ยิงแอด Facebook แล้วไม่ดู Report เหมือนเอาเงินไปโยนทิ้ง! รวมตัวชี้วัด ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้จัก ถ้าไม่อยากยิงแอดขาดทุน
การดู Report Facebook เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เราคิด!!
การทำโฆษณา หรือ การยิงแอดนั้น คือการนำพา Content ที่เราพูดถึงสินค้า และบริการ ออกไปหากลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
.
การยิงแอด คือต้นทุนในธุรกิจของเรา ถ้าเราลงมือทำอย่างเดียว แต่ไม่ดู Report Facebook เลย ก็เหมือนกับการเอาเงินไปโยนทิ้ง ไม่มีประโยชน์อะไร
.
พี่นุกเลย ขอแชร์ ความหมายของตัวชี้วัด ในการยิงแอด Facebook มาให้ครับ
เพื่อนำไปปรับปรุงในการยิงแอด ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
1.CPM
ย่อมาจาก Cost per mille หรือ ค่าใช้จ่ายต่อการแสดงผล 1000 ครั้ง ขึ้นอยู่กับ การแข่งขันของอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน เช่น skincare มีการแข่งขันสูง CPM ก็สูงตาม
กับอีกแบบหนึ่ง ก็คือ วัตถุประสงค์ไหนที่คนใช้กันเยอะ ก็ต้องไปแข่งกันเยอะ จึงทำให้ค่าแอดแพง ยกตัวอย่างเช่น คนไทย ยิงแอดทักข้อความ ด้วยภาพนิ่ง เยอะ ดังนั้น ราคาจึงสูง
.
แต่ถ้าทางใช้ Reels ในการยิงแอด มันจะได้ CPM ที่ถูกกว่า เพราะคนทำน้อย
.
พอเห็นภาพหรือยังครับ?
2. Impression
การแสดงผลของโฆษณา อันนี้ เป็นตัวชี้วัดที่ง่าย ที่สุด การมองเห็นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ โฆษณาของเราทำงานปกติ ถ้าไม่มี Impression แสดงว่า กลุ่มเป้าหมายของเรา อาจจะแคบเกินไป หรือ โฆษณาไม่ผ่านการอนุมัติ นั่นเอง
3.CTR
ปกติ เวลาเราทำโฆษณา ก็ต้องมีการกดคลิก Banner หรือ Content อยู่แล้ว แต่ถ้าเอาแต่จำนวนคลิก มาวัดผล เปรียบเทียบกัน ก็อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์
.
ดังนั้น ตัวชี้วัด แบบ CTR จึงเข้ามาช่วยตัดสิน เพราะ CTR ย่อมาจาก Click Through Rate (อัตราส่วนการคลิกผ่าน) มันคือการเอา จำนวนคลิก หารด้วยการแสดงผลของโฆษณา
.
ถ้า CTR สูง แสดงว่า โฆษณานั้นน่าสนใจจนคนคลิก แต่ถ้า CTR ต่ำ แสดงว่า โฆษณาไม่น่าสนใจเลย ต้องไปปรับปรุงนะครับ
.
4. ต้นทุนต่อการซื้อ Cost per Purchase
หากเป็นเมื่อก่อน เวลายิงแอด เรามักจะมาโชว์ ต้นทุนต่อการทักแชท ที่ถูกแบบสุดๆ ใครทำได้ราคาถูก ก็จะภูมิใจ แต่จริงๆแล้ว เราควรจะวัด ต้นทุนต่อการซื้อดีกว่า
เพราะมันบ่งบอกว่า มีคนซื้อสินค้าของเราจริงๆ
.
5. ค่า Conversion การซื้อ
นี่คือตัวชี้วัด ที่เราควรคิดถึงมากที่สุด เพราะมันคือ ยอดขายที่ลูกค้าชำระเงินให้กับเรามา ถ้าอยากจะเห็น ค่า Conversion การซื้อใน Report
.
ทุกครั้งที่เรารับยอดจากลูกค้าผ่านทาง inbox ต้องทำการ ใส่ยอดเงินให้ถูกต้องตามจำนวนที่ลูกค้าโอนมา แล้วกด Mark As paid ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันการชำระเงิน
.
6.ROAS
ค่านี้ คือตัวชี้วัดว่า เราโฆษณาของเรานั้น ผ่านจุดคุ้มทุนหรือยัง? คำว่า ROAS นั้นย่อมาจาก Return on Ads Spend หรือ ผลตอบแทนต่อการทำโฆษณานั่นเอง
.
ไม่มีค่าตายตัวว่า ต้องเป็นเท่าไร แต่ยิ่งมาก คือ ยิ่งดี
สูตรของมันก็คือ เอายอดขาย หารด้วยค่าโฆษณา นั่นเอง
.
แต่ถ้าใครอยากรู้ว่า ROAS เท่าไหร ถึงจะเป็นจุดที่คุ้มทุน พี่นุก แนะนำให้ทำแบบนี้ครับ
.
เอา ราคาขาย-(ต้นทุนสินค้า+ค่ากล่อง+ค่าขนส่ง) ได้เท่าไร ให้เอามา หาร 2 จะได้ เป็นต้นทุนต่อการซื้อ ที่เรายังได้กำไรอยู่
.
ยกตัวอย่างเช่น
ราคาขาย = 290
ต้นทุน = 60
ค่ากล่อง = 5
ค่าขนส่ง = 30
.
ต้นทุนต่อการซื้อที่เหมาะสม = ((290)-(60+5+30) / 2) = 97.5 บาท
.
ดังนั้น ROAS = 290/97.5 = 2.97
หากเรายิงแอด แล้ว ROAS มากกว่า 2.97 ก็แสดงว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ
.
เป็นยังไงบ้างครับ กับการอ่านค่า Report Facebook ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ
.
แต่.. ถ้าใครอ่านแล้ว อยากจะรู้เพิ่มมากกว่านี้อีก
พี่นุก มีคอร์สออนไลน์ Facebook Masterclass 2024
.
คอร์สเดียวจบ ทั้งเรื่อง Content + การยิงแอด Update 2024
.
สนใจอยากเรียน ทักไลน์ @digitalnookacademy ได้เลยนะครับ
แจกเทคนิค เปิดการมองเห็นโพสต์ในเฟส 50,000 Reach แบบไม่ต้องยิงแอดเลยแม้แต่บาทเดียว
รู้ไหมครับปัญหาหลัก ชวนหมดกำลังใจ
ของคนทำ Content ใน Facebook คือทำเมื่อไหร่
ก็ไม่ค่อยมีใครเห็น Content ของเรา แม้จะตั้งใจเขียนยังไงก็ตาม
ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่ Content เราไม่ดี
แต่ติดอยู่ตรงที่ เฟส กำลังสนับสนุน Content ประเภทใหม่ที่เรายังไม่คุ้นชิน
วันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของ เฟสบุ๊ค Reels นะครับ
แต่จะพูดถึงเทคนิคที่ผมได้ทำมาแล้วหลายครั้งและได้รับการมองเห็น 50,000 Reach ขึ้นไปทุกครั้ง
เทคนิคนี้คือ Short Message นั่นเอง
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็เหมือนกับ การที่เราเขียนข้อความแบบสั้นๆ ในทวิตเตอร์ นั่นแหละครับ
หลายคน อาจจะไปลองทำแล้ว แต่คนไม่เห็นจะเยอะเหมือนที่พี่นุกบอกเลย
โพสต์นี้เลยจะแชร์เทคนิคที่ทำมาเองแล้วได้ผล มาให้อ่านกันครับ
1.ค้นหาความต้องการของลูกค้า
ถ้าเราทำเพจมาสักระยะ จะพบว่า Content ที่คนมีส่วนร่วมเยอะๆจะเป็น วิธีการแก้ปัญหา หรือ How to ที่เอาไปทำตามได้ง่ายๆเลย เช่น “รวมคำต้องห้าม ที่ใช้แล้วบัญชีปลิว” หรือ “เทคนิคหาไอเดียทำ Content 30 วัน ภายใน 5 นาที”
2.เขียนฮุกให้โดน
คนจะดูโพสต์ของเราจาก Hook ที่เขียนไว้ได้กระแทกใจ หรือสะดุดตา
และส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการเขียนประเภทนี้
ย้อนแย้ง เช่นวิธีการผ่อนบ้านให้หมดโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว
ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น 3 เรื่องเข้าใจผิด ที่คนลดน้ำหนักเข้าใจว่ามันถูกมาตลอดชีวิต
มีตัวเลขมายืนยัน ยกตัวอย่างเช่น วิธีการสร้างรายได้วันละ 3,000 บาทโดยฉบับทำได้จริง
ถ้าเป็น How to ต้องใช้ตัวเลข 3 5 7 9
3.โพสต์ลงให้เป็นรูปแบบข้อความแล้วใส่ Background เป็นสี
ไม่แนะนำให้ทำเป็นรูปภาพเพราะว่าการมองเห็นจะตกลงไปมาก โดยเฉพาะภาพที่ออกแบบเอามาไว้อย่างดีคนจะมองเป็นโฆษณา
4.ซอยคอนเทนต์เป็นข้อๆ
เขียนเนื้อหาแล้วโพสต์ลงในคอมเม้นทีละข้อ วิธีการนี้เป็นการเลียนแบบการทำ Content ใน Twitter ที่เรียกกันว่า เธรด (จริงๆ เฟส ก็ทำเทรดนะแต่ตอนนี้เริ่มเงียบๆไปแล้ว)
5.ใส่ Call to action ลงไปไหน Content สุดท้าย
จะเขียนเนื้อหาทันทีก็อย่าลืมใส่ Call to action ให้คนทำอะไรบางอย่างหลังจากที่อ่านจบแล้ว เช่น กดตามเพจ หรือไปดูเนื้อหาอื่นๆต่อได้ในเว็บไซต์หรือ YouTube หรือเข้าไปใน tiktok
ถ้าต้องการขายของก็ให้แอดไลน์หรือส่งลิงค์ที่ขายสินค้าของเราได้เลย
6. ถ้า comment จากลูกค้าเยอะมากจนคนใหม่ๆไม่เห็นเนื้อหา
แนะนำให้เอา Content ทั้งหมดไปใส่ในเว็บไซต์ แล้วเอาลิงค์ มาแปะให้คนเข้าไปอ่านแบบสะดวกๆ
จะดีมากถ้าเว็บไซต์ของเรามีการติด pixel ต่างๆของแต่ละแพลตฟอร์มเอาไว้ เพราะเราสามารถนำมา retarget หาคนที่เคยเข้ามาอ่านเนื้อหา
7. ถ้าโพสต์นี้ มันไวรัล มากๆ ให้เอาไปยิงแอด
แนะนำให้เอาไปยิงแอดแบบ engagement หรือ Reach จะช่วยกระจายแบรนด์ให้เราดังยิ่งขึ้น ค่าโฆษณาจะถูกมากๆเลย
ทุกครั้งที่ใช้วิธีการนี้จะมีคนติดตามเพิ่มขึ้นมาโดยอัตโนมัติและเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช่เพราะว่าเนื้อหาที่เราทำขึ้นมานั้นตอบโจทย์เขาจริงๆ
สรุป
เฟสบุ๊คปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา อย่าฝืนยึดติด ใช้แต่ท่าเดิมๆ ที่เคยได้ผล แต่วันนี้มันพังแล้ว
ปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยนะครับ แล้วเราจะอยู่รอด
สรุป 11 เทคนิค การใช้ Reels เพิ่มยอดขาย
สำหรับนักธุรกิจ ที่ต้องรีบทำตอนนี้
การสร้างรายได้จาก Reels กำลังมาแรง
เพราะทำคลิปปังๆ ก็มีโอกาสได้เงินหมื่น เงินแสน โหดมาก!!
คนเลยแห่มาทำคลิปกันเต็มเหนี่ยว
ด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่ตัวเองถนัด มาลงกันเต็มฟีดไปหมด
แต่ในมุมของเจ้าของธุรกิจถ้าอยากจะกระโดดลงมาในสนามของ Reels
พี่นุกก็มองว่าดี เพราะหากมีรายได้
ก็จะทำให้เรามีเงินไปจ่ายค่าโฆษณาให้กับพี่มาร์ค (เงินหมุนไป เวียนมา)
พี่นุกเลยมีเทคนิค มาแนะนำให้กับเจ้าของธุรกิจ เอาไปทำ Reels แบบนี้ครับ
1.ถ้า Profile เฟสของเรา ไม่ซีเรียส ไม่เน้นความเป็นส่วนตัว ให้เปิด Public ได้เลย แล้วไปเปลี่ยนเป็น Mode มืออาชีพ (Professional)
2.ถ้าไม่อยากเอา Profile ตัวเอง นำเสนอคลิป Reels ให้ทำผ่านเพจแทน
3.การสร้างรายได้ผ่านคลิป Reels จะต้องมี ผู้ติดตามเกิน 5,000 คน มีคลิปมากกว่า 5 คลิปขึ้นไป และมีจำนวนนาทีการเล่นมากกว่า 60,000 นาทีขึ้นไป (เป็นไปได้ ถ้าคลิปของเรามันไวรัลมาก)
- โฟกัสการทำคลิป ให้เป็นแนวทางเดียวกัน เพราะเรา ตั้งใจ ทำ content เพื่อสร้าง แบรนด์ไปด้วยในตัว
5.Content ที่เราจะนำมาลงเป็น Reels สำหรับธุรกิจ ที่ได้ผลดีแนะนำแบบนี้
- โชว์เบื้องหลังการทำงานเช่นกว่าจะมาเป็นสินค้าตัวนี้ได้ต้องผ่านขั้นตอนอะไร ให้เห็นอยู่บนสายพานหรือกระบวนการในโรงงานที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
- รีวิวสินค้าให้ดูแบบง่ายๆอันนี้ก็จะเป็นสไตล์คลิปสั้นที่เราเคยใช้กันใน tiktok เช่นกันแกะกล่องให้ดูว่ามีอะไรอยู่ข้างไหนแล้วใช้งานอย่างไร
- ถ้าใครเป็นสินค้าเกี่ยวกับของกินให้เอาวิธีการทำมาโชว์เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการทำขนมเปี๊ยะไข่เค็ม เริ่มต้นตั้งแต่ปั่นแป้งใส่ใส้แล้วเอาไปอบ
- ถ้าเป็นธุรกิจประเภทบริการ ให้นำเสนอเนื้อหาหรือสถานการณ์ที่ลูกค้าอยู่ในคลิปนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่นเป็นร้านทำผม ก็เล่าเรื่องลูกค้ามาใช้บริการ แล้วสวยขึ้นอย่างไร
6.การตัดต่อจะต้องกระชับฉับไวอย่าเยิ่นเย้อ ให้ตัดสลับภาพ ครั้งละ 3 วินาที
7.ความยาวคลิปขอให้อยู่ที่ 15 ถึง 30 วินาที ถ้ายาวๆ ก็อย่าให้เกิน 90 วินาที มันจะไม่ใช่ Reels แล้ว
- คลิปไหนที่มี engagement ดีๆให้ไปยิงแอดต่อได้เลย
- ถ้าเป็นบัญชีโฆษณารุ่นใหม่ๆจะยิงแอด คลิป Reels นั้นได้เลยทันที
- แต่ถ้าเป็นเป็นบัญชีโฆษณารุ่นเก่าจะต้องทำการอัพโหลดคลิปแล้วเลือก placement เป็น Reels แทน หรือถ้าอยากให้มีก็ต้องรอให้ Update ถ้าไม่อยากรอ Update แนะนำให้ไปสร้างบัญชีโฆษณาใหม่เลย
- คลิปไหนที่เราทำแล้ว engagement ดีให้นำมายิงแอดต่อได้เลยโดยวางจุด Call To Action ไว้ใน Comment นั่นเอง
แต่การที่เราทำคลิปดีๆนั้นก็มักจะมีสัมภเวสีคอยมาใส่ลิงค์แปลกๆ ใน Comment อยู่เสมอ แนะนำให้เราตั้งค่าป้องกันไม่ให้เขาเอาลิงค์ใส่ลงไปได้ ต้องไปตั้งค่าที่เพจนะครับ
ความคิดเห็นส่วนตัว
การทำคลิป reels ถือว่าเป็นการกระตุ้นให้ตัวเราเองสร้างแบรนด์ อยู่ตลอดเวลาแบบสม่ำเสมอ
ของเรามีคลิปสั้นออกมาเยอะ ก็เอาไปใช้งานต่อได้อีกมากมายในแพลตฟอร์มต่างๆ
อย่ามองแต่เรื่องรายได้ที่เกิดขึ้น จาก Reels เป็นหลัก
แต่ให้มองเป็นเครื่องมือขยายแบรนด์ ที่กำลังมาแรง ณ ตอนนี้!!
อัพเดท! Facebook ปรับใหม่ ลดวัตถุประสงค์ จาก 11 เหลือ 6!
คนทำโฆษณาด้วยเครื่องมือของ Facebook ต้องปรับตัวอีกครั้ง กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่ยุบวัตถุประสงค์ จากที่เคยเห็นทั้งหมด 11 ให้เหลือแค่ 6 ตัวเท่านั้น
.
หลายคนบอกว่า วัตถุประสงค์ข้อความไม่มี! อ้าวแล้วจะทำยังไง?
แล้วหายไปจริงมั้ย มาดูกันเลยครับ!!
.
วัตถุประสงค์เดิมของเฟสบุ๊คนั้น หลักๆ จะแบ่งออกมาเป็นสามส่วน ก็คือ
Awareness
Consideration
Conversion
.
และภายในนั้น จะมีวัตถุประสงค์แยกย่อยลงไปอีก
.
ความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังจะเกิดขึ้น (ตอนนี้หลายๆ คนน่าจะได้เจอ หน้าตาใหม่แล้ว) ตอนนี้ ปรับให้เหลือ 6 วัตถุประสงค์
- การรับรู้
เป็นการทำโฆษณา เพื่อให้เกิดการรับรู้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ - จำนวนผู้เข้าชม
เป็นการทำโฆษณาเพื่อส่งให้ผู้ชม เดินทางไปเข้าเว็บไซต์ แอพ หรือว่า shop ในเพจของเราได้
. - การมีส่วนร่วม
เป็นการทำโฆษณา เพื่อค้นหาคนที่มีแนวโน้มจะโต้ตอบกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นแชทกับเรา หรือ ดูวิดีโอ - ข้อมูลลูกค้า
จะเป็นการค้นหาคนที่สนใจในธุรกิจของเรา และ มีโอกาสที่จะ ส่งข้อมูลติดต่อของเขาให้กับเรา ซึ่งภายในนี้ จะมีวัตถุประสงค์ย่อยมาอีก หลายตัว นั่นคือ lead generation และ messenger
. - การโปรโมทแอพ
เป็นการทำโฆษณา ไปหาคนที่มีแนวโน้มจะติดตั้ง application ที่คุณทำโฆษณาออกไป
. - ยอดขาย
เป็นการทำโฆษณาออกไปหาคนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า ของเรา ไม่ว่าจะเป็นแบบ Offline หรือ online ก็ตาม
.
เมื่อมานั่งพิจารณา แบบนี้แล้ว จะพบว่า จริงๆ แล้ว หลายๆ วัตถุประสงค์ ที่เราเคยใช้งานนั้น ไม่ได้หายไป แต่ว่า จะเข้าไปอยู่ ในวัตถุประสงค์ต่างๆ ทั้ง 6 ตัวนี้แทน
.
“ข้อความ” จะเข้าไปอยู่ใน วัตถุประสงค์ ข้อมูลลูกค้า หรือ Lead นั่นเอง ดังนั้น ไม่ต้องตกใจกันนะครับ ยังอยู่เหมือนเดิม
.
“Conversions” จะไปอยู่ในวัตถุประสงค์ ยอดขาย หรือ Sale แทน ซึ่งการทำงานยังเหมือนเดิม
.
“การรับชมวิดีโอ” จะเข้าไปอยู่ในวัตถุประสงค์ การมีส่วนร่วม นั่นเอง
.
การ Update ครั้งนี้ จะทะยอยเปลี่ยนให้สำหรับแต่ละคน สำหรับผมเองนั้น ยังไม่เจอหน้าตาใหม่ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง จะมาพร้อมกับสิ่งดีๆ เสมอ (ยกเว้นค่าแอดที่แพงขึ้น ยิ้มทั้งน้ำตา)
.
แล้วเราควรปรับตัวอย่างไร?
.
ไม่ว่าสถานการณ์ จะเป็นอย่างไร interface ของเฟสบุ๊คจะเปลี่ยนไปกี่รอบ สิ่งสำคัญที่จะดึงเอาคนที่ใช่ มาเป็นลูกค้าของเรา นั่นคือ การทำ Content ที่ดี มีคุณค่า ทำให้อยากได้ อยากใช้ และ อยากได้จากเราเท่านั้น ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นจาก รีวิว ผลลัพธ์ ต่างๆ ที่คนใช้แล้วชอบ ใช้แล้วบอกต่อ
.
เป็นกำลังใจ ให้ทุกคนได้เดินต่อไป บนเส้นทาง ธุรกิจสายนี้ ที่คุณเลือกด้วยตัวเอง
.
สู้ๆ ครับ!
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
Facebook เก็บภาษี Vat 7% 1 ก.ย. 64 นี้ รับมือยังไงดี?
อ่วม! เฟสบุ๊ค เก็บภาษี Vat 7% 1 ก.ย. นี้
ต้นทุนเพิ่มขึ้นแบบนี้ ทำไงดี?
.
ข่าวล่ามาเร็ว สำหรับคนทำธุรกิจที่ต้องยิงแอดเฟสบุ๊ค เตรียมตัวจ่ายเงินค่าภาษีเพิ่ม 7% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 64 นี้เป็นต้นไป
.
นั่นหมายความว่า ต้นทุนของคุณจะเพิ่มขึ้น 7% ทันที การบริการงบประมาณทำการตลาดจะต้องคิดให้มากขึ้น
.
ยกตัวอย่างง่ายๆว่า คุณยิงแอด 10,000 บาท สมัยก่อน ก็จ่าย 10,000 บาท ตามที่ Billing ส่งมาเก็บ
แต่พอมีเรื่อง vat 7% เข้ามา คุณต้องจ่ายเงิน 10,700 บาท ให้กับทาง Facebook
.
ใน Report ของ facebook จะไม่แสดงจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมา แต่จะไปปรากฏใน Billing แทนนะครับ
.
ส่วนคนที่ใช้การเติมเงินเข้าไปในเฟสบุ๊ค
การเติมเงินไป 10,000 บาท ก็จะใช้ได้ไม่ถึง 10,000 บาท เพราะโดนหักไป 7%
.
แล้วทำยังไงดี?
.
แม้ว่า ค่ายิงแอดในเฟสบุ๊คนั้นจะแพงขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีวันลง แต่ธุรกิจ ก็ยังต้องใช้ในการโฆษณาอยู่เสมอ และจะหนีความจริงเรื่องภาษีไปไม่ได้แน่นอน
.
ดังนั้น ให้วางแผนการทำธุรกิจดังนี้ครับ
.
- อย่าลืมคิดต้นทุนส่วนนี้เข้าไปด้วย
ต้นทุนการขายสินค้น คือ ค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่ากล่อง ค่าแพค ค่ายิงแอด และ ภาษี 7% ก็จะกลายเป็นต้นทุนของคุณด้วย
.
2.เพิ่มรายได้ด้วยการ Upsell ลูกค้า
เวลายิงแอด แล้วได้ลูกค้า 1 คน ไม่ควรขายของชิ้นเดียว ให้นำเสนอสินค้าแบบเป็น package ซื้อมากขึ้น แต่ราคาถูกลง เช่น 1 ชิ้น 300 บาท แต่ซื้อ 3 ชิ้นลดให้ 200 บาท กำไรอาจจะลดลงไปบ้าง แต่รายได้ต่อครั้งเพิ่มขึ้น
. - บริหารลูกค้าเก่าในมือ
80% ของรายได้บริษัทมาจาก ลูกค้าเก่า คือ ทรัพย์สินของคุณ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่ดี ส่วนการรักษาลูกค้าเก่า คือสิ่งที่จำเป็นมากกว่า แต่คนลืมทำ ดังนั้น ควรบริหารลูกค้าเก่า ด้วยการใช้ LINE OA อีเมล์ SMS หรือ การโทรหา
. - ลดต้นทุนด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ
ยังมีลูกค้าที่กระจายตัวในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เรามองข้ามไป LINE, TikTok, Youtube, Google Ads, หรือ SEO ลองสำรวจตัวเองว่า หาทางไปในช่องทางเหล่านี้ได้อย่างไร
.
เป็นกำลังใจให้ นักธุรกิจทุกคนนะครับ
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #facebook #ยิงแอด
4 เทคนิค สร้างโพสต์”รู้ใจ” ก่อนลูกค้า”รู้ตัว” เพิ่มยอดขาย ในเฟสบุ๊ค
4 เทคนิค สร้างโพสต์”รู้ใจ” ก่อนลูกค้า”รู้ตัว”
เพิ่มยอดขาย ในเฟสบุ๊ค (อ่านแล้ว เอาไปทำตามได้เลย)
.
ทุกวันนี้ มีโพสต์โฆษณา โผล่ให้เห็นขึ้นมามากมาย ในเฟสบุ๊ค
ดังนั้น มันจึงเป็นสงครามดึงความสนใจขนาดย่อมๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
.
.
เราจะเอาตัวรอดจากสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง
.
.
วิธีดึงความสนใจ ที่โดนใจลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญ
บทความนี้ จะไกด์เทคนิค ที่สะกิดต่อมประหลาดใจ ให้กับคนอ่านโฆษณา
ว่า “ทำไมโพสต์นี้ มันถึงรู้ใจนะ”
.
วิธีนี้ จะทำได้ ด้วยการยิงแอดเฟสบุ๊ค แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยครับ
เอ้า มาเก็บไอเดียไปทำกันครับ
.
1 เดือนเกิด
เดือนเกิด เป็นข้อมูลที่ ผู้ใช้เฟสบุ๊ค ระบุลงไปเอง
ดังนั้น มันจึงมีความแม่นยำสูง (เว้นแต่ว่า คนที่สมัครเฟสบุ๊ค จะระบุ วันเกิดตัวเองมั่วซั่ว)
.
ด้วยไอเดียนี้ เราจึง เอาความสนใจนี้ มาประกอบกับ โพสต์ขายได้ ยกตัวอย่างเช่น
.
ให้ของขวัญวันเกิดกับตัวเอง ด้วย สิ่งนี้…
สิทธิพิเศษ สำหรับคนเกิดเดือนนี้ จัดไปเลยกับโปรโมชั่น…
.
เหมาะกับธุรกิจไหน?
สินค้า บริการทุกประเภท ที่ ต้องการใช้ โปรโมชั่นเดือนเกิด
2. OS หรือ เครื่องมือ (Device) ที่ใช้เล่นเฟสบุ๊ค
ในเฟสบุ๊คจะมี พฤติกรรมที่บ่งบอกว่า ใช้สมาร์ทโฟนอะไร เข้ามาใช้งาน เช่น
คนที่ใช้ android เข้ามาเล่นเฟสบุ๊ค
คนที่ใช้ samsung เข้ามาเล่นเฟสบุ๊ค
.
หรืออีกแบบคือ ต้องไปที่ “Placements” แล้วเลือก “Manual Placements” ไปเลือกที่
“Specific Mobile Devices & Operating Systems” ซึ่งสามารถจะเลือกได้ว่า เป็น Android , iOS หรือ iPad
.
เมื่อรู้ข้อมูลแล้ว เราก็สามารถ ระบุ เจาะจงเพื่อขายสินค้า เฉพาะคนที่ใช้ Device กลุ่มนี้ ได้ เช่น
.
เคส iPad สุดสวย รอคุณมาครอบครอง จองเลยสิจ๊ะ
สิทธิพิเศษ ลด 20% สำหรับผู้ใช้ iPhone และเห็นโพสต์นี้ เท่านั้น
.
เหมาะกับใคร
สินค้าที่ขายควบคู่ไปกับ อุปกรณ์ต่างๆ อย่าง iPhone , Android , iPad เช่น เคส ที่ชาร์จ แท่นชาร์จ คีย์บอร์ด เป็นต้น
.
3.วันเกิดเพื่อน
ในเฟสบุ๊ค จะมีความสนใจประเภทหนึ่ง นั่นคือ
- เพื่อนของผู้ชาย ที่มีวันเกิดในเดือนนี้ ภายใน 0-7 วัน , 7-30 วัน
- เพื่อนของผู้หญิง ที่มีวันเกิดในเดือนนี้ ภายใน 0-7 วัน , 7-30 วัน
- เพื่อนของคนที่มีวันเกิด ในเดือนนี้
อันนี้ เหมาะมาก สำหรับทำโพสต์ให้กับคน ที่กำลังมองหาของขวัญ ให้กับเพื่อนนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
.
ใกล้ถึงวันเกิดเพื่อนแล้ว มีของขวัญให้หรือยัง?
มีเพื่อนเกิดเดือนนี้ใช่มั้ย มองหาอะไรไปเซอร์ไพรส์หรือยัง
.
เหมาะกับธุรกิจอะไร?
ร้านของขวัญ ร้านเค้ก ร้านขนม
.
4. ปีที่เกิด
ปีเกิด เป็นข้อมูลที่ ผู้ใช้เฟสบุ๊ค ระบุลงไปเอง
ซึ่งสามารถคำนวณออกมาได้ ว่า คนเหล่านี้ เกิดราศีอะไร
.
พอรู้ว่า เกิดราศีอะไร ก็พร้อมแล้วที่จะส่งโพสต์เรียกร้องความสนใจ
ไปให้คนเหล่านั้น และเขาก็พร้อมรับข้อมูลด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
.
สำหรับชาวราศี กันย์ รับสิทธิพิเศษ เมื่อเห็นโพสต์นี้ ทักมารับสิทธิพิเศษนี้ได้เลย
ปีนี้ปีชง ของคุณ คลิกเพื่ออ่านวิธีเสริมดวง เบอร์ใหม่ได้เลยตรงนี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ
.
เหมาะกับธุรกิจไหน?
เบอร์มงคล สินค้าเสริมดวง
.
.
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างครับ
ถ้ารู้เทคนิคนี้ แล้ว จะเอาไปประยุกต์ใช้กับสินค้า และ บริการของตัวเองเพิ่มเติมจากที่แนะนำ ก็คอมเมนต์มาบอกกันได้นะครับ น่าจะต่อยอด เกิดประโยชน์ไปได้มากขึ้น
.
หรือเอาไปใช้แล้ว ได้ผลยังไง มาบอกกันด้วยนะครับ 😉
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
digitalnook #ยิงแอด
Facebook Audience Insight ปลิวไปแล้วจริงหรือ?
Facebook Audience Insight ปลิวไปแล้วจริงหรือ?
แล้วทำไงกันดี?
ผมไปหาทางเข้ามาให้แล้วครับ ทุกโค้น!!
เมื่อก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนบทความแจ้งข่าวเรื่อง Audience Insight
เครื่องมือตรวจสอบความสนใจใน Facebook เอาไว้
ว่า เขาจะมีให้ใช้จนถึง 1 กรกฎาคม 64 แล้วก็จะย้ายไปอยู่ใน Business Suite แทน
ล่าสุดครับ ด้วยความมือบอน + ความสงสัยว่า เอ เครื่องมือนี้
มันยังใช้งานได้หรือเปล่า
เลยกดเข้าไปดู
ปรากฏว่าตอนนี้ปลิวหายไปแล้วครับ
หายไปก่อนกำหนดเสียด้วย!!
จึงต้องมาเขียนเรื่องนี้ แจ้ง Update ให้ทราบกันครับ
คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง ปรับปรุง และ โยกย้ายกันพอสมควร
หลังจากนั้น จึงลองเข้าไปเช็คใน Business suite ก็พบว่า
เครื่องมือ audience insight ยังมีอยู่ครับ
แต่ว่า การใช้งานจะเปลี่ยนไป เห็นข้อมูลน้อยลง จะเหลือเพียง
หลักๆ จะเป็นการสำรวจความสนใจ ของคนในเพจที่เราดูแลอยู่
กับอีกอันก็คือ potential audience ซึ่งเป็นตัวมาแทน Audience Insight ที่กำลังจะหายไป
โดยจะบอกอะไรบ้าง?
- Potential audience size : จำนวนคนที่เข้าถึงได้
- Gender and age : สัดส่วนของเพศและวัย
- Top towns/cities : จังหวัดที่คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่
- Top countries : ประเทศที่กลุ่มเป้าหมาย อาศัยอยู่
- Top Pages : อันนี้ ผมลองกี่ interest มันก็มีแต่ เพจดังๆ เท่านั้นเองครับ
แต่ข่าวดีครับ
ตอนนี้ เรายังเลือกใช้ Audince insight ได้ครับ เลือกใช้ได้ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 64
เพียงแต่ขั้นตอน อาจจะวุ่นวายกว่าเดิมเล็กน้อย
นั่นคือ
ไปที่ Business suite > insight > audience > แล้วไปที่ potential audience จะขึ้นคำว่า Opt out
ให้เอา mouse over ไปครับ จะมีแถบปรากฏขึ้นมา
แล้วบอกว่า ถ้ายังอยากจะกลับไปใช้ Facebook Audience Insight ละก็
คลิกที่ปุ่ม “Return to audience insight”
หลังจากนั้น หน้าจอจะตัดกลับมาที่ Audience insight ให้ใช้งานกันครับ!!
เอาเป็นว่า มันยังอยู่ ก็ให้รีบใช้ เสียก่อนที่มันจะหายไปนะครับ
เพราะเดี๋ยว iOS 14 Update มา ก็ไม่รู้ จะเกิดอะไรต่ออีก กับการยิงแอด Facebook
อย่างไรก็ตาม เรื่องของความสนใจ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
ที่จะทำให้ การยิงแอดนั้นประสบความสำเร็จ
แต่ตัวคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งเราควรสนใจ มันคือ
Content นั่นเอง
เพราะ Content ที่ดี จะชี้หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ มาให้เราเสมอ
นี่แหละ คือเครื่องมือ ที่เรามักหลงลืมกันไปบ่อยๆ
เพราะ Content ที่ใช่
จะคัดคนที่ชัวร์ มาให้เรา ตลอด
…..
ช่วงขายของ
การตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีแค่แพลตฟอร์มเดียวเท่านั้น
อย่าฝากความหวังไว้ที่ ใด ที่หนึ่งเท่านั้น
โลกนี้ ยังมี TikTok / LINE OA / LINE Ads Platform / Myshop
สนใจคอร์สออนไลน์ที่พร้อมสอนแบบไม่กั๊ก ดูย้อนหลังได้ตลอดชีพ มีคำถามปรึกษาได้ ทาง LINE ได้ตลอด
ทักไลน์ @digitalnookacademy หรือคลิก https://lin.ee/pL1INOl
ถ้าวันนี้ไม่มี Facebook แล้วใช้อะไรแทนดี?
ถ้าวันนี้ไม่มี Facebook แล้วใช้อะไรแทนดี?
ลองคิดกันเล่นๆ ว่าหากวันนี้ ไม่มี Facebook ให้ใช้แล้ว
เราจะใช้อะไรแทนกันดี?
ถ้าไม่มีให้ใช้จริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันนะครับ
เพราะเราลงทุนสร้างตัวตน สร้างคน สร้างฐานแฟนไว้ใน Facebook กันเยอะมาก
เป็น Social Media ที่เติบโตด้วยการแชร์เรื่องราวต่างๆ
เป็น Social Media ที่เราใช้ในการสื่อสารพูดคุยกับลูกค้า และดึงให้เข้ามาใช้บริการเราได้
แม้เราจะบ่นว่า ทุกวันนี้ ค่าโฆษณาแพงเหลือเกินก็ตาม
แต่หากวันไหน Facebook ล่ม แล้วธุรกิจของคุณสะดุด
แสดงว่า เราเอาทุกอย่างไปอยู่ใน Facebook หมดจริงๆ
จะดีกว่ามั้ย หากเราได้สร้างฐานข้อมูลในบ้านหลังอื่นๆ เอาไว้ด้วย
เราลองมาศึกษา เครื่องมือออนไลน์ ตัวอื่นๆ กันดูบ้าง
ปล. ถ้า Facebook ไม่มีจริงๆ
สิ่งที่จะหายไปด้วย ก็คือ Instagram Whatsapp เพราะเป็นบริษัทเดียวกัน
ลองมาดูกันมะ
1.LINE
คนใช้งานในไทย 45 ล้านบัญชี
เครื่องมือ สื่อสารที่คนไทย ใช้งานเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว ทั้งพิมพ์ ทั้งโทร ทุกวันนี้
หากจะใช้ LINE ในการสื่อสาร แนะนำให้ใช้ LINE Official Account หรือ LINE OA เพราะมีฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวก ให้เจ้าของกิจการ สื่อสารกับ ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นการบรอดแคสต์ข้อความที่ส่งไปถึงผู้ติดตามได้ครบ 100% หรือการทำระบบสะสมแต้ม ให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องไปซื้อโปรแกรมเสริมอื่นๆ
เมื่อเทียบค่าส่งบรอดแคสต์ กับค่าโฆษณาหาลูกค้าใหม่ ถือว่าคุ้มค่ามากครับ
2.Youtube
คนใช้งานในไทย 40 ล้านบัญชี
นี่คือช่องทางคลาสสิกที่คนไทย ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้เฉพาะความบันเทิงเพียงอย่างเดียว หลายธุรกิจ สร้างตัวตนและยอดขายได้มากมาย จากการลงใน Youtube
ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของการรีวิว การเอามาบอกเล่า ให้ความรู้ ให้คุณค่า
และ รายได้จะตามมาหลังจากนั้น
3.TikTok
คนใช้งานในไทย 18 ล้านบัญชี
นี่คือแพลตฟอร์ม ที่กำลังมาแรงในบ้านเรา แม้ช่วงแรก คนจะมองว่ามีแต่เด็กๆ เล่น เต้นๆ คงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ทุกวันนี้ คนขายสินค้า สร้างตัวตนกันมากมาย และเติบโตอย่างรวดเร็วใน แพลตฟอร์มนี้
มันเหมือนกับ Facebook หรือ Instgram เมื่อ 5-6 ปีก่อน ที่ทำยังไง ก็ขึ้นง่าย
ดังนั้น จึงไม่ควรพลาดกระแสนี้
เพียงแต่ให้เข้ามาในมุมของการทำธุรกิจอย่างมีรูปแบบ ที่คน TikTok รู้สึกว่าไม่ยัดเยียด
ดังนั้นคุณต้องเล่น TikTok ให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในนี้เสียก่อน จะไปลงมือทำโฆษณา
4.Twitter
คนใช้งานในไทย 7.15 ล้านบัญชี
แม้คนจะไม่เยอะมาก แต่นี่คือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทรงอิทธิพล
เพราะเร็ว แรง อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าจับทางได้ถูก แบรนด์ของคุณจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้า หรือ บริการที่เหมาะกับคนในวัย 20-45 หรือ คนรุ่นใหม่ๆ
เครื่องสำอาง ขนม Bakery ร้านกาแฟ สินค้าเหล่านี้ คือสิ่งที่ได้รับความนิยมสูง
5.Website
มีคนพูดว่าเว็บไซต์จะตาย เมื่อ 20 ปีก่อน
แต่ทุกวันนี้ เว็บไซต์ ก็ยังอยู่ดีเสมอ และมีการพัฒนารูปแบบการแสดงผลที่ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่จะดีกว่า หากคุณมีเว็บไซต์ของตัวเอง และคนรู้จัก จดจำได้
นี่คือบ้านหลังใหญ่ของตัวคุณเอง ที่สามารถ สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมาได้เอง
ไม่มีระเบียบใดๆ ที่ใครจะมาห้ามคุณ (แต่ต้องถูกกฏหมายนะ)
ดังนั้น คุณจึงต้องมีเว็บไซต์ เอาไว้เป็นฐานบัญชาการ ของคุณเอาไว้ด้วย
6.Google
ต่อเนื่องจากเรื่องของเว็บไซต์
คนจะรู้จักเว็บของคุณได้เร็วขึ้น หากคุณเข้าใจเรื่องการทำ SEO และ SEM
SEO = Search Engine Optimization คือ ทำยังไง ก็ได้ให้ติดหน้าแรก Google แบบไม่เสียเงิน
SEM = Serach Engine Marketing คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ติดหน้าแรก Google ด้วยการเสียเงิน
ศาสตร์การทำโฆษณาแนวนี้ นี้ อาจจะซับซ้อนกว่า Facebook มากพอสมควร
แต่ถ้าตั้งใจทำ หรือทำได้ เราจะเจอลูกค้าที่พร้อมซื้อ อย่างแน่นอน
เพราะเวลาคนมีปัญหา จะ search Google ก่อนเสมอ
ปล. ถ้าธุรกิจของคุณเป็นหน้าร้าน แนะนำให้สร้าง Google Business
อันนี้้ คือ การทำการตลาดให้ติดหน้าแรก ได้เร็ว และง่ายที่สุดแล้ว
ผมเคยแนะนำเอาไว้ ลองไปหาอ่านกันได้ครับ
7. Email
แม้หลายคนจะบอกว่า คนไทย ไม่ได้ใช้ อีเมล์แล้ว
แต่หลายๆ ธุรกิจ ก็ยังเติบโตได้ด้วยการใช้อีเมล์
อีเมล์ เหมาะกับสินค้าและบริการประเภทองค์กร และ สินค้าประเภท Digital product
แต่ผมก็เชื่อว่า มีสินค้าที่จับต้องได้ หลายรายการ เขาทำกำไรในการขายผ่าน Email
สิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมก็คือ การบริหาร List Email ให้เป็นขั้นเป็นตอน
8.Marketplace
คนไทย คุ้นชินกับการสั่งซื้อของผ่านแอพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ความต้องการสินค้า จึงมีเพียบในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada หรือ JD Central
หลายกิจการ ขายสินค้าแบบไม่ต้องยิงแอด ใน Marketplace เหล่านี้มานานแล้ว
บางคนอาจจะบอกว่า มีแต่ คนมองหาของถูกที่สุดในแอพเหล่านี้
แต่คุณสามารถขายราคาสูงได้ ถ้ารีวิว และ มีบริการที่รวดเร็ว และ ดีเยี่ยมกับลูกค้า
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
Facebook Desktop เวอร์ชั่นใหม่ เตรียมตัวใช้ กันยายนนี้
Facebook Desktop เวอร์ชั่นใหม่ เตรียมตัวใช้ กันยายนนี้
ข่าวด่วน สำหรับคนที่ใช้ Facebook เป็นประจำใน
Version Desktop (ใช้ผ่าน PC หรือ Notebook หรือเครื่อง Mac นั่นแหละครับ)
ตอนนี้ Facebook ได้ประกาศออกมาอีกครั้งอย่างจริงจังแล้วว่า
จะปรับ User Interface ของทุกคน ให้กลายเป็นแบบใหม่แล้ว ภายในเดือน กันยายนนี้
ใครที่ปรับมาใช้ของใหม่จนชิน แล้วก็แสดงความยินดีด้วย
ส่วนใครที่ใช้ของเก่า แล้วไม่ชอบของใหม่… อันนี้ คงต้องทำใจ และยอมรับมันนะจ๊ะ
ที่สำคัญ ตอนนี้ ads manager ของ Facebook ก็ปรับปรุงใหม่ อีกเช่นกัน
ซึ่่งอันนั้น สำคัญกว่า เพราะหาก เราพลาดรายละเอียด เล็กๆน้อยๆ ไป
อาจจะทำให้ งบประมาณ ที่ใช้ลงโฆษณา ผิดพลาดได้!
ไปแคร์ตรงนั้นดีกว่า
สรุป
คิดเสียว่า แพลตฟอร์มไหน ที่มีการปรับปรุงบ่อยๆ แสดงว่า ปรับปรุงเพื่อให้คนใช้งานได้ดีขึ้นในทุกๆวัน ดีกว่า จะได้สบายใจ
แต่อย่างน้อยๆ ข้อดีก็คือ ใช้งานพวกวิดีโอ แล้วชัดกว่าเดิมนะ 😉
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
5 ไอเดีย ทำกำไรมากขึ้น จากการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบเดิม ที่คุณก็ทำได้
5 ไอเดีย ทำกำไรมากขึ้น
จากการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบเดิม
ที่คุณก็ทำได้
.
วันนี้ ไม่ได้มีเทคนิคยิงแอดเทพๆ มาฝาก
แต่มีเทคนิคทำกำไรมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งถ้าอ่านแล้ว จะรู้สึกว่า เออ ไม่ได้พิสดารอะไร
เพียงแต่เราไม่ได้คิดทำ เท่านั้น
.
เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
มาเข้าเรื่องกันเลย!!
.
เทคนิคนี้ หากใคร ที่มีสินค้าประเภทเดียวกันหลายๆแบบ จะดีมาก
1.ตัวไหนขายดี ยิงแอดตัวนั้นเป็นตัวเปิด
ตอนคุณขายสินค้า จะมีสินค้าประมาณ 20% ที่ทำกำไรได้ดี คนชอบซื้อ
ให้เอาสินค้านั้น มาเป็นตัวเปิด ไปให้คนทักเข้ามาซื้อก่อน
เป็นการเรียกแขกเข้ามาในร้าน
เรียกคนเข้ามาก่อน เป็นหลัก!!
2.upsell ด้วยการขายแบบ set
เมื่อเข้ามาแล้ว ลองเสนอขายสินค้า ไปเป็น set เพื่อทำให้ต้นทุนในการปิดการขายนั้นคุ้มค่า
ยกตัวอย่างเช่น ยิงแอด 1 ครั้ง เสียค่าแอด 30 บาท ขายได้ชิ้นเดียว 300 บาท ก็จบไป
แต่ถ้าเรานำเสนอ ไปว่า รับไป 2-3 ชิ้นมั้ย แล้วลูกค้าซื้อ รายได้ ก็เพิ่มมากขึ้น จากค่าแอดตัวเดิม ถ้าลูกค้าไม่เอา เราก็ยังขายได้ 1 ชิ้น เหมือนเดิม
ดีกว่ามั้ยครับ แค่นำเสนอขาย?
3.มีของแถม ส่วนลด ลูกค้ารู้สึกดี
ถ้าลูกค้าซื้อเยอะๆ แล้วเรามีของแถมให้ ลูกค้าจะมีความพยายาม ในการทำให้ยอดได้ตามที่เรากำหนด เพื่อได้ของแถมหรือส่วนลด
เช่น ตอนนี้ซื้อแล้ว 840 ถ้าพี่ซื้อเพิ่มครบ 1000 เดี๋ยวจะแถมอีกตัวไปเลย หรือ ฟรีค่าส่งไปเลย ถ้าลูกค้าไม่เอา ก็แค่ปิดการขายที่ 840 บาท
เพียงเอ่ยปากนำเสนอ ก็มีโอกาสแล้ว ดีมั้ยครับ?
4.เก็บเงินปลายทาง
การซื้อขายผ่านออนไลน์ระหว่างเรากับลูกค้าครั้งแรก
การโอนเงิน ดูเป็นเรื่องยากลำบาก เหลือเกิน
ดังนั้น ถ้าให้เก็บเงินปลายทาง โอกาสปิดการขายจะเพิ่มมากขึ้น
เพราะลูกค้าสบายใจ ว่าจะไม่โดนโกง
เพียงแต่คุณต้องคำนวณค่าธรรมเนียมมของการเก็บเงินปลายทางด้วย เพราะเขาจะคิดเป็น % จากราคาสินค้า
5.ทักทายไปหาลูกค้าเป็นระยะ เมื่อเวลาเหมาะสม
การขายที่ดีที่สุด คือการขายให้ลูกค้าเก่า
การกลับไปทักทายเป็นระยะ ในเวลาที่เหมาะสมกับลูกค้า
มักจะเกิดยอดขายเสมอ
เช่นเรารู้ว่า เขาใช้สินค้าตัวนี้ แล้วจะหมดภายใน 1 เดือน
อีก 1 เดือน เราก็เข้าไปทักทาย สอบถาม ว่าสินค้าดีมั้ย ใช้เป็นไงบ้าง
แบบทักทายกันปกติ
ถ้าลูกค้าประทับใจสินค้าของคุณ
โอกาสแบบนี้ สามารถนำพาไปสู่การปิดการขายได้ง่ายๆ
ดีมั้ยครับ ไม่ต้องยิงแอดด้วย!!
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook