ยิงแอด Facebook แล้วไม่ดู Report เหมือนเอาเงินไปโยนทิ้ง! รวมตัวชี้วัด ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้จัก ถ้าไม่อยากยิงแอดขาดทุน
การดู Report Facebook เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เราคิด!!
การทำโฆษณา หรือ การยิงแอดนั้น คือการนำพา Content ที่เราพูดถึงสินค้า และบริการ ออกไปหากลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
.
การยิงแอด คือต้นทุนในธุรกิจของเรา ถ้าเราลงมือทำอย่างเดียว แต่ไม่ดู Report Facebook เลย ก็เหมือนกับการเอาเงินไปโยนทิ้ง ไม่มีประโยชน์อะไร
.
พี่นุกเลย ขอแชร์ ความหมายของตัวชี้วัด ในการยิงแอด Facebook มาให้ครับ
เพื่อนำไปปรับปรุงในการยิงแอด ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
1.CPM
ย่อมาจาก Cost per mille หรือ ค่าใช้จ่ายต่อการแสดงผล 1000 ครั้ง ขึ้นอยู่กับ การแข่งขันของอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน เช่น skincare มีการแข่งขันสูง CPM ก็สูงตาม
กับอีกแบบหนึ่ง ก็คือ วัตถุประสงค์ไหนที่คนใช้กันเยอะ ก็ต้องไปแข่งกันเยอะ จึงทำให้ค่าแอดแพง ยกตัวอย่างเช่น คนไทย ยิงแอดทักข้อความ ด้วยภาพนิ่ง เยอะ ดังนั้น ราคาจึงสูง
.
แต่ถ้าทางใช้ Reels ในการยิงแอด มันจะได้ CPM ที่ถูกกว่า เพราะคนทำน้อย
.
พอเห็นภาพหรือยังครับ?
2. Impression
การแสดงผลของโฆษณา อันนี้ เป็นตัวชี้วัดที่ง่าย ที่สุด การมองเห็นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ โฆษณาของเราทำงานปกติ ถ้าไม่มี Impression แสดงว่า กลุ่มเป้าหมายของเรา อาจจะแคบเกินไป หรือ โฆษณาไม่ผ่านการอนุมัติ นั่นเอง
3.CTR
ปกติ เวลาเราทำโฆษณา ก็ต้องมีการกดคลิก Banner หรือ Content อยู่แล้ว แต่ถ้าเอาแต่จำนวนคลิก มาวัดผล เปรียบเทียบกัน ก็อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์
.
ดังนั้น ตัวชี้วัด แบบ CTR จึงเข้ามาช่วยตัดสิน เพราะ CTR ย่อมาจาก Click Through Rate (อัตราส่วนการคลิกผ่าน) มันคือการเอา จำนวนคลิก หารด้วยการแสดงผลของโฆษณา
.
ถ้า CTR สูง แสดงว่า โฆษณานั้นน่าสนใจจนคนคลิก แต่ถ้า CTR ต่ำ แสดงว่า โฆษณาไม่น่าสนใจเลย ต้องไปปรับปรุงนะครับ
.
4. ต้นทุนต่อการซื้อ Cost per Purchase
หากเป็นเมื่อก่อน เวลายิงแอด เรามักจะมาโชว์ ต้นทุนต่อการทักแชท ที่ถูกแบบสุดๆ ใครทำได้ราคาถูก ก็จะภูมิใจ แต่จริงๆแล้ว เราควรจะวัด ต้นทุนต่อการซื้อดีกว่า
เพราะมันบ่งบอกว่า มีคนซื้อสินค้าของเราจริงๆ
.
5. ค่า Conversion การซื้อ
นี่คือตัวชี้วัด ที่เราควรคิดถึงมากที่สุด เพราะมันคือ ยอดขายที่ลูกค้าชำระเงินให้กับเรามา ถ้าอยากจะเห็น ค่า Conversion การซื้อใน Report
.
ทุกครั้งที่เรารับยอดจากลูกค้าผ่านทาง inbox ต้องทำการ ใส่ยอดเงินให้ถูกต้องตามจำนวนที่ลูกค้าโอนมา แล้วกด Mark As paid ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันการชำระเงิน
.
6.ROAS
ค่านี้ คือตัวชี้วัดว่า เราโฆษณาของเรานั้น ผ่านจุดคุ้มทุนหรือยัง? คำว่า ROAS นั้นย่อมาจาก Return on Ads Spend หรือ ผลตอบแทนต่อการทำโฆษณานั่นเอง
.
ไม่มีค่าตายตัวว่า ต้องเป็นเท่าไร แต่ยิ่งมาก คือ ยิ่งดี
สูตรของมันก็คือ เอายอดขาย หารด้วยค่าโฆษณา นั่นเอง
.
แต่ถ้าใครอยากรู้ว่า ROAS เท่าไหร ถึงจะเป็นจุดที่คุ้มทุน พี่นุก แนะนำให้ทำแบบนี้ครับ
.
เอา ราคาขาย-(ต้นทุนสินค้า+ค่ากล่อง+ค่าขนส่ง) ได้เท่าไร ให้เอามา หาร 2 จะได้ เป็นต้นทุนต่อการซื้อ ที่เรายังได้กำไรอยู่
.
ยกตัวอย่างเช่น
ราคาขาย = 290
ต้นทุน = 60
ค่ากล่อง = 5
ค่าขนส่ง = 30
.
ต้นทุนต่อการซื้อที่เหมาะสม = ((290)-(60+5+30) / 2) = 97.5 บาท
.
ดังนั้น ROAS = 290/97.5 = 2.97
หากเรายิงแอด แล้ว ROAS มากกว่า 2.97 ก็แสดงว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ
.
เป็นยังไงบ้างครับ กับการอ่านค่า Report Facebook ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ
.
แต่.. ถ้าใครอ่านแล้ว อยากจะรู้เพิ่มมากกว่านี้อีก
พี่นุก มีคอร์สออนไลน์ Facebook Masterclass 2024
.
คอร์สเดียวจบ ทั้งเรื่อง Content + การยิงแอด Update 2024
.
สนใจอยากเรียน ทักไลน์ @digitalnookacademy ได้เลยนะครับ
สรุป 11 เทคนิค การใช้ Reels เพิ่มยอดขาย
สำหรับนักธุรกิจ ที่ต้องรีบทำตอนนี้
การสร้างรายได้จาก Reels กำลังมาแรง
เพราะทำคลิปปังๆ ก็มีโอกาสได้เงินหมื่น เงินแสน โหดมาก!!
คนเลยแห่มาทำคลิปกันเต็มเหนี่ยว
ด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่ตัวเองถนัด มาลงกันเต็มฟีดไปหมด
แต่ในมุมของเจ้าของธุรกิจถ้าอยากจะกระโดดลงมาในสนามของ Reels
พี่นุกก็มองว่าดี เพราะหากมีรายได้
ก็จะทำให้เรามีเงินไปจ่ายค่าโฆษณาให้กับพี่มาร์ค (เงินหมุนไป เวียนมา)
พี่นุกเลยมีเทคนิค มาแนะนำให้กับเจ้าของธุรกิจ เอาไปทำ Reels แบบนี้ครับ
1.ถ้า Profile เฟสของเรา ไม่ซีเรียส ไม่เน้นความเป็นส่วนตัว ให้เปิด Public ได้เลย แล้วไปเปลี่ยนเป็น Mode มืออาชีพ (Professional)
2.ถ้าไม่อยากเอา Profile ตัวเอง นำเสนอคลิป Reels ให้ทำผ่านเพจแทน
3.การสร้างรายได้ผ่านคลิป Reels จะต้องมี ผู้ติดตามเกิน 5,000 คน มีคลิปมากกว่า 5 คลิปขึ้นไป และมีจำนวนนาทีการเล่นมากกว่า 60,000 นาทีขึ้นไป (เป็นไปได้ ถ้าคลิปของเรามันไวรัลมาก)
- โฟกัสการทำคลิป ให้เป็นแนวทางเดียวกัน เพราะเรา ตั้งใจ ทำ content เพื่อสร้าง แบรนด์ไปด้วยในตัว
5.Content ที่เราจะนำมาลงเป็น Reels สำหรับธุรกิจ ที่ได้ผลดีแนะนำแบบนี้
- โชว์เบื้องหลังการทำงานเช่นกว่าจะมาเป็นสินค้าตัวนี้ได้ต้องผ่านขั้นตอนอะไร ให้เห็นอยู่บนสายพานหรือกระบวนการในโรงงานที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
- รีวิวสินค้าให้ดูแบบง่ายๆอันนี้ก็จะเป็นสไตล์คลิปสั้นที่เราเคยใช้กันใน tiktok เช่นกันแกะกล่องให้ดูว่ามีอะไรอยู่ข้างไหนแล้วใช้งานอย่างไร
- ถ้าใครเป็นสินค้าเกี่ยวกับของกินให้เอาวิธีการทำมาโชว์เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการทำขนมเปี๊ยะไข่เค็ม เริ่มต้นตั้งแต่ปั่นแป้งใส่ใส้แล้วเอาไปอบ
- ถ้าเป็นธุรกิจประเภทบริการ ให้นำเสนอเนื้อหาหรือสถานการณ์ที่ลูกค้าอยู่ในคลิปนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่นเป็นร้านทำผม ก็เล่าเรื่องลูกค้ามาใช้บริการ แล้วสวยขึ้นอย่างไร
6.การตัดต่อจะต้องกระชับฉับไวอย่าเยิ่นเย้อ ให้ตัดสลับภาพ ครั้งละ 3 วินาที
7.ความยาวคลิปขอให้อยู่ที่ 15 ถึง 30 วินาที ถ้ายาวๆ ก็อย่าให้เกิน 90 วินาที มันจะไม่ใช่ Reels แล้ว
- คลิปไหนที่มี engagement ดีๆให้ไปยิงแอดต่อได้เลย
- ถ้าเป็นบัญชีโฆษณารุ่นใหม่ๆจะยิงแอด คลิป Reels นั้นได้เลยทันที
- แต่ถ้าเป็นเป็นบัญชีโฆษณารุ่นเก่าจะต้องทำการอัพโหลดคลิปแล้วเลือก placement เป็น Reels แทน หรือถ้าอยากให้มีก็ต้องรอให้ Update ถ้าไม่อยากรอ Update แนะนำให้ไปสร้างบัญชีโฆษณาใหม่เลย
- คลิปไหนที่เราทำแล้ว engagement ดีให้นำมายิงแอดต่อได้เลยโดยวางจุด Call To Action ไว้ใน Comment นั่นเอง
แต่การที่เราทำคลิปดีๆนั้นก็มักจะมีสัมภเวสีคอยมาใส่ลิงค์แปลกๆ ใน Comment อยู่เสมอ แนะนำให้เราตั้งค่าป้องกันไม่ให้เขาเอาลิงค์ใส่ลงไปได้ ต้องไปตั้งค่าที่เพจนะครับ
ความคิดเห็นส่วนตัว
การทำคลิป reels ถือว่าเป็นการกระตุ้นให้ตัวเราเองสร้างแบรนด์ อยู่ตลอดเวลาแบบสม่ำเสมอ
ของเรามีคลิปสั้นออกมาเยอะ ก็เอาไปใช้งานต่อได้อีกมากมายในแพลตฟอร์มต่างๆ
อย่ามองแต่เรื่องรายได้ที่เกิดขึ้น จาก Reels เป็นหลัก
แต่ให้มองเป็นเครื่องมือขยายแบรนด์ ที่กำลังมาแรง ณ ตอนนี้!!
Update สถิติ ทำการตลาดด้วยวิดีโอ ที่คุณต้องรู้ในปี 2022
Update สถิติ ทำการตลาดด้วยวิดีโอ ที่คุณต้องรู้ในปี 2022
.
การตลาดที่มาแรงมากๆ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการทำการตลาดด้วยวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอขนาดสั้น ที่นำร่องมาจาก TikTok ตอนนี้ Social Media ทุกตัว ก็ต้องขยับตัวไปตามๆกัน
.
และข้อมูลหลายๆ อย่างบ่งชี้ว่า มันสร้างการรับรู้ และสร้างยอดขายได้มากกว่าสื่อแบบเดิมหลายเท่า! (ในบ้านเรา มีคนที่ใช้ TikTok เพื่อทำธุรกิจแล้วเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต มาแล้วหลายคน!)
.
ดังนั้น คนที่ทำธุรกิจที่ไม่อยากตกเทรนด์นี้ ต้องหันมาเข้าใจ กลยุทธการทำการตลาดด้วยวิดีโอ แล้วล่ะ
.
มาเริ่มต้นจากตัวเลขสถิติ เหล่านี้กันก่อนก็ได้ เพื่อจะได้วางแผนกันได้อย่างถูกต้อง ตั้งแต่ตอนนี้เลย!
.
ภาพรวม ของการตลาดวิดีโอ
.
69% ของคนดูวิดีโอ ชอบที่จะดูวิดีโอ ขนาดสั้นมากกว่า วิดีโอยาวๆ
.
87% ของนักการตลาด บอกว่า วิดีโอนั้นสร้าง ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดี
.
ค่าเฉลี่ยในการชมวิดีโอผ่านออนไลน์ ในตอนนี้ คือ 18 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์
.
83% ของคนที่ร่วมทดสอบบอกว่า ถ้าหน้าเว็บไซต์ มีวิดีโอ พวกเขาจะอยู่ในหน้านั้น นานกว่าเดิม (อันนี้จริงครับ เพราะคนจะหยุดดูวิดีโอ ก่อนจะเปลี่ยนไปดูหน้าอื่นๆ)
.
85% ของคนที่ร่วมทำแบบทดสอบบอกว่า พวกเขาอยากจะเห็น วิดีโอ จากกลุ่มคนทำธุรกิจมากกว่านี้
.
8 ใน 10 บอกว่าวิดีโอนั้น มีผลกระทบในเรื่องของการขายโดยตรง
.
ตอนนี้ มีการใช้วิดีโอ ด้วยวัตถุประสงค์ในการตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2017 มี 63% และในปี 2021 นี้มีสูงถึง 86%
.
ต่อไป ลองมาดูสถิติ ของฝั่ง Youtube
เครือข่ายวิดีโอออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด ในโลก ณ ตอนนี้ มีตัวเลขอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาดูกัน
.
มี Active User อยู่ที่ สองพันล้านคน ทั่วโลก
.
มีจำนวนการเข้าชมวิดีโอ 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน
.
มีการ Live ผ่านช่องทาง Youtube ตั้งแต่ปี 2020 เพิ่มขึ้นมากกว่า 45% ด้วยกัน
.
คนดูวิดีโอของ Youtube ผ่าน สมาร์ทโฟนถึง 70% ด้วยกัน ดังนั้น ภาพปกที่ออกมานั้น ควรจะทำให้โดดเด่น และอ่านออก แม้ดูผ่านมือถือ
.
70% ของคนที่ดูวิดีโอโฆษณาใน Youtube จะมีการซื้อสินค้าที่เขาเห็น
.
สถิติ ของแพลตฟอร์ม เฟสบุ๊ค
.
มี Active User อยู่ที่ 2.8 พันล้านคน ทั่วโลก
.
62% ของผู้ใช้งานเฟสบุ๊ค จะสนใจในแบรนด์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เห็นเนื้อหาที่ทำขึ้นใน เฟสบุ๊ค สตอรี่
.
ตัวเลขของคนดู เฟสบุ๊คไลฟ์ นั้นสูงขึ้นถึง 50% ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2020 (สำหรับเมืองไทย คนดู Live มากขึ้นเหมือนกัน ขึ้นกับ Content ที่นำเสนอ)
.
คนใช้งานเฟสบุ๊คใช้เวลา 34 นาทีต่อวัน
.
ในทุกๆ เดือน จะมีผู้ใช้งาน 1.2 พันล้านคนแวะเข้าไปดู เฟสบุ๊ควอทช์ (ถ้าเปิดดูเฟสบุ๊คในสมาร์ทโฟน เฟสบุ๊ควอทช์จะอยู่ในปุ่มด้านล่าง ใกล้กับปุ่มโฮม นี่หมายถึง เฟสบุ๊คให้ความสำคัญกับ Content วิดีโอ เป็นอย่างมาก)
.
สถิติ ของแพลตฟอร์ม TikTok
.
มี Active User อยู่ที่ 1 พันล้านคนทั่วโลก
.
60% ของคนใช้งาน TikTok มาจาก คน Gen Z (คนที่เกิดระหว่างปี 2540 – 2555)
.
วิดีโอแนวตั้งแบบเต็มจอ จะมีอัตราส่วนการชมตลอดทั้งคลิป สูงกว่าแบบอื่นๆ 25%
.
ผู้ใช้งาน TikTok จะใช้เวลา 46 นาที ต่อวัน ในการไถดูวิดีโอไปเรื่อยๆ (บางคนมากกว่านั้น จริงมั้ย?)
.
55% ของผู้ใช้งาน TikTok จะ Upload วิดีโอ ขึ้นไปโชว์ในช่องของตัวเอง (แสดงว่า คนทำ Content มีมากกว่า คนดูแล้วนะ)
.
สถิติ ของแพลตฟอร์ม Instagram
.
มี Active User อยู่ที่ 1 พันล้านคนทั่วโลก
.
80% ของคนดูชอบ วิดีโอ ประเภท How-to ใน Instagram
.
Story ที่สร้างขึ้นจากการถ่ายด้วย สมาร์ทโฟนธรรมดา ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า Story ที่ถ่ายจากสตูดิโอ
.
เวลาเฉลี่ยในการใช้งาน Instagram อยู่ที่ คนละ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน
.
90% ของผู้ใช้งาน Instagramนั้น จะติดตาม บัญชีธุรกิจ (นั่นหมายความว่า คนสนใจรับข้อมูลข่าวสารของแบรนด์ผ่านช่องทางนี้ แน่นอน)
.
และทั้งหมดนี้ ก็คือ ตัวเลขสถิติเกี่ยวกับการทำการตลาดด้วยวิดีโอ ที่คุณควรรู้ เพื่อนำไปวางกลยุทธในปี 2022 หรือให้ดี เริ่มจากตอนนี้ไปเลยก็ยิ่งดี
.
ที่มา
https://www.socialmediatoday.com/
.
สนใจเรื่องราว การตลาดใหม่ๆ ติดตามผมได้เลยนะครับ ในช่องทางต่อไปนี้!!
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #video #onlinemarketing
อัพเดท! Facebook ปรับใหม่ ลดวัตถุประสงค์ จาก 11 เหลือ 6!
คนทำโฆษณาด้วยเครื่องมือของ Facebook ต้องปรับตัวอีกครั้ง กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่ยุบวัตถุประสงค์ จากที่เคยเห็นทั้งหมด 11 ให้เหลือแค่ 6 ตัวเท่านั้น
.
หลายคนบอกว่า วัตถุประสงค์ข้อความไม่มี! อ้าวแล้วจะทำยังไง?
แล้วหายไปจริงมั้ย มาดูกันเลยครับ!!
.
วัตถุประสงค์เดิมของเฟสบุ๊คนั้น หลักๆ จะแบ่งออกมาเป็นสามส่วน ก็คือ
Awareness
Consideration
Conversion
.
และภายในนั้น จะมีวัตถุประสงค์แยกย่อยลงไปอีก
.
ความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังจะเกิดขึ้น (ตอนนี้หลายๆ คนน่าจะได้เจอ หน้าตาใหม่แล้ว) ตอนนี้ ปรับให้เหลือ 6 วัตถุประสงค์
- การรับรู้
เป็นการทำโฆษณา เพื่อให้เกิดการรับรู้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ - จำนวนผู้เข้าชม
เป็นการทำโฆษณาเพื่อส่งให้ผู้ชม เดินทางไปเข้าเว็บไซต์ แอพ หรือว่า shop ในเพจของเราได้
. - การมีส่วนร่วม
เป็นการทำโฆษณา เพื่อค้นหาคนที่มีแนวโน้มจะโต้ตอบกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นแชทกับเรา หรือ ดูวิดีโอ - ข้อมูลลูกค้า
จะเป็นการค้นหาคนที่สนใจในธุรกิจของเรา และ มีโอกาสที่จะ ส่งข้อมูลติดต่อของเขาให้กับเรา ซึ่งภายในนี้ จะมีวัตถุประสงค์ย่อยมาอีก หลายตัว นั่นคือ lead generation และ messenger
. - การโปรโมทแอพ
เป็นการทำโฆษณา ไปหาคนที่มีแนวโน้มจะติดตั้ง application ที่คุณทำโฆษณาออกไป
. - ยอดขาย
เป็นการทำโฆษณาออกไปหาคนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า ของเรา ไม่ว่าจะเป็นแบบ Offline หรือ online ก็ตาม
.
เมื่อมานั่งพิจารณา แบบนี้แล้ว จะพบว่า จริงๆ แล้ว หลายๆ วัตถุประสงค์ ที่เราเคยใช้งานนั้น ไม่ได้หายไป แต่ว่า จะเข้าไปอยู่ ในวัตถุประสงค์ต่างๆ ทั้ง 6 ตัวนี้แทน
.
“ข้อความ” จะเข้าไปอยู่ใน วัตถุประสงค์ ข้อมูลลูกค้า หรือ Lead นั่นเอง ดังนั้น ไม่ต้องตกใจกันนะครับ ยังอยู่เหมือนเดิม
.
“Conversions” จะไปอยู่ในวัตถุประสงค์ ยอดขาย หรือ Sale แทน ซึ่งการทำงานยังเหมือนเดิม
.
“การรับชมวิดีโอ” จะเข้าไปอยู่ในวัตถุประสงค์ การมีส่วนร่วม นั่นเอง
.
การ Update ครั้งนี้ จะทะยอยเปลี่ยนให้สำหรับแต่ละคน สำหรับผมเองนั้น ยังไม่เจอหน้าตาใหม่ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง จะมาพร้อมกับสิ่งดีๆ เสมอ (ยกเว้นค่าแอดที่แพงขึ้น ยิ้มทั้งน้ำตา)
.
แล้วเราควรปรับตัวอย่างไร?
.
ไม่ว่าสถานการณ์ จะเป็นอย่างไร interface ของเฟสบุ๊คจะเปลี่ยนไปกี่รอบ สิ่งสำคัญที่จะดึงเอาคนที่ใช่ มาเป็นลูกค้าของเรา นั่นคือ การทำ Content ที่ดี มีคุณค่า ทำให้อยากได้ อยากใช้ และ อยากได้จากเราเท่านั้น ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นจาก รีวิว ผลลัพธ์ ต่างๆ ที่คนใช้แล้วชอบ ใช้แล้วบอกต่อ
.
เป็นกำลังใจ ให้ทุกคนได้เดินต่อไป บนเส้นทาง ธุรกิจสายนี้ ที่คุณเลือกด้วยตัวเอง
.
สู้ๆ ครับ!
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
ยิงแอด Facebook ยังไง ในวันที่ iOS14 มาป่วนตลาดซะขนาดนี้!!
ยิงแอด Facebook ยังไง ในวันที่ iOS14 มาป่วนตลาดซะขนาดนี้!!
หลังจากที่ Apple ได้ประกาศลดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ใน iOS14
ทำให้การยิงแอด Facebook ได้รับผลกระทบโดยตรง
ความแม่นยำที่เคยเป๊ะๆ ละเอียดแบบสุดๆ จะเปลี่ยนไปแล้ว
“ไม่แม่นเหมือนดิม” เอาง่ายๆ
โดยเฉพาะการยิงแอดร่วมกับเว็บไซต์ หรือยิงแอด Conversion
ตอนนี้ ถือว่าอยู่ในช่วงที่ลำบากมากกว่าเดิม
ผมเชื่อว่า Facebook มีกลวิธีในการแก้เกมส์นี้ ได้อยู่แล้วครับ
เพียงแต่ช่วงนี้ อาจจะวุ่นวายหน่อย กับการปรับแก้ ให้มาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม
แล้วคนทำธุรกิจออนไลน์ ที่ยังต้องใช้ Facebook ในการสร้างรายได้
ต้องทำยังไง
วันนี้ผมจึงอยากแชร์ การยิงแอด Facebook ในช่วงเวลานี้ให้ทุกคนได้นำไปคิด และ ใช้ประโยชน์กันครับ
มา มาดูกันเลยครับ!!
- ใส่ใจกับ Content ให้มากกว่าเดิม
Content คือ แม่เหล็กที่จะดึงกลุ่มเป้าหมาย ให้มายัง inbox ของเรา
หลักการเขียน Content ที่ดี จะต้องมี คำพูด หรือ ความคิดของลูกค้าของเราอยู่ในนั้นเสมอ
- เขาอยากได้อะไร
- เขาไม่ชอบอะไร เขาบ่นอะไร
- เขามีปัญหาอะไรอยู่ ณ ตอนนี้
- ทางแก้ปัญหาเดิมของเขา เพียงพอหรือเปล่า
- สิ่งที่เราจะขาย มันแก้ปัญหาให้เขาได้ยังไง?
ถ้าลูกค้าในอนาคตของเรา ได้มาอ่าน แล้วมันจี๊ดใจ ตรงใจแบบตบเข่าฉาด
เขาก็จะ inbox มาหาเรา หรือ Comment ในโพสต์ ได้อย่างง่ายดาย
บางครั้ง Content ดีๆ สินค้ามีความต้องการ
ไม่ต้องใส่ความสนใจ ก็ปังได้
- ใช้ความสนใจ Core Audience ที่ Facebook มีให้
การยิงแอดขั้นต้นที่เราเลือกใช้ตั้งแต่ครั้งแรก ยังทำงานได้ดีอยู่
ลองมาโฟกัส ในการเลือกความสนใจกันอีกครั้งแบบละเอียดๆ
ส่วนใหญ่ เรากำหนดข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย มาการจินตนาการ ว่าคนที่น่าจะเป็นลูกค้าของเราเป็นใคร เพราะเราจะได้รายละเอียด ของเพศ วัย ที่อยู่อาศัยของเขา รวมทั้งความสนใจ ที่คนเหล่านี้น่าจะชอบ
และเราก็ต้องมาเช็คอีกครั้ง ด้วย Audience Insight (ใช้งานเวอร์ชั่นเก่าได้ถึง 1 ก.ค. 64) ก่อนนำมาใช้
แต่ยังมีความสนใจอีกสองแบบ ที่ควรกลับไปเลือกใช้ นั่นคือ
พฤติกรรม : เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ / การเดินทาง / วันเกิด / เป็นต้น /
กิจกรรมในชีวิต : เช่น แต่งงาน / การเปลี่ยนงาน / อาชีพ
- สร้างกลุ่มเป้าหมาย Custom audience จาก facebook เป็นหลัก เพื่อ Retarget
เมื่อเรายิงแอดไปแล้ว ในครั้งแรก ลูกค้า อาจจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าตั้งแต่แรก
ดังนั้น เราต้องหากลุ่มเป้าหมาย ที่สนใจเราจริงๆ
กลุ่มเป้าหมายแบบ Custom Audience ที่ยังใช้งานได้ดี ณ ตอนนี้
แนะนำให้ใช้ Source ที่มาจาก Facebook เป็นหลักก่อนนะครับ
แนะนำดังนี้ครับ
Custom audience จากคนที่ inbox มาหาเพจ ใน 30 วัน
Custom audience ที่มีส่วนร่วมกับ post หรือ โฆษณา ใน 3 วัน
Custom audience ที่มีส่วนร่วมกับ คลิปของเราเกิน 75% ใน 3 วัน
(แต่ละธุรกิจ ช่วงระยะเวลา อาจจะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นของที่ ไม่ต้องคิดเยอะ อาจจะ ใช้จำนวนวันน้อย ถ้าสินค้า ราคาสูง อาจจะต้องเปลี่ยนจำนวนวันให้นานมากขึ้น)
คนเหล่านี้ คือคนที่สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา
และมีโอกาสเป็นลูกค้าของเราในอนาคต
ดังนั้น จึงต้องโฆษณากลับไปหาเขาอีกครั้ง ซึ่งเรียกว่า การ Retarget นั่นเอง
- Retarget กลับไปหาคนที่มีส่วนร่วมด้วย Content ใหม่
การส่งโฆษณากลับไปหา กลุ่มเป้าหมายที่สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา
ไม่ใช่ การส่งโฆษณา Content แบบเดิมไปหานะครับ
แต่เป็นการส่ง โฆษณาใหม่ๆ เนื้อหาใหม่ๆ ที่จะทำให้เค้าตัดสินใจ หรือ มั่นใจมากขึ้น ที่จะสั่งสินค้ากับเรา
โฆษณาประเภทนี้ จะเป็น การสร้างขึ้นมาจากตัวจัดการโฆษณา เพราะมันจะไม่ขึ้นที่หน้าเพจ เพราะเราไม่ได้ต้องการให้เห็นทุกคน
เราต้องการเฉพาะ คนที่เราอยากเขาได้เห็นเท่านั้น
ซึ่ง Content เหล่านี้คือ
โปรโมชั่นพิเศษ
รีวิวผู้ใช้งาน
รางวัลการันตี
งบประมาณที่เราใช้งานในการยิง Retarget ไม่ต้องมากเท่ากับ core audience
เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ มีไม่มาก
ใช้แค่วันละ 100 บาทต่อกลุ่มเป้าหมาย 5,000 คน ก็ถือว่า พอเพียงแล้วครับ
เอาไปใช้กันได้เลยนะครับ!!
#digitalnook #facebookads #ยิงแอด
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้
5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้
2-3 ปีที่ผ่านมา คนที่เข้ามาในวงการขายของออนไลน์
จะคุ้นชินกับการซื้อขายผ่าน Facebook ผ่าน inbox ผ่านการแชท
ซึ่งถือว่าสะดวกสบายดี คนไทยชอบทัก ชอบคุยก่อนซื้อ
และระหว่างนั้นเอง คนไทยก็รู้จักการซื้อของผ่านเว็บมากขึ้น
เพราะการเข้ามาของ Marketplace เจ้าดังๆ อย่าง shopee lazada หรือ jdcentral
และซื้อโดยไม่ต้องทักถาม เห็นราคา เห็นรายละเอียด สนใจก็ซื้อเลย
จะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือ ที่ใกล้เคียงกับ Marketplace เหล่านี้?
สิ่งนี้เรียกว่า sale page นั่นเอง
ใครที่เคยรู้จักคำนี้ หรือ รู้จักแบบผ่านๆ
วันนี้ ผมจะขอแชร์ข้อมูลอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ
ว่าจะใช้ หรือ ไม่ใช้ดี กับ..
“5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้”
1.สร้างได้เร็วกว่าทำเว็บ
จริงๆ sale page คือ เว็บไซต์หน้าเดียว นั่นแหละ ที่ยกเอาเมนูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออก เหลือเพียงข้อมูลและปุ่มที่จำเป็น ดังนั้น จึงไม่เน้นความซับซ้อนในเรื่องระบบ และการเรียนรู้
sale page ปัจจุบัน เน้นเครื่องมือที่ง่าย สะดวกสบาย เพราะต้องการให้คนใช้งานง่ายที่สุด หากใครเคยพิมพ์ word มาก่อน การทำ sale page ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้าเตรียมข้อมูลพร้อม ใช้เวลา 30 นาที ก็เสร็จพร้อมใช้งานได้แล้ว
2.เก็บสะสมพฤติกรรม สะสมลูกค้า จากหน้า salepage ได้
ข้อดีที่น่าสนใจสำหรับ sale page นั่นคือ การเก็บพฤติกรรมผู้ใช้งานที่เข้ามาในหน้านั้น โดยใช้ code บันทึกสถิติเข้ามาช่วย
ถ้าฝั่งของ Facebook กับ TikTok เราเรียกว่า Pixel (ส่วนใหญ่เก็บได้มากกว่า 1 pixel ต่อ 1 sale page)
ถ้าฝั่งของ Google เราเรียกว่า Google analytics
ส่วนการเก็บสะสมลูกค้าที่สนใจ มีความพร้อมซื้อสินค้าของเรา ก็คือ การติดปุ่มทักไลน์ เอาไว้ในหน้า sale page นั้นด้วย ซึ่งเป็น function พื้นฐานที่ salepage จะต้องมีอยู่แล้ว
3. Retargeting ข้าม platform ได้
เมื่อเราเก็บสะสมพฤติกรรมลูกค้าได้ เราก็สามารถจะ Retargeting ทำการตลาดหลอกหลอน ลูกค้าได้แล้ว
ยิ่งเราสะสม pixel ได้หลายแบบ ไม่ว่าจะ Facebook TikTok หรือ Google ก็สามารถทำการตลาด Ratargeting ได้ครบทุกช่องทาง
จะเข้ามาจากช่องทางไหน ก็จะโดน Raetargeting ไปทุกที่เลย ว่างั้น!!
4.ลดงาน admin แชทน้อยลง
Salepage ที่มีข้อมูล มากพอ ให้ลูกค้า ศึกษา ตัดสินใจ มาก่อนหน้า
จะช่วยลดลงาน admin ไปได้เยอะ ไม่ต้องทักถามให้เสียเวลา
หากเขาตัดสินใจจากข้อมูล การแก้ปัญหา รีวิวผู้ใช้งาน ข้อเสนอที่ดี มากพอ
ลูกค้าก็พร้อมทักไลน์ หรือ กดฟอร์มสั่งซื้อได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องถามแอดมินเพิ่ม
และตอนนี้ salepage ที่ให้บริการส่วนมาก จะเชื่อมโยงกับบริการ Line Notify หรือ การแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อมี Order เข้ามา จึงทำให้ลูกค้าได้รับการติดต่อที่รวดเร็ว ส่วนคุณและ แอดมินก็เห็นยอดเข้าทันที
แบบนี้ ดีมั้ยครับ?
5. เก็บฐานข้อมูลลงระบบ เป็นระเบียบ
ส่วนใหญ่คนขายของออนไลน์ โดยมาก ไม่ค่อยจะเก็บฐานข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ ถ้าลูกค้าซื้อของ กรอกฟอร์มผ่าน salepage ข้อมูล เบอร์โทร ชื่อ ที่อยู่ จะถูกเก็บเอาไว้ ให้คุณนำมาใช้งานได้
Salepage ส่วนใหญ่ สามารถดึงข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นไฟล์ Excel เพื่อใช้งานได้อย่างมีระบบ
ดึงเอาเบอร์โทร ลูกค้ามาทำ Custom audience แล้วไปสร้างเป็น Look a like audience ได้อีก!
สรุป
นี่คือ “5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้”
ลองไปคิด วิเคราะห์ เพิ่มเติมกันได้นะครับ 😉
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
5 เหตุผลที่ ที่คนกดโฆษณา มาใน salepage แล้วไม่ซื้อ
5 เหตุผลที่ ที่คนกดโฆษณา มาใน salepage แล้วไม่ซื้อ
ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้
กระแสการใช้ salepage ในบ้านเรานั้น เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
เพราะ ช่วยลดเวลา ในการอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจไปได้มาก
ลดเวลาการตอบเกี่ยวกับสินค้าและบริการไปได้มาก
(แม้ความจริง ลูกค้าบางส่วน จะยังไม่อ่าน แล้วเข้ามาถามใน inbox ก็ตาม)
แต่หลายคนก็ยังเจอปัญหาว่า
ลูกค้ากดโฆษณามา ใน salepage แต่ทำไม ยังไม่กดถาม กดทักซื้อ?
ลองมาอ่านแนวคิด การแก้ปัญหานี้ แล้วลองไปทำกันดู
เพื่อปรับปรุงให้ salepage ของคุณ ทำงานได้ดีขึ้น
1.สื่อสารเร้าใจ และเข้าใจดี หรือยัง
เรื่องราวที่น่าอ่าน คือ หัวข้อเรื่องที่เกี่ยวกับคนอ่าน ไม่ใช่นำด้วยเรื่องของสินค้าของคุณ
พยายามโยงให้เห็นเป็นลำดับขั้นต่อไปนี้
- ทำให้เห็นปัญหา หรือ pain point ของเค้ามากพอหรือเปล่า
- พูดถึงความเจ็บปวดที่เขามีหรือยัง
- มีผลลัพธ์โชว์ให้ดูหรือเปล่า
- มีรีวิว testimonial ให้ดูหรือเปล่า
2.ราคาเหมาะสมหรือเปล่า
ลองสำรวจราคา ว่าเหมาะสมหรือเปล่า เร้าใจหรือไม่ ถ้าเป็นเรา เราจะซื้อสินค้าในราคานี้มั้ย? (แบบไม่ลำเอียงตัวเอง)
- หากเป็นเรา จะซื้อสินค้า ในราคานี้มั้ย
- ถ้าเหมือนคู่แข่ง เรามีอะไรที่เหนือกว่า
- พยายามลองจัด Set สินค้า ประเภท 3 ชิ้น 5 ชิ้น หรือ 3 แถม 2 เพื่อทำให้ยอดขายของเราเพิ่มขึ้น จากการคลิกแอดเข้ามา 1 ครั้ง
3.ข้อเสนอดีพอหรือเปล่า
เรื่องเล็กๆ บางเรื่อง กลายเป็นปัจจัย ที่ทำให้คนเลือกซื้อ หรือ ไม่เลือกซื้อเช่นกัน ลองปรับดูนะครับ ว่าตอนนี้ สินค้าของคุณขายแบบไหน?
- มีเก็บเงินปลายทางมั้ย : คนไทยซื้อของครั้งแรก จะไม่มั่นใจกับร้านใหม่ๆ ที่เลือกซื้อ เพราะกลัวโดนโกง ดังนั้นเก็บเงินปลายทางจะทำให้คนกล้าสั่ง
- ค่าส่งฟรี : ค่าส่งเหมือนยาขมในบทสนทนา พอได้ยินค่าส่ง แล้วไม่เอา ให้ลองปรับกลยุทธ รวมค่าส่งไปกับสินค้า / แล้วคำนวณกันดีๆ นะครับ
4. สร้างความขาดแคลน เร่งด่วนไว้หรือยัง?
การสร้างขอบเขต หรือ ข้อจำกัด ให้รู้สึกต้องซื้อตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ยังใช้งานได้ดีเสมอ ซึ่งมักจะมาในคำพูดของ
- มีเวลาจำกัด ข้อจำกัดเฉพาะ
- 20 คนแรกทีสั่งซื้อเท่านั้น / ภายในวันที่…
ถ้านึกไม่ออก ลองไปหาดูรายการ ควอนตัมเทเลวิชัน ทีวีไดเร็กต์ หรือ ช่อง 8
5.ติดต่อ ยากไปหรือเปล่า
บางที สินค้าดี คนเห็นแล้วชอบ แต่กดสั่งยังไงเนี่ย!! มองหาไม่เจอ ลองไปดูสิว่าใน salepage ของเรา ขาดสิ่งเหล่านี้ไปมั้ย?
- คำพูดในปุ่มติดต่อ สื่อสารดีหรือยัง : อย่าใช้ปุ่ม LINE หรือ Mesenger เฉยๆ คนงง ให้สื่อสารว่า “กดปุ่มนี้ติดต่อเรา” “ปรึกษาเรากดปุ่มนี้” “ทักไลน์กดเลย” แบบนี้คนเข้าใจง่ายกว่ามาก
- ปรับตำแหน่ง กดติดต่อ ให้มากขึ้น : อย่าเอาไว้ล่างสุด อย่างเดียว ให้ติดตั้งถี่มากขึ้น จะด้านบน สำหรับคนใจร้อน ตรงกลางสำหรับคนที่อ่านเพลิน ด้านล่าง สำหรับคนที่ชอบอ่านถ้วนถี่ หาก salepage ไหนมีปุ่มลอย ก็ถือว่าดีมาก
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
ถ้าวันนี้ไม่มี Facebook แล้วใช้อะไรแทนดี?
ถ้าวันนี้ไม่มี Facebook แล้วใช้อะไรแทนดี?
ลองคิดกันเล่นๆ ว่าหากวันนี้ ไม่มี Facebook ให้ใช้แล้ว
เราจะใช้อะไรแทนกันดี?
ถ้าไม่มีให้ใช้จริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันนะครับ
เพราะเราลงทุนสร้างตัวตน สร้างคน สร้างฐานแฟนไว้ใน Facebook กันเยอะมาก
เป็น Social Media ที่เติบโตด้วยการแชร์เรื่องราวต่างๆ
เป็น Social Media ที่เราใช้ในการสื่อสารพูดคุยกับลูกค้า และดึงให้เข้ามาใช้บริการเราได้
แม้เราจะบ่นว่า ทุกวันนี้ ค่าโฆษณาแพงเหลือเกินก็ตาม
แต่หากวันไหน Facebook ล่ม แล้วธุรกิจของคุณสะดุด
แสดงว่า เราเอาทุกอย่างไปอยู่ใน Facebook หมดจริงๆ
จะดีกว่ามั้ย หากเราได้สร้างฐานข้อมูลในบ้านหลังอื่นๆ เอาไว้ด้วย
เราลองมาศึกษา เครื่องมือออนไลน์ ตัวอื่นๆ กันดูบ้าง
ปล. ถ้า Facebook ไม่มีจริงๆ
สิ่งที่จะหายไปด้วย ก็คือ Instagram Whatsapp เพราะเป็นบริษัทเดียวกัน
ลองมาดูกันมะ
1.LINE
คนใช้งานในไทย 45 ล้านบัญชี
เครื่องมือ สื่อสารที่คนไทย ใช้งานเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว ทั้งพิมพ์ ทั้งโทร ทุกวันนี้
หากจะใช้ LINE ในการสื่อสาร แนะนำให้ใช้ LINE Official Account หรือ LINE OA เพราะมีฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวก ให้เจ้าของกิจการ สื่อสารกับ ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นการบรอดแคสต์ข้อความที่ส่งไปถึงผู้ติดตามได้ครบ 100% หรือการทำระบบสะสมแต้ม ให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องไปซื้อโปรแกรมเสริมอื่นๆ
เมื่อเทียบค่าส่งบรอดแคสต์ กับค่าโฆษณาหาลูกค้าใหม่ ถือว่าคุ้มค่ามากครับ
2.Youtube
คนใช้งานในไทย 40 ล้านบัญชี
นี่คือช่องทางคลาสสิกที่คนไทย ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้เฉพาะความบันเทิงเพียงอย่างเดียว หลายธุรกิจ สร้างตัวตนและยอดขายได้มากมาย จากการลงใน Youtube
ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของการรีวิว การเอามาบอกเล่า ให้ความรู้ ให้คุณค่า
และ รายได้จะตามมาหลังจากนั้น
3.TikTok
คนใช้งานในไทย 18 ล้านบัญชี
นี่คือแพลตฟอร์ม ที่กำลังมาแรงในบ้านเรา แม้ช่วงแรก คนจะมองว่ามีแต่เด็กๆ เล่น เต้นๆ คงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ทุกวันนี้ คนขายสินค้า สร้างตัวตนกันมากมาย และเติบโตอย่างรวดเร็วใน แพลตฟอร์มนี้
มันเหมือนกับ Facebook หรือ Instgram เมื่อ 5-6 ปีก่อน ที่ทำยังไง ก็ขึ้นง่าย
ดังนั้น จึงไม่ควรพลาดกระแสนี้
เพียงแต่ให้เข้ามาในมุมของการทำธุรกิจอย่างมีรูปแบบ ที่คน TikTok รู้สึกว่าไม่ยัดเยียด
ดังนั้นคุณต้องเล่น TikTok ให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในนี้เสียก่อน จะไปลงมือทำโฆษณา
4.Twitter
คนใช้งานในไทย 7.15 ล้านบัญชี
แม้คนจะไม่เยอะมาก แต่นี่คือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทรงอิทธิพล
เพราะเร็ว แรง อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าจับทางได้ถูก แบรนด์ของคุณจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้า หรือ บริการที่เหมาะกับคนในวัย 20-45 หรือ คนรุ่นใหม่ๆ
เครื่องสำอาง ขนม Bakery ร้านกาแฟ สินค้าเหล่านี้ คือสิ่งที่ได้รับความนิยมสูง
5.Website
มีคนพูดว่าเว็บไซต์จะตาย เมื่อ 20 ปีก่อน
แต่ทุกวันนี้ เว็บไซต์ ก็ยังอยู่ดีเสมอ และมีการพัฒนารูปแบบการแสดงผลที่ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่จะดีกว่า หากคุณมีเว็บไซต์ของตัวเอง และคนรู้จัก จดจำได้
นี่คือบ้านหลังใหญ่ของตัวคุณเอง ที่สามารถ สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมาได้เอง
ไม่มีระเบียบใดๆ ที่ใครจะมาห้ามคุณ (แต่ต้องถูกกฏหมายนะ)
ดังนั้น คุณจึงต้องมีเว็บไซต์ เอาไว้เป็นฐานบัญชาการ ของคุณเอาไว้ด้วย
6.Google
ต่อเนื่องจากเรื่องของเว็บไซต์
คนจะรู้จักเว็บของคุณได้เร็วขึ้น หากคุณเข้าใจเรื่องการทำ SEO และ SEM
SEO = Search Engine Optimization คือ ทำยังไง ก็ได้ให้ติดหน้าแรก Google แบบไม่เสียเงิน
SEM = Serach Engine Marketing คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ติดหน้าแรก Google ด้วยการเสียเงิน
ศาสตร์การทำโฆษณาแนวนี้ นี้ อาจจะซับซ้อนกว่า Facebook มากพอสมควร
แต่ถ้าตั้งใจทำ หรือทำได้ เราจะเจอลูกค้าที่พร้อมซื้อ อย่างแน่นอน
เพราะเวลาคนมีปัญหา จะ search Google ก่อนเสมอ
ปล. ถ้าธุรกิจของคุณเป็นหน้าร้าน แนะนำให้สร้าง Google Business
อันนี้้ คือ การทำการตลาดให้ติดหน้าแรก ได้เร็ว และง่ายที่สุดแล้ว
ผมเคยแนะนำเอาไว้ ลองไปหาอ่านกันได้ครับ
7. Email
แม้หลายคนจะบอกว่า คนไทย ไม่ได้ใช้ อีเมล์แล้ว
แต่หลายๆ ธุรกิจ ก็ยังเติบโตได้ด้วยการใช้อีเมล์
อีเมล์ เหมาะกับสินค้าและบริการประเภทองค์กร และ สินค้าประเภท Digital product
แต่ผมก็เชื่อว่า มีสินค้าที่จับต้องได้ หลายรายการ เขาทำกำไรในการขายผ่าน Email
สิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมก็คือ การบริหาร List Email ให้เป็นขั้นเป็นตอน
8.Marketplace
คนไทย คุ้นชินกับการสั่งซื้อของผ่านแอพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ความต้องการสินค้า จึงมีเพียบในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada หรือ JD Central
หลายกิจการ ขายสินค้าแบบไม่ต้องยิงแอด ใน Marketplace เหล่านี้มานานแล้ว
บางคนอาจจะบอกว่า มีแต่ คนมองหาของถูกที่สุดในแอพเหล่านี้
แต่คุณสามารถขายราคาสูงได้ ถ้ารีวิว และ มีบริการที่รวดเร็ว และ ดีเยี่ยมกับลูกค้า
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
Facebook Desktop เวอร์ชั่นใหม่ เตรียมตัวใช้ กันยายนนี้
Facebook Desktop เวอร์ชั่นใหม่ เตรียมตัวใช้ กันยายนนี้
ข่าวด่วน สำหรับคนที่ใช้ Facebook เป็นประจำใน
Version Desktop (ใช้ผ่าน PC หรือ Notebook หรือเครื่อง Mac นั่นแหละครับ)
ตอนนี้ Facebook ได้ประกาศออกมาอีกครั้งอย่างจริงจังแล้วว่า
จะปรับ User Interface ของทุกคน ให้กลายเป็นแบบใหม่แล้ว ภายในเดือน กันยายนนี้
ใครที่ปรับมาใช้ของใหม่จนชิน แล้วก็แสดงความยินดีด้วย
ส่วนใครที่ใช้ของเก่า แล้วไม่ชอบของใหม่… อันนี้ คงต้องทำใจ และยอมรับมันนะจ๊ะ
ที่สำคัญ ตอนนี้ ads manager ของ Facebook ก็ปรับปรุงใหม่ อีกเช่นกัน
ซึ่่งอันนั้น สำคัญกว่า เพราะหาก เราพลาดรายละเอียด เล็กๆน้อยๆ ไป
อาจจะทำให้ งบประมาณ ที่ใช้ลงโฆษณา ผิดพลาดได้!
ไปแคร์ตรงนั้นดีกว่า
สรุป
คิดเสียว่า แพลตฟอร์มไหน ที่มีการปรับปรุงบ่อยๆ แสดงว่า ปรับปรุงเพื่อให้คนใช้งานได้ดีขึ้นในทุกๆวัน ดีกว่า จะได้สบายใจ
แต่อย่างน้อยๆ ข้อดีก็คือ ใช้งานพวกวิดีโอ แล้วชัดกว่าเดิมนะ 😉
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง
4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค
จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง
มีปัญหาจากทาง inbox ถามมาบ่อยๆว่า
เราจะยิงแอดในเฟสบุ๊ค ให้ตรงกว่าเดิม
ต้องใช้กลุ่มเป้าหมายอะไร?
เคยฟัง คนบอกว่าเอาเบอร์โทร ลูกค้ามาใช้ อันนี้จริงมั้ย?
เพื่อให้คำถามนี้ มีคำตอบ
ผมเลยขอยกมาบอกในหน้าเพจนี้ เพื่อให้ได้อ่านทั่วกันนะครับ
ในบทความนี้
“4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค
จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง”
ปล. คัดและเน้นเฉพาะวิธีการที่ทำได้เลย
วิธีการเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่า การทำ Custom Audience นะครับ
หรือชื่อไทย คือ กลุ่มเป้าหมาย กำหนดเอง
1.เบอร์โทร ลูกค้า
ทุกวันนี้ ถ้าขายของ แล้วไม่ได้จัดเก็บข้อมูลลูกค้า
ถือว่า คุณพลาดเก็บข้อมูลที่ดี ไว้ใช้ในวันข้างหน้าแล้ว
ข้อมูลเบอร์โทรนี้ สามารถนำมาสร้างเป็นกลุ่มเป้าหมายได้
เพราะเฟสบุ๊ค จะนำไป จับคู่กับข้อมูล ของลูกค้าในเฟสบุ๊คให้โดยอัตโนมัติ
(คนเราใช้งาน facebook ได้ต้องมี เบอร์โทรศัพท์ เสมอ)
และควรจะระบุไว้ด้วยว่า ลูกค้าแต่ละราย เคยซื้อสินค้าจากเราด้วยเงินเท่าไร?
จากประสบการณ์ การใส่เบอร์โทร แต่ละครั้ง ให้ใส่ครั้งละ 1000-2000 เบอร์ครับ
หรือจะเริ่มจาก 500 เบอร์ขึ้นไป ก็ได้
2.การมีส่วนร่วมกับเพจ
คนที่เข้ามาในเพจของเรา เข้ามากดไลค์ กดแชร์ อินบ๊อกซ์มา หรือ comment กลุ่มคนเหล่านี้ คือคนที่มีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆ
เราเรียกว่าการมีส่วนร่วม หรือ มี engagement กับเพจของเรา
ดึงคนเหล่านี้มาสร้างกลุ่มเป้าหมายได้ครับ
เพียงแต่อาจจะต้องระบุระยะเวลาที่เขา เข้ามามีส่วนร่วมด้วยนะครับ
ถ้าสินค้าที่ต้องพิจารณานานๆ ใช้เวลา ประมาณ 45-60 วัน
ถ้าสินค้า ที่ไม่ต้องคิดนาน ใช้ประมาณ 30 วัน
3.การดู video ของเพจ
ในเฟสบุ๊ค ถ้าเราดูคลิปไหนนานๆ ได้ แสดงว่า เราชอบสิ่งที่อยู่ในคลิป
ถ้าเราไม่ชอบ แค่เห็นก็ปัดทิ้งไปแล้ว
ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้เราคัดคนที่ชอบสินค้าของเราได้ จากการดูคลิปวิดีโอ
เฟสบุ๊คจะเก็บข้อมูล คนดูวิดีโอ ได้หมด
ถ้าเรามีวิดีโอ โฆษณา ยาว 15 วินาที ถ้าคนดูไปเกินครึ่ง หรือ มากกว่า 75%
แสดงว่าสนใจสินค้าตัวนั้นๆ
เราสามารถดึงคนกลุ่มนี้ เอามาไว้ทำการตลาดได้อีกครั้งครับ
4. การเข้ามาในเว็บไซต์
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ
เราสามารถนำมาสร้างเป็นกลุ่มเป้าหมายได้
เพราะคนเหล่านี้ ต้องสนใจ เนื้อหาในเว็บจริงๆ
การจะเก็บข้อมูลคนที่เข้าเว็บไซต์ของเรา ต้องติดตั้ง Pixel เข้าไปด้วย
Pixel คือโค้ดภาษา HTML ที่ใช้จับพฤติกรรมคนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรา
ถ้าไม่ติดตั้ง Pixel ในเว็บ เราจะเก็บข้อมูลไม่ได้
ถ้ายังไม่มี ให้ไปติดนะครับ (ขอโปรแกรมเมอร์ช่วย)
ถ้ายังไม่มีเว็บ ไปทำเว็บก่อนครับ 55
พอมีข้อมูลแล้ว เราจะสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมาย ของคนเข้าเว็บไซต์เรา
เพื่อไปทำการตลาดต่ออีกครั้งได้
ทั้งหมดนี้ คือ 4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ในเฟสบุ๊ค
จากข้อมูลลูกค้าเก่า ได้ครับ
สรุป
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook