเก่า เอาไว้ใน LINE Official
.
ต่อเนื่องจากการหาลูกค้าใหม่ ผ่าน facebook
เมื่อได้ลูกค้าเข้ามาทัก ผ่าน facebook แล้ว คุณต้องเก็บข้อมูล
ลูกค้าเอาไว้กับตัว ให้มากที่สุด
.
เพราะการทำธุรกิจ ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น
- รายชื่อลูกค้า
- เบอร์โทรลูกค้า
- อีเมล์ลูกค้า
- ไลน์ของลูกค้า
.
นี่คือ asset หรือสินทรัพย์ ในการดำเนินธุรกิจเลยครับ
.
รายได้ที่มั่นคง และ ต่อเนื่อง มักจะมาจากลูกค้าเก่าเสมอ ไม่เชื่อลองไปเช็คดูได้
.
อย่ามองหาแต่คนใหม่ๆ แต่ต้องรักษาและคุยกับคนเก่าให้ได้นานที่สุด
.
การเก็บข้อมูลเหล่านี้ ทำได้หลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็น
A.จดใส่กระดาษ
B.เก็บไว้ใน excel file
C.เก็บไว้ใน Google Sheet
.
แต่สำหรับผมแนะนำ Google Sheet ครับ เนื่องจาก ข้อมูลจะถูกเก็บเอาไว้บนระบบ cloud ไม่หายไปไหน. สามารถแชร์ให้คนอื่นๆ เข้ามาช่วยแก้ไข หรือ ดูข้อมูลได้ เหมาะมาก สำหรับการทำธุรกิจ
.
อีกทางหนึ่งในการเก็บข้อมูลลูกค้า ที่สำคัญ ก็คือ LINE Official Account ครับ
เพราะ คนไทยใช้ LINE ในการสื่อสาร ใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือไปแล้ว
.
ข้อดีของการใช้ LINE Official Account ติดต่อกับลูกค้าเก่า คือ
- หาได้ง่าย คุยกันสะดวก เร็วๆ
- ติดป้ายกำกับ ลูกค้าแต่ละคนได้ ว่าเป็นลูกค้าที่เคยคุยกันแบบไหน
- เขียนโน้ตกำกับแยกแต่ละคนได้ ช่วยให้ หาข้อมูลได้สะดวก เอาง่ายๆ เช่นเบอร์มือถือ วันเกิด แบบนี้ หาได้เร็วมาก ไม่ต้องมานั่งไล่ดูจากช่องแชท
- การบรอดแคสท์ไปหาลูกค้าเก่า ทุกคนสามารถ ทำได้ และทั่วถึง มี 100 ส่งครบ 100 มี 10,000 ส่งครบ 10,000 ซึ่งต่างจาก facebook ที่มี ติดตาม 10,000 จะเข้าถึงประมาณ 1 % เท่านั้น
. - เคล็ดลับหาลูกค้าคุณภาพ จาก facebook ไปเก็บใน LINE
.
อันนี้คือเทคนิค ที่ผมใช้งานจริง แล้วได้ผลจริง
มีคนคุณภาพ เข้ามาเพิ่มใน LINE Official Account แล้วขายของต่อได้เรื่อยๆ
.
ให้ใช้เทคนิคนี้ครับ
.
ติดลิงค์ LINE Official Account ไว้ที่ greeting message ของ inbox เพจ อยู่เสมอ เพราะหากคนที่สนใจ เวลาทักมาใน inbox แล้ว ต้องการใช้งาน หรือ อยากได้สินค้าเราจริงๆ จะ แอดไลน์มาทันที นี่แหละ คนที่เราต้องการจริงๆ
แถมให้
สำหรับกิจการออฟไลน์ แนะนำ ให้ติดตั้ง QRcode ไว้ในร้านของตัวเอง แบบนี้ก็จะเพิ่มคนได้ เช่นกัน แต่ที่เด็ดกว่า ก็คือ คนที่สะสมแต้ม หรือ รับคูปอง อันนี้น่าสนใจกว่า เพราะคนเหล่านี้ คือคนที่เอาเงินใช้จ่าย ซื้อสินค้าของเรา คนเหล่านี้ คือกลุ่มคนที่มีศักยภาพจริงๆ
.
ซึ่งหากใครขายของออนไลน์ ก็ใช้เทคนิคนี้ได้ ด้วยการแปะ qrcode เพิ่มเพื่อนไปใน กล่องสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่ยังไม่เคยแอดไลน์เรา ได้แอดไลน์ เพื่อแลกกับคูปองส่วนลดซื้อของในราคาพิเศษ อันนี้ก็จะได้คนคุณภาพจริงๆ ครับ
.
และทั้งหมดนี้ ก็คือ แนวทางเบื้องต้น เป็นน้ำจิ้ม สำหรับทุกคนที่สงสัยว่า
จะเลือกใช้ facebook หรือ line ในการทำการตลาดออนไลน์ เพิ่มยอดขายดี!
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
สภาพเศรษฐกิจ ที่มีแต่คนบอกว่าแย่ๆ ในทุกปี
ข่าวของโรงงานยักษ์ใหญ่ที่ถูกปิด
ข่าวที่พนักงานเป็นจำนวนมาก ไปรอหน้าโรงงานแล้วเจอกระดาษแปะว่า ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
ภาพข่าวเรื่องไวรัส ที่ทำให้คนเจ็บป่วยระบาดรุนแรง
ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบในวงกว้าง ไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นคุณเอง จะเลือกทำอะไร ระหว่าง
รอให้เศรษฐกิจแย่ไปเรื่อยๆ แล้วไม่ทำอะไร อ่านข่าวแล้วใจฝ่อไปทุกวัน
หรือ มองหาทางเลือกอื่นๆ ที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น หลายทาง ไม่รอความหวังจากแหล่งเดียว
เมื่อไม่นานมานี้ มีข้อความใน inbox จากน้องคนหนึ่ง ได้มาปรึกษาผมครับ
ว่าอยากขายของกินออนไลน์ และอยากขายไปทั่วประเทศ
จะต้องทำอย่างไรดี
ผมว่าเรื่องนี้ น่าสนใจดี
เพราะส่วนใหญ่ คนมักจะเลือกไปขายครีม ขายยา ขายอาหารเสริมกันซะมาก
จนลืมไปว่า ของกินเนี่ย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆ
เพราะทุกคนเกิดมาต้องกินอยู่แล้ว
มีมื้อหลัก ก็ยังมีมื้อย่อยๆ ได้
แล้วถ้าเป็นอาหารที่กินกับข้าวได้ อันนี้ ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่
เพราะว่ามันจะหมดเร็ว และซื้อซ้ำได้ (ถ้าอร่อยจริง อันนี้สบายไปเลย)
เลยอยากจะแชร์ แนวคิดการทำการตลาดออนไลน์ สำหรับของกิน ที่ส่งได้ทั่วประเทศ
ขอแบ่งเป็นแบบนี้ครับ
ไปรับมาขาย
แบบนี้ เหมาะสำหรับคนที่จะลองเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อน ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมาก คนที่มีงานประจำก็สามารถทำได้ เครื่องมือที่เราจะใช้ทำการตลาด ก็คือ เฟสบุ๊คส่วนตัว ของเรานี่แหละครับ แต่คุณควรจะต้องเป็นคนที่ สื่อสารกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลานะครับ
ไม่ใช่เฟสบุ๊คอวตาร ที่มีท้องฟ้า การ์ตูน แล้วเอาแต่บ่นๆๆ เรื่องชีวิต รอคนมากดไลค์ หรือ ให้กำลังเพียงอย่างเดียว
ถ้าเฟสบุ๊คคุณมี ภาพการใช้ชีวิตประจำวัน ไปไหนมาไหน มีเพื่อนฝูง comment ติดตาม แบบนี้ ก็พอไปรอดอยู่ครับ เอา
ยังไม่ต้องยิงแอดอะไรเลย ใช้ตัวเรา และต้นทุนของเราซื่อๆเลย
แต่ต้องมั่นใจว่า ของนี้ มันน่ากินจริงๆ แค่โพสต์ ก็มีคนอยากกินแล้ว
ถ้ากลัวว่าจะไม่มีเงินไปลงทุน
ก็ให้ใช้วิธีการแบบ preorder เอ้า ใครอยากกินอันนี้ บอกมา เดี๋ยววันจันทร์ จะเอามาขาย
ถ้าทำแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้อง ออกเงินไปซื้อของมาก่อน เพราะรู้จำนวนที่แท้จริงว่า เท่าไร
ถ้าไม่มีใครสั่ง ก็ไม่ต้องเอามาขาย จบ
ลองทำแบบนี้นะครับ
เริ่มจากเพื่อนใกล้ตัว ที่ทำงาน ก่อนก็ได้
หรือจะไปโพสต์ลงในเฟสบุ๊คกลุ่ม ที่เขาอนุญาต ก็ได้ แต่เราจะต้องมีความน่าเชื่อถือมากพอ และไม่ทำตัวเหลวไหล เนื่องจากในกลุ่ม จะมีกฏระเบียบข้อบังคับ หลายอย่าง ต้องทำตัวให้ดีๆ
หรือจะไปลงใน Market place ก็ได้ แถมยังสามารถทำโฆษณาได้แบบง่ายๆ ตามพื้นที่ได้ด้วย เพื่อเพิ่มการมองเห็น อันนี้ เหมาะสำหรับมือใหม่มากๆ ครับ ลองดูไม่เสียหาย
แต่ถ้าเราชำนาญมากขึ้น มีส่วนต่างมากพอ จะไปเปิดเพจ เพื่อขายเป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ แต่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะต้องไปลงทุนเรื่องการทำ content เนื้อหา และการยิงแอดเพิ่มเติม
หากไม่ถนัดเรื่องการยิงแอด ก็สามารถไปสมัครขายใน shopee ได้ แต่จะมีค่าธรรมเนียมขายของเมื่อมีคนมาซื้อ สิ่งที่ควรศึกษาหากจะลงมือทำ shopee ก็คือ การเตรียม stock สินค้า และค่าขนส่ง ซึ่งต้องคำนวณให้ดี ไม่งั้นเข้าเนื้อตัวเอง
ทำขายเอง
ถ้าเป็นคนที่ทำธุรกิจของกิน ก็มักจะมีการลงทุน ลงแรง เพื่อสร้างผลกำไรอยู่แล้ว
ดังนั้น ประสบการณ์ของคุณ น่าจะผ่านจุดที่ไปรับของมาขายไปเยอะแล้ว
อันดับแรก ให้เช็คเรื่องกำไรสินค้า ว่ามีส่วนต่างมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ประมาณการณ์ ได้ว่า เราควรมีต้นทุนเท่าไร ในการทำโฆษณา ขนส่งสินค้า
ส่วนเครื่องมือที่จะใช้ แนะนำว่า ถ้าถนัดเรื่องการทำเนื้อหา การยิงแอด ก็ให้เลือกใช้เพจในการทำการตลาดครับ
เนื้อหาที่ใช้ในการขายของ จะต้องทำให้คนเกิดความอยาก ที่จะซื้อสินค้าของเรา
ถ้าจะมาจัดห่อสวยงาม วางสวยๆ แบบนี้ เหมือนโฆษณาเกินไป
สิ่งที่ควรทำ คือ ให้นึกถึงตอน ที่เราทำกับข้าว หรือ กินข้าว ภาพแบบไหน เสียงแบบไหน ที่ทำให้เรารู้สึกอยากกินจนน้ำลายสอ
ให้เอาประสบการณ์นั้น มาถ่ายทอด ให้คนดูโฆษณาของเรา อยาก แล้วมาสั่งของกินกับเรา
ลองดูทั้งแบบภาพ และ video
แต่ถ้าอยากรู้ว่า video ที่ทำออกมาแล้ว น่ากินเป็นยังไง ให้ไปเปิด tiktok แล้ว search คำว่า อร่อย น่ากิน คุณจะเจอไอเดีย ทำ content น่ากินเพียบ ส่วนใหญ่ ทำออกมาแล้วน่ากิน คือคลิปคนจีนกินอาหารครับ
และถ้าอยากสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าประเภทของกิน ที่ดูจะเหมือนกันไปหมด
การสร้างแบรนด์ คือสิ่งสำคัญ
การให้ Blogger มาช่วยรีวิว ก็จะสร้างกระแสให้คนจำได้ว่า ถ้าอยากกินของแบบนี้ ต้องเลือกกินยี่ห้อ นี้ เพราะว่า มันอร่อย กำลังดี พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างไร
ถ้าดีที่สุด มีงบ ก็ควรจ้าง Blogger ประเภท youtuber หรือคนที่มีเว็บไซต์ด้วย เพราะเวลาคนหาชื่อแบรนด์ของเรา รีวิวในนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเราในระยะยาว
แต่ถ้าสินค้าเข้าใจง่าย จนแทบไม่ต้องบอกอะไรมาก การใช้ shopee ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนี้ จิ้มซื้อของผ่านแอพนี้กันเป็นเรื่องปกติ เพราะมีระบบ แจ้งสถานะ ชัดเจน ว่าส่งถึงเมื่อไร
สิ่งสำคัญในการขายผ่าน shopee ก็คือคะแนนดาว รีวิวจาก User ดังนั้น ซึ่งหากอยากทำคะแนนนี้ ให้ได้สูงๆ ตัวสินค้า และบริการจะต้องประทับใจมากๆ
และทั้งหมดนี้คือ ไอเดียโดยรวม ที่ทำให้คุณเห็นภาพของการขายของกินทั่วไทย ผ่านออนไลน์
หากวันนี้ อยากเริ่ม
ลองดูสักตั้งครับ
ดีกว่านั่งรอดูสัญญาณเศรษฐกิจพังไปทุกวัน ให้ใจห่อเหี่ยวไปเปล่าๆ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
.
หลังจากที่ LINE ได้ออกมาประกาศว่า
จะเปิดให้ User ที่ใช้ LINE OA ได้ลงโฆษณา ได้ด้วยตัวเอง
ทำให้หลายคน ตื่นตัว และอยากรู้ว่า ทำงานอย่างไร
.
ล่าสุด มีข้อมูล Update รายละเอียดการโฆษณาผ่าน LINE ที่มากขึ้นกว่าเดิม
จาก LINE Business โดยตรงจากลิงค์นี้
ทำความรู้จัก LINE Ads Platform และ 4 เหตุผลที่ต้องใช้ถ้าอยากให้ธุรกิจโต
.
ผมเลยขอกล่าวถึงโฆษณาของ LINE ที่เราจะมาทำโฆษณาได้เอง รวมทั้งเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้า
ดังนี้ครับ
.
จะมีคนเห็นโฆษณา มากน้อยแค่ไหน?
คนเข้าใช้งาน LINE นอกจากการแชท
ก็มักจะอ่านบทความใน LINE TODAY เสมอ ซึ่งมียอดวิวที่ 2500 ล้านต่อเดือน ถ้าเทียบกับคนใช้งาน LINE 44 ล้านคน ก็เท่ากับ เข้ามาดูคนละ 56 วิวต่อเดือนเลยนะครับ
.
ตำแหน่งโฆษณา ในไลน์อยู่ตรงไหน?
.
เรามาดูกันก่อนว่า ตำแหน่งโฆษณาของ LINE นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
.
1. Timeline : อยู่ในหน้า timeline ถ้าเปรียบไป ก็เหมือน newsfeed ของ เฟสบุ๊คเลยครับ ซึ่งคนใช้ไลน์ ก็มักจะโฆษณากันตรงนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
2. Article page end0 / Article page end1 / Article page end2 อยู่ด้านท้ายของบทความ เป็นหลักเลยครับ ถ้าในเฟสบุ๊ค เราจะเห็นลักษณะของโฆษณาแบบนี้ อยู่ใน instant article บ่อยๆ
3. Top Page Top2 / Top Page Top3 : อยู่ด้านบนของบทความใน LINE เป็นหลัก
วัตุประสงค์ในไลน์ มีเหมือนเฟสบุ๊คมั้ย
เฟสบุ๊ค มี 11 objective
.
– Awareness สร้างการรับรู้
> Brand awareness
> Reach
.
– Consideration การตัดสินใจ
> traffic
> engagement
> app install
> video view
> lead generatio
> message
.
– Conversion การลงโฆษณาเพื่อสร้างผลลัพธ์ชัดเจน
> Conversions
> catalog sales
> store traffic
.
สำหรับ LINE Ads platform มี 4 objective โดยแบ่งออกเป็น
1. การรับรู้แบรนด์ และ Awareness
แบ่งออกเป็นเรื่องของ
1.1.การเข้าถึง และ ความถี่ : เราสามารถเลือกให้แต่ละคน เห็นโฆษณาของเราได้มากน้อย แค่ไหน เลือกความถี่ได้ตามความต้องการ ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดีนะ ขนาดเรายังเบื่อเลยที่เห็นโฆษณาอัดๆๆถี่ๆๆ
.
ซึ่งเทียบได้กับ Reach ใน เฟสบุ๊คนั่นเอง
.
1.2.การเยี่ยมชมเว็บไซต์ : เหมาะสำหรับการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลของสินค้า หรือบริการที่เรามีอยู่ ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้น มีการเก็บ pixel และ google analytics ก็จะเป็นข้อดีเข้าไปอีก เพราะสามารถเก็บฐานข้อมูลของคนจาก platform ไลน์ ไปใช้งานเพิ่มได้อีก
.
เทียบได้กับ Traffic หรือการเยี่ยมชม ในเฟสบุ๊ค นั่นเอง
.
2. เพิ่มฐานลูกค้า
มีสองแบบ นั่นคือ
.
2.1 เพิ่มคนใน LINE OA ของเราให้มากขึ้น เพื่อเอาไว้ ส่งข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ได้ในภายหลัง
.
เทียบได้กับ engagement แบบเพิ่มคนติดตาม ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
2.2 ให้คนดาวน์โหลด application : อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี application แล้วอยากเพิ่ม member ตอนนี้ ไลน์เปิดโอกาส ให้คุณในช่องนี้แล้วจ้า
.
เทียบได้กับ App installation ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3. เพิ่มยอดขาย
มีสองแบบ คือ
3.1 ซื้อของ (website conversion) : ตัวนี้ จะต่างจากการเข้าชมเว็บไซต์ ตรงที่ เราสามารถเก็บข้อมูล คนที่เคยคลิก หรือเคยซื้อ ผ่าน platform LINE เพื่อไปทำการ Retarget ได้อีกครั้ง (เออ อันนี้น่าสนใจ)
.
เทียบได้กับ Conversion ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3.2 ใช้งาน application : ปกติคนใช้งาน application ถ้าโหลดมาแล้ว บางครั้ง อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน การโฆษณาไปเด้งเตือนให้ User กลับมาใช้งาน ใน platform ที่เขาคุ้นเคย จึงเป็นอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยได้
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
4. รักษาฐานลูกค้าเดิม
ทางไลน์ใช้กระบวนที่เรียกว่า การนำเสนอสินค้าแบบไดนามิก : เป็นการแสดงสินค้าเฉพาะบุคคล คือ personalization มากขึ้น ไม่ใช่โฆษณาแบบหว่าน ซึ่งจะเพิ่มโอกาส ให้คนซื้อสินค้านั้นๆ เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
กลุ่มเป้าหมาย ในไลน์มีกี่แบบ
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน LINE สามารถแบ่งได้ตาม
– อายุ
– เพศ
– พื้นที่
– OS เลือกได้ว่าจะเป็น iOS หรือ Android
– ความสนใจ อาทิ แฟชั่น ความงาม บันเทิง ท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงิน (คาดว่าน่าจะมาจากการคลิกดูข้อมูล ของคนที่ใช้ไลน์)
.
Custom audience
นอกจาก กลุ่มเป้าหมายแบบปกติ ที่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ทางไลน์ ยังพัฒนาให้เราสามารถ โฆษณาโดยทำ custom audience ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง จากการเข้ามาใช้งานใน LINE OA เว็บไซต์ หรือ applicaton (หากใครเคยทำ custom audience ในเฟสบุ๊คมาก่อน น่าจะเข้าใจไม่ยาก)
.
ที่สำคัญ custom audience สามารถนำมาสร้าง เป็น Look a like audience ได้ด้วย (ใครเคยทำในเฟสบุ๊ค มาก่อน ถือว่าได้เปรียบ)
รูปแบบการซื้อ โฆษณาในไลน์ คิดราคายังไง
การซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่ เราจะคุ้มชินกับหน่วยของ CPM เป็นหลัก นั่นคือ คนเห็น 1000 ครั้ง เสียเงินกี่บาท (จริงๆ มีแบ่งเยอะกว่านั้น เช่น cost per engagement / cost per click / cost per like หรือ cost per conversion เป็นต้น)
.
สำหรับ LINE นั้น การซื้อโฆษณา มีให้เลือกสามแบบ นั่นคือ
1. การเห็น นับเป็น CPM (Cost per 1,000 impression จริงๆ คำว่า M ย่อมาจาก Mille ที่แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน)
2. การคลิก นับเป็น CPC (Cost per click)
3. การเพิ่มเพื่อน นับเป็น CPF (cost per friends)
.
สรุป
ข้อดี
– สำหรับคนที่ใช้ LINE ในการสร้างยอดขายอยู่แล้ว ก็จะลดขั้นตอนการติดต่อผ่าน เอเจนซี่
– เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่ใช้งาน เฟสบุ๊คมาเป็นเวลานาน แล้วอยากลอง platform อื่นๆบ้าง
สิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด
– ราคาในการสร้าง campaign จะถูก หรือ แพง ยังไม่มีใครทราบ แต่หากราคาออกมาแพง ก็จะเป็นการคัดให้เหลือผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้เงินโฆษณา เพื่อสร้างยอดขายน้อยลง (อันนี้ คาดเดาจาก ตอนที่ขายผ่าน เอเจนซี่ แล้วเริ่มต้นที่หลักหมื่นต่อเดือน)
– กฏระเบียบต่างๆ จะมีมากเท่าเฟสบุ๊คมั้ย ยังไม่มีระบุออกมา แต่อย่างน้อย การควบคุมคุณภาพ ให้ผ่านเกณฑ์ คือเรื่องสำคัญ ที่ไลน์ต้องกำหนด
– ซื้อได้มากน้อยแค่ไหน มีลิมิตหรือเปล่า อันนี้ยังไม่ได้ระบุ
– โฆษณาจะกระจายไปยังต่างประเทศ หรือ ประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ อันนี้ ยังไม่มีระบุออกมา เพราะเท่าที่มีข้อมูล ตอนนี้ คนลาว ใช้ whatsapp มากกว่า LINE (แต่สำหรับอนาคต นั้นยังไม่แน่)
.
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทางผมจะนำเสนอให้ทราบกันในลำดับต่อไปนะครับ 😉
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ แต่ค่าแอดถูกกว่าเดิม 80% ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจ ไลค์ละ 60 สตางค์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
สำหรับคนทำเพจ
ใครๆ ก็อยากมีคนติตตามเยอะๆ เพราะว่ามันดูดีกว่า
บางคนอยากเห็นผลลัพธ์เร็วๆ ก็ไปเสียเงินจ้างคนปั๊มไลค์
เพราะว่าถูกดี
ผลสุดท้ายเป็นไง โอ้โฮ แม่เจ้ามีแต่ฝรั่งมังค่า อิสราเอล อินเดีย บังคลาเทศ
แถมยังเป็นวัยรุ่น ที่ไม่ได้ มีความสนใจสินค้า บริการเราเลย
ซื้อไปแบบนี้ ก็มีแต่ขาดทุน
เลิกๆๆๆ เลิกความคิดแบบนั้น แล้วขอให้หันมาใช้แนวคิดใหม่
ที่จะทำให้คุณมีเพจคุณภาพ ใช้งานกัน
ด้วยการทำโฆษณากับ facebook นี่แหละ
แต่การที่จะทำให้ได้คนคุณภาพ หลายคนก็บอกว่า
ช่างยากเหลือเกิน หลายบาทแท้เหลา
โอย ไม่ไหวๆๆ
ปัญหาที่คุณประสบพบเจอนี้้จะหมดไป
เพราะผมจะขอแชร์เทคนิค การทำโฆษณาติดตามเพจ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าเดิม
ซึ่งผมเองใช้ได้ผลมาแล้ว กับหลายเพจ ทั้งเพจขายของ เพจไลฟ์สไตล์
ทุกบาทที่จ่ายคือความคุ้มค่า!
อยากได้เทคนิค ทำโฆษณาให้คนติดตามเพจแบบมีคุณภาพ
คลิกดูคลิปนี้โดยพลัน!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ลูกค้าเก่าชอบสั่งของทาง LINE มากกว่า Facebook จริงหรือ
ลูกค้าเก่าชอบสั่งของทาง LINE มากกว่า Facebook จริงหรือ
มีหลายคนเคย inbox มาถามผมนะครับ
ว่าจะเลือกใช้อะไรในการทำการตลาดออนไลน์หรือขายของดี
ระหว่าง Facebook กับ LINE
( LINE ในที่นี้หมายถึง LINE@ หรือว่า LINE official account นะครับ)
จากประสบการณ์ที่ได้ทำเองมาแล้ว
พบว่าลูกค้าที่มีการซื้อซ้ำบ่อยๆ
มาจากไลน์ประมาณ 80%
ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมากนะครับ
แล้วทำไมคนถึงเลือกที่จะสั่งผ่านไลน์มากกว่าผ่านทาง facebook
นั่นเป็นเพราะว่าไลน์เป็นเครื่องมือสื่อสารบนโทรศัพท์มือถือที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด
สะดวกรวดเร็ว และคุณชินมากกว่าการใช้ messenger ของฟรี
ผมไม่เถียงนะครับ
ว่าตอนแรกเนี่ยเราจะต้องไปหาลูกค้าใน Facebook
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
เพราะ Facebook คือเครื่องมือสื่อสาร ที่คนชอบดูชอบแชร์
เพราะจะเจออะไรใหม่ๆเข้ามาใน platform นี้เสมอ
ฉันจะมีเครื่องมือในการทำโฆษณาเยอะแยะมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวีดีโอหรือแม้แต่ลิงค์เข้าไปในเว็บไซต์ก็ตาม
รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาก็มีมากมายถึง 13 วัตถุประสงค์ด้วยกัน
แต่เมื่อได้มาเป็นลูกค้ากันแล้ว
ส่วนใหญ่เวลาจะกลับมาซื้อมักจะทักทาง LINE@ ที่เราได้ส่งไปให้เสมอ
ลูกค้าที่อยู่ใน Facebook inbox จะมีกลับมาบ้างแต่ไม่เยอะเท่ากับ LINE@
แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้
เคล็ดลับของมันอยู่ตรงนี้ครับ
ทุกครั้งที่ลูกค้ามีการทัก inbox มา
แสดงว่าเขามีความสนใจหรืออยากได้สินค้าเรามากๆอยู่แล้ว
(ยกเว้นว่ามือลั่นนะครับ)
ผมเลือกที่จะใส่ลิงค์ LINE@ ไปไว้ในข้อความต้อนรับอยู่เสมอ
ซึ่งถ้าลูกค้ายอมกดลิ้ง LINE@ เพื่อมาคุย
แสดงว่าเขามีความต้องการสินค้าหรือบริการขึ้นไปอีก 1 Step
นี่คือการคัดกรองลูกค้าคุณภาพโดยไม่ต้องใช้กำลังภายในเลย!!
และลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าหรือบริการของเราผ่านทาง LINE@
เมื่อประทับใจก็จะกลับมาสั่งสินค้าของเราอีกครั้งผ่านช่องทางนี้อยู่เป็นประจำ
เพราะมันง่ายอยู่ใกล้มือ
ข้อสังเกตหนึ่งของผมนั่นก็คือ รายชื่อของร้านค้าที่ปรากฏอยู่บน Line
มัน มันหาง่ายกว่า Facebook
นี่คือหัวใจที่ลูกค้าติดต่อเรา ผ่าน LINE@ มาได้ง่ายกว่า
สรุปนะครับ
ถ้าเราต้องการหาลูกค้าใหม่ให้ใช้ Facebook
แต่ถ้าต้องการสื่อสารกับลูกค้าเก่าให้เลือกใช้ Line@
แต่ว่าตอนนี้ LINE@ จะเปลี่ยนเป็น LINE official account แล้วนะจ๊ะ
มกราคม 2563 นี้ได้ย้ายกันทุกคน
ยังมีเวลาเรียนรู้ก่อนในช่วงท้ายปี ไปโหลดมาลองทำให้คุ้นชินคุณมือ
เพราะว่าหน้าตาต่างกันไปหมด ไม่เหมือนของเดิมเลยจ้า
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะให้ระลึกเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เราไม่สามารถต้านทานได้
เราจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับมันได้อย่างรวดเร็วที่สุด
ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะถูกทิ้งไว้ภายหลัง
ชีวิตต้อง Move On นะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
4 เทคนิครับมือ เมื่อ Facebook จำกัดการทำโฆษณาครึ่งปี 2020
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีการประกาศจากวิศวกรของ Facebook ว่า หลายๆเพจมีการทำโฆษณาเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งจะมีโฆษณาส่วนใหญ่โดนถอดออกในระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ของระบบ AI Facebook
( ถ้าใครทำโฆษณาบ่อยๆจะสังเกตเห็นคำว่า ระบบกำลังเรียนรู้ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ Facebook พยายามเรียนรู้ที่จะส่งโฆษณาออกไปหากลุ่มเป้าหมายให้ดีที่สุดสำหรับแคมเปญนั้นๆ)
และส่วนมากจะเป็นการปิดโฆษณาก่อนที่ระบบจะทำงานให้ได้ผลเต็มประสิทธิภาพ
จึงมองว่าน่าเสียดายงบประมาณที่ใส่เข้ามาในระบบ
ทาง Facebook จึงได้พัฒนา ระบบ Marketing API v5.0 และ Graph API v5.0
จึงได้พัฒนาเพื่อช่วยวิเคราะห์ผลการทำงานของโฆษณาให้กับคนที่ลงโฆษณาทั้งหลาย
โดยทั้งช่วยลดจำนวนโฆษณาที่มากเกินไปในระบบด้วย
หากคุณ เป็นคนที่ลงโฆษณาเยอะๆแล้วใช้ adset เป็นจำนวนมากๆ แล้วประสบความสำเร็จ
นี่ถือเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
แล้วเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ผมขอเสนอเทคนิคที่จะทำให้คุณอยู่รอดและอยู่ร่วมกับสิ่งที่ Facebook กำลังจะพัฒนานี้
1. เร่งสร้างฐานคนติดตามที่มีคุณภาพให้มากที่สุด
การมีคนติดตามที่มีคุณภาพ แม้เราไม่ได้ยิงโฆษณาออกไป แค่โพสต์ บางครั้งก็ขายของได้แล้ว ดังนั้นคุณควรใส่ใจกับการหาคนติดตามที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณเหมือนเมื่อก่อน
2.รีบทดสอบกลุ่มเป้าหมายในขณะที่ยังทำได้อยู่ ณ ตอนนี้
เมื่อช่วงนี้สามารถทำการทดสอบกลุ่มเป้าหมายได้หลายๆกลุ่ม ก็ให้ใช้เวลาที่ยังมีอยู่ เรียนรู้ศึกษาและปรับปรุงอยู่เสมอ จะทำให้คุณเข้าใจวิธีการทำการตลาด กับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง กับสินค้าหรือบริการของคุณได้ดีมากขึ้น
3. เก็บข้อมูลลูกค้าที่สามารถติดต่อในช่องทางอื่นได้ให้มากที่สุด
คนส่วนใหญ่มักจะหาลูกค้าใหม่ๆอยู่เสมอโดยลืมไปว่ารายได้ที่เกิดมากที่สุด คือการซื้อซ้ำกับลูกค้าเดิม ดังนั้นครั้งต่อไปให้เน้นเก็บข้อมูลอีเมลและเบอร์โทรของลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อนำไปใช้ติดต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ ถ้าจะง่ายที่สุดก็ยกหูโทรหากันก็ได้นะ เพราะค่าโทรศัพท์ถูกกว่าค่ายิงแอด
4. ทำ Content เนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงให้กลุ่มคนติดตามยังอยู่กับเรา
พยายามปรับตัวด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่าให้กับกลุ่มคนติดตามของเราอยู่ตลอดเวลา จะทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่ากำลังถูกขายของอยู่ตลอดเวลา
สรุป
และเหนือสิ่งอื่นใด
สิ่งที่ Facebook จะพัฒนาขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นดึงให้ผู้ใช้ส่วนมากยังอยู่ในระบบของ facebook ต่อไปนานๆ
ดังนั้นการเรียนรู้และทำใจ ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้ก้าวทันอยู่เสมอ
คือสิ่งที่ควรระลึกไว้มากที่สุด
ก็นี่คือ plaform ของ facebook
เราคือผู้ใช้งานระบบของเขา
พยายามมองหาแพลตฟอร์มอื่นๆมารองรับ ช่วยกันเสริมธุรกิจของคุณ
อย่ายึดติดกับเพียงแค่ platform เดียว
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook
80/15/5 สูตรลับทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
80/15/5 สูตรลับ ทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
ทุกวันนี้คุณทำเพจเพื่อธุรกิจออนไลน์ ทำเพจขายของ
หากวันนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายในการยิงกันมากมายแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ที่คุณอาจจะลืมนึกไป
วันนี้ผมมีเทคนิคเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพจเดิมของคุณ
ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น
หากทำตามสูตรนี้
รับรองว่าลูกค้าจะอนุญาตให้คุณขายของเขาได้เลย!!
ซึ่งสูตรลับนี้ ผมได้เรียนมาจาก อ.เอเทน (Aten) และ อ.อั๋น
มาดูกันเลยครับว่าสูตรลับนี้ มีเคล็ดลับอย่างไร
สูตรลับที่ว่านี้ก็คือ 80/15/5
ตัวเลขแต่ละตัวที่กล่าวมานั้นเมื่อรวมกันก็คือ 100
เรามาขยายความตัวเลขแต่ละจำนวนกับดีกว่าครับ
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
- 80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
- 15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
- 5 : ช่วงขายของ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
ทุกวันนี้ Content ที่อยู่บนเพจของเราหน้าตามันเป็นยังไงครับ
เราขายของกันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเอ่ย
มันไม่ผิดนะที่เราจะขายของเพราะเราทำเพจขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการหารายได้ให้กับตัวเอง
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราอยากบอก
ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง
เพราะคนติดตามเพจของเราต้องการได้รับเนื้อหาอะไร ที่มีคุณค่ากับเขา
สังเกตว่า Content ที่มีคุณค่าจะมีคนกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ไปจนกระทั่งการแชร์
ก็เขาบอกว่า Content นี้มีความหมายและมีคุณค่ามากพอ
ลองกลับไปดูเพจของตัวเองนะครับ ว่ามีคนแชร์โพสต์ไหนของคุณมากที่สุด
นั่นคือคุณค่าที่คนติดตามหรือคนอื่นเขามองเห็น
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าวันนี้คุณขายสินค้าเป็น ผงชาเขียว
คนที่กำลังมองหา ผงชาเขียว อยู่แล้ว อาจต้องการเพียงสินค้าตัวอย่างเพื่อลองไปใช้ และรอคอยข้อเสนอราคาที่เหมาะสม
แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่รู้ว่า ผงชาเขียว เอาไว้ทำอะไร
จะไม่ได้สนใจแล้วมองผ่านเลยไป
จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราสามารถทำให้คนไม่ได้สนใจ ผงชาเขียว
หันมาสนใจ จนเกิดความอยากได้ และติดต่อซื้อผงชาเขียวจากเรา
เราสามารถส่งต่อเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผงชาเขียวได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น
ประโยชน์ของชาเขียวที่มีต่อสุขภาพ
สูตรทำขนมที่ทำจากผงชาเขียว
สูตรทำเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาเขียว
รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายเมนูที่ทำจากชาเขียว
สังเกตว่าเรากำลังพูดถึงประโยชน์ ของผงชาเขียว ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้
เมื่อเรานำมาขยี้ ให้เห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผงชาเขียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็จะเกิดความต้องการ ผงชาเขียวขึ้นมา
อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เราทำไม่เคยทำเนื้อหา แบบนี้!
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
คนส่วนใหญ่เวลากดโฆษณาใน Facebook มักจะเข้ามาดูเนื้อหาที่โพสต์เอาไว้ในเพจเสมอ
หาเพจของคุณไม่เคยมีตัวอย่างของ
คนใช้สินค้าหรือบริการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า
ภาพของตัวคุณเองกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่ามีเฉพาะ
โพสต์ขายของอย่างเดียว
สรรพคุณของฉันดีอย่างไร
คนที่เข้ามาดูเพจจะรู้สึกอย่างไร
หาโพสต์ที่สร้างคุณค่าอยู่มากพอแล้ว
ลองเพิ่มโพสต์ที่ทำให้คนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
คนที่ติดตามจะมั่นใจมากขึ้น
แล้วส่วนใหญ่มักจะซื้อตามแบบ ที่คุณขึ้นในโพสต์แบบนี้
– มีโพสต์ภาพแบบซื้อยกลัง ก็จะมีคนซื้อตามแบบ
– มีโพสต์ว่าซื้อแบบขายปลีกได้ ก็จะมีคนซื้อตามแบบขายปลีก
สิ่งที่คุณโพสต์ไปแบบไหน
คนก็จะทำตามสิ่งที่คุณโพสต์
5 : ช่วงขายของ
เมื่อคุณให้คุณค่ากับคนติดตามได้มากพอแล้ว
เขารู้จักคุณมากพอแล้ว
เขารู้ว่าคุณคือตัวจริงในธุรกิจนี้
หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้คุณค่ามาตลอด
เขาจะไม่ปรึกษาใคร
แต่จะมาปรึกษากับคุณ
ในวันที่คุณเอ่ยปาก
เสนอขายหรือยื่นข้อเสนอให้กับเขา
วันนั้นความลังเลหรือสงสัย
แทบจะไม่มีเลย
เพราะเขาอนุญาตให้คุณขายของเขาได้
อย่างน้อย ก็ตัดสินใจได้เร็วกว่าวันแรกที่ไม่เคยรู้จักคุณเลย
ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
ผมคิดว่า มันจะมีประโยชน์ ในการทำเพจ ของคุณเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อย
ก็มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่าน Content นี้ 😉
สรุป
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
5 : ช่วงขายของ
ลองนำไปใช้กันะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt