ลูกค้าเก่าชอบสั่งของทาง LINE มากกว่า Facebook จริงหรือ
ลูกค้าเก่าชอบสั่งของทาง LINE มากกว่า Facebook จริงหรือ
มีหลายคนเคย inbox มาถามผมนะครับ
ว่าจะเลือกใช้อะไรในการทำการตลาดออนไลน์หรือขายของดี
ระหว่าง Facebook กับ LINE
( LINE ในที่นี้หมายถึง LINE@ หรือว่า LINE official account นะครับ)
จากประสบการณ์ที่ได้ทำเองมาแล้ว
พบว่าลูกค้าที่มีการซื้อซ้ำบ่อยๆ
มาจากไลน์ประมาณ 80%
ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมากนะครับ
แล้วทำไมคนถึงเลือกที่จะสั่งผ่านไลน์มากกว่าผ่านทาง facebook
นั่นเป็นเพราะว่าไลน์เป็นเครื่องมือสื่อสารบนโทรศัพท์มือถือที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด
สะดวกรวดเร็ว และคุณชินมากกว่าการใช้ messenger ของฟรี
ผมไม่เถียงนะครับ
ว่าตอนแรกเนี่ยเราจะต้องไปหาลูกค้าใน Facebook
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
เพราะ Facebook คือเครื่องมือสื่อสาร ที่คนชอบดูชอบแชร์
เพราะจะเจออะไรใหม่ๆเข้ามาใน platform นี้เสมอ
ฉันจะมีเครื่องมือในการทำโฆษณาเยอะแยะมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวีดีโอหรือแม้แต่ลิงค์เข้าไปในเว็บไซต์ก็ตาม
รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาก็มีมากมายถึง 13 วัตถุประสงค์ด้วยกัน
แต่เมื่อได้มาเป็นลูกค้ากันแล้ว
ส่วนใหญ่เวลาจะกลับมาซื้อมักจะทักทาง LINE@ ที่เราได้ส่งไปให้เสมอ
ลูกค้าที่อยู่ใน Facebook inbox จะมีกลับมาบ้างแต่ไม่เยอะเท่ากับ LINE@
แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้
เคล็ดลับของมันอยู่ตรงนี้ครับ
ทุกครั้งที่ลูกค้ามีการทัก inbox มา
แสดงว่าเขามีความสนใจหรืออยากได้สินค้าเรามากๆอยู่แล้ว
(ยกเว้นว่ามือลั่นนะครับ)
ผมเลือกที่จะใส่ลิงค์ LINE@ ไปไว้ในข้อความต้อนรับอยู่เสมอ
ซึ่งถ้าลูกค้ายอมกดลิ้ง LINE@ เพื่อมาคุย
แสดงว่าเขามีความต้องการสินค้าหรือบริการขึ้นไปอีก 1 Step
นี่คือการคัดกรองลูกค้าคุณภาพโดยไม่ต้องใช้กำลังภายในเลย!!
และลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าหรือบริการของเราผ่านทาง LINE@
เมื่อประทับใจก็จะกลับมาสั่งสินค้าของเราอีกครั้งผ่านช่องทางนี้อยู่เป็นประจำ
เพราะมันง่ายอยู่ใกล้มือ
ข้อสังเกตหนึ่งของผมนั่นก็คือ รายชื่อของร้านค้าที่ปรากฏอยู่บน Line
มัน มันหาง่ายกว่า Facebook
นี่คือหัวใจที่ลูกค้าติดต่อเรา ผ่าน LINE@ มาได้ง่ายกว่า
สรุปนะครับ
ถ้าเราต้องการหาลูกค้าใหม่ให้ใช้ Facebook
แต่ถ้าต้องการสื่อสารกับลูกค้าเก่าให้เลือกใช้ Line@
แต่ว่าตอนนี้ LINE@ จะเปลี่ยนเป็น LINE official account แล้วนะจ๊ะ
มกราคม 2563 นี้ได้ย้ายกันทุกคน
ยังมีเวลาเรียนรู้ก่อนในช่วงท้ายปี ไปโหลดมาลองทำให้คุ้นชินคุณมือ
เพราะว่าหน้าตาต่างกันไปหมด ไม่เหมือนของเดิมเลยจ้า
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะให้ระลึกเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เราไม่สามารถต้านทานได้
เราจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับมันได้อย่างรวดเร็วที่สุด
ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะถูกทิ้งไว้ภายหลัง
ชีวิตต้อง Move On นะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ ต้องเข้าใจ 2 สิ่งนี้ก่อน (สำหรับมือใหม่)
มีคนเคยถามว่า อยากสร้างยอดขายด้วยช่องทางออนไลน์
ต้องทำยังไงดี ต้องใช้เครื่องมืออะไร
ที่จะทำให้เกิดยอดขายและรายได้ตามมา
ก่อนที่จะไปรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ
ผมอยากจะแชร์แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างยอดขายโดยช่องทางออนไลน์
ให้เข้าใจแบบง่ายๆ
ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาให้อ่านกันนะ
“อยากได้ยอดขายทางออนไลน์ต้องรู้จัก 2 สิ่งนี้ก่อน”
ค่อยๆที่กระโดดเข้ามาบนช่องทางออนไลน์
น่าจะเกิดจากความคิดที่ว่า ตอนนี้ขายของบนโลกออนไลน์เริ่มแผ่วแล้ว
มาทางออนไลน์น่าจะง่ายกว่า
เพราะว่าใครๆก็มาขายกัน
อันนี้ เป็นความคิดที่ถูกต้องครับ
แต่จะถูกเมื่อประมาณสัก 7 8 ปีก่อน
เพราะว่าสมัยนั้นคนยังลงมาแข่งขันในตลาดนี้ไม่เยอะเท่าไหร่
ดูแล้วเป็นสิ่งที่ใหม่ ตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
ตัดรอบต่อไปนี้ หันมองไปทางไหน ทุกคนก็ขายของออนไลน์
ทุกคนก็ลงมาแข่งในสนามเดียวกันหมดเลย
การลงออนไลน์เป็นเรื่องดี แต่คู่แข่งก็มากขึ้นตามลำดับ
การสร้างยอดขาย ก็ต้องใช้ความพยายามสูงขึ้นเงาตามตัว
แต่ก่อนที่จะไปหาเครื่องมืออะไรมาช่วยผ่อนแรง
ต้องเข้าใจก่อนว่า ยอดขายบนโลกออนไลน์นั้นมาจากอะไร
ยอดขาย เท่ากับ Traffic คูณกับ Conversation
อธิบายให้ฟังง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องของคำว่า Traffic และ conversion
ถ้าสมัยก่อนเราจะทำธุรกิจสัก
เราก็ต้องเลือกทำเล หาพื้นที่ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะๆ
ที่ไหนรถไม่ผ่าน คนไม่เดิน แบบนี้เราก็คงไม่เลือก
เราจะเลือกสถานที่ที่คนเดินเยอะๆ และที่สำคัญจะต้องเป็นกลุ่มลูกค้า ที่จะใช้สินค้าหรือบริการของเราด้วย
วิธีการคิดแบบนี้ก็คือ การหา Traffic นั่นเอง
แต่หากเรามีเฉพาะแค่ Traffic คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ
แต่ไม่มีการเชื้อเชิญลูกค้าเข้า หรือว่าลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยลูกค้าดูของไป
หรือพอเข้ามาถามก็ตอบแบบขอไปที
หรือไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลอะไรจนลูกค้าพอใจ เชื่อใจ
หรือให้ข้อมูลมากเกินไปและไม่ได้ไปถึง ช่วงสำคัญ นั่นคือปิดการขาย
แบบนี้ยอดขายก็ไม่เกิดแน่นอน
กระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคนเข้ามาในร้านของเราแล้ว
เปลี่ยนจากคนเยี่ยมชม ให้กลายเป็นคนซื้อของ หรือลูกค้าของเรา
สิ่งนั้นคือความหมายของคำว่า Conversion
คราวนี้ลองมามองในมุมของโลกออนไลน์กัน
บอลโลกออนไลน์นั้นทุกคนไม่จำเป็นจะต้องไปหาทำเล
เพราะเราสามารถที่จะเสิร์ฟสินค้าหรือบริการของเรา ไปถึงหน้าจอของลูกค้าทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม
ในเมื่อทำเลกว้างขวางขนาดนี้
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือการหากลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
วิธีการคิดหากลุ่มเป้าหมายก็คือ
สินค้าของเราแก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง ให้นึกภาพออกมาเป็นเหมือนกับคนคนนึง ที่เขาเห็นสินค้าหรือบริการของเราแล้วอยากจะซื้อใช้ทันที
อายุ เพศ การศึกษา ความชอบ พฤติกรรมต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะใช้ในการหากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Facebook
หากกลุ่มคนเหล่านี้สนใจ
แล้วทักมาหาเราไม่ว่าจะเป็นการ inbox หรือ Line มาถาม
สิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนคนทักให้กลายเป็นลูกค้า
นั่นคือ ทักษะในการตอบคำถาม ให้ข้อมูล สร้างบรรยากาศ ให้เกิดความอยากได้
แล้วสรุปเพื่อปิดการขายให้ได้
บางคนทำโฆษณาได้ดีมีคนทักมาแล้ว
แต่บรรยากาศในการซื้อการขาย แสนจะวังเวง ถามคำตอบคำ
หรือมุ่งมั่นเอาแต่จะขายของอย่างเดียวโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
หรือเห็นบทสนทนาแล้วอยากจะกดปิดหน้าจอ แล้วไปหาร้านอื่นแทน
แบบนี้ยอดขายก็ไม่บังเกิดอย่างแน่นอน
สรุปนะครับ
ถ้าต้องการที่จะมียอดขายที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเรียนรู้เทคนิคให้คนเข้ามาในร้านของเราเยอะๆ
นั่นคือเทคนิคในการเปลี่ยน คนทัก ให้กลาย ลูกค้าของเรา
สำคัญจริงๆนะครับ
ฝากเอาไปด้วย
ลองไปปรับปรุงกันนะครับว่าตอนนี้เราพลาดที่จุดไหน
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เคล็ดลับ เอาปุ่มข้อความออกจากโพสต์เฟสบุ๊ค ทำได้แบบนี้นี่เอง
เคยสังเกตมั้ยครับ
ว่าเวลาเราโพสต์เฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดิโอ หรือ Photo album
แล้ว เฟสบุ๊คจะมีการติด ปุ่มข้อความไว้ให้ทักแชท
เพราะอะไร
เพราะเขาต้องการให้เราสื่อสาร สอบถามเจ้าของเพจได้
เป็นบริบทของการสอบถาม ทักถามให้พูดคุย ซื้อขายกัน
ที่บอกแบบนี้ เพราะว่าวันนั้น ผมใส่ตัวเลข ไปในโพสต์ คำว่า 50 บาท 100 บาท
เฟสบุ๊คจะมองว่า คำนี้คือ ราคาสินค้า เป็นการขายของ
เป็นการโฆษณา
เมื่อมองเป็นโฆษณา การปรับ reach ก็จะลดลงไป
แต่หากโพสต์ของเราเป็นโพสต์ที่ต้องการให้คุณค่ากับลูกค้า
แล้วดันลืมใส่ ปุ่มข้อความเข้าไปด้วย
จะไปแก้ไขจะไป edit โดยตรง ทำไม่ได้เลย!!
แล้วทำไงดี
คลิปนี้ จะเฉลยเคล็ดลับที่ทำให้คุณเอาปุ่มข้อความ ออกจากโพสต์ได้ง่ายๆ เลยครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ก่อนจะ ยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
ก่อนจะยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
เมื่อวันก่อนครับ
ผมได้รับข้อความทาง inbox มาจากผู้ประกอบการรายหนึ่ง
มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของยอดขาย
อยากเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ยิงโฆษณาเสียเงินไปหลายหมื่น
แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ผมเลยขอดูเพจที่ทำตอนนี้ ว่าโพสต์อะไรอยู่บ้าง
และพบอะไรหลายๆ อย่างที่ น่าจะเอามาแชร์แนวคิด ให้พวกเราได้อ่านกันครับ
ก่อนจะยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ทำสิ่งนี้ก่อน
1. โพสต์เรื่องที่ดี มีคุณค่ากับคนอ่าน
คนทำธุรกิจออนไลน์ ส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามการโพสต์แบบให้คุณค่า
การโพสต์ที่ทำให้คนสนใจเรา มองว่าเราคือผู้ให้
แต่จะมุ่งเน้นไปที่การขายของเลย
ถ้าสินค้าคุณ ราคา 100-200 บาท จะยิงขายเลย
ไม่ใช่เรื่องผิดเลย สร้างยอดขายจากการยิงแอดได้เลยครับ
แต่หากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าต่อชิ้นสูงกว่านั้น
จะดีกว่ามั้ย
หากเราลองเพิ่มโพสต์เนื้อหาที่มีคุณค่า ให้กับคนอ่าน คนติดตามไปด้วย
ทำให้เค้าเห็นว่า เรารู้ถึงปัญหา หรือ สิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่
ซึ่งสิ่งนั้น เรารู้ดี เราเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเป็น คนให้บริการเรื่องซ่อมบ้าน
เนื้อหาที่เราจะนำมาโพสต์ ควรเป็น
– ซ่อมบ้านมือสอง ต้องใช้งบเท่าไร
– ประตูพัง เปลี่ยนใหม่ ใช้แบบไหนดีนะ
ถ้าคุณพูดในเรื่องนี้ บ่อยๆ สม่ำเสมอ
คนจะรับรู้ว่าคุณคือคนเก่ง ในเรื่องนี้ทันที
ต่อไป เวลามีปัญหา เขาจะนึกถึงใครก่อน?
2. มีความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆ
คนที่กำลังมองหา เจ้าของเพจ เจ้าของธุรกิจ ที่จะมาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับเขา
มักจะมองถึงประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำก่อนเสมอ
เนื้อหาที่นำเสนอภายในเพจ
นอกเหนือจากจะให้คุณค่าแล้ว การให้ข้อมูลเชิงลึก จะช่วยทำให้เพจของเราดู
เป็นคนที่มีความรู้แบบ insight
แต่วิธีการนำเสนอ จะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
ซึ่งเทคนิคการเขียนให้คนอื่นๆที่อยู่นอกเหนือวงการเข้าใจ
ก็คือ การนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว
เช่นการอธิบายเรื่อง ริชเมนู
ที่เป็นฟีเจอร์สำคัญ ของ Line@ หรือ LINE OA ว่าคืออะไร
เมื่อต้องการให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ก็อาจบอกได้ว่า Rich Menu นั้น เป็นเสมือนกับเมนู ที่ทำให้ลูกค้า
ได้ไปพบกับข้อมูล สำคัญสำคัญของเรา โดยไม่ต้องใช้คนมาตอบเอง
ลูกค้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
หรือ เปรียบดั่งประตูทางเข้า ที่พาไปสู่การสร้างยอดขายของธุรกิจของคุณ ได้โดยอัตโนมัติ
การอธิบายให้คนได้เข้าใจเรื่องใหม่ๆ
ด้วยประสบการณ์เดิมที่เขามีอยู่ นอกจากจะทำให้เข้าใจง่ายแล้ว
คนเหล่านั้นอย่างมองว่าคุณเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆในเรื่องนั้นๆ
เพราะถ้าไม่รู้อย่างถ่องแท้ จะไม่สามารถอธิบายด้วยการอุปมาอุปไมยได้
3. ความน่าเชื่อถือ ผลงานที่ผ่านมา
นอกจากการเป็นตัวจริง และรู้จริงในเรื่องนั้นๆ แล้ว
สิ่งที่จะเติมเต็มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ติดตาม ก็คือ
ผลงานที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำไว้
สิ่งที่เคยช่วยเหลือคนอื่นมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น
เป็นธุรกิจรถยนต์มือสอง
ก็ต้องมีการโชว์โพสต์คนมารับรถที่ร้าน
มีการสัมภาษณ์ความรู้สึกของลูกค้า
ว่าทำไมถึงมั่นใจเลือกใช้บริการของเรา
ทั้งๆที่มีเจ้าอื่นให้เลือกมากมาย
คนกำลังทำสัญญาเพื่อรับมอบรถจากเรา
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้คนเชื่อมั่น และกล้าจะติดต่อธุรกิจกับเรามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
4. ความสม่ำเสมอ
คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินว่าธุรกิจนั้นยังดำเนินอยู่หรือเปล่า
จากวันที่โพสต์ล่าสุด ที่อยู่บนเพจ
ถึงแล้วว่าวันนี้ธุรกิจออฟไลน์ของคุณกำลังดำเนินอยู่
แต่หากหน้าเพจไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
คนอาจจะตัดสินไปแล้วว่า
ธุรกิจนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหว
ไปหาเจ้าอื่นๆ แทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เพจที่เลิกทำธุรกิจไปแล้ว มักจะไม่โพสต์อะไร ต่อไป หลังจากที่ธุรกิจปิดตัวแล้ว)
ความสม่ำเสมอ มีความสำคัญแบบนี้ครับ
สรุป
ลองไปปรับใช้กันนะครับ
ก่อนจะยิงแอดในครั้งต่อไป ลองเช็คว่า เรายังขาดข้อไหนบ้าง
รีบเติมเต็ม อย่างน้อยสัก 3 ข้อ
ก่อนที่จะลงทุนยิงแอด..
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
80/15/5 สูตรลับทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
80/15/5 สูตรลับ ทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
ทุกวันนี้คุณทำเพจเพื่อธุรกิจออนไลน์ ทำเพจขายของ
หากวันนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายในการยิงกันมากมายแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ที่คุณอาจจะลืมนึกไป
วันนี้ผมมีเทคนิคเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพจเดิมของคุณ
ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น
หากทำตามสูตรนี้
รับรองว่าลูกค้าจะอนุญาตให้คุณขายของเขาได้เลย!!
ซึ่งสูตรลับนี้ ผมได้เรียนมาจาก อ.เอเทน (Aten) และ อ.อั๋น
มาดูกันเลยครับว่าสูตรลับนี้ มีเคล็ดลับอย่างไร
สูตรลับที่ว่านี้ก็คือ 80/15/5
ตัวเลขแต่ละตัวที่กล่าวมานั้นเมื่อรวมกันก็คือ 100
เรามาขยายความตัวเลขแต่ละจำนวนกับดีกว่าครับ
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
- 80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
- 15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
- 5 : ช่วงขายของ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
ทุกวันนี้ Content ที่อยู่บนเพจของเราหน้าตามันเป็นยังไงครับ
เราขายของกันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเอ่ย
มันไม่ผิดนะที่เราจะขายของเพราะเราทำเพจขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการหารายได้ให้กับตัวเอง
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราอยากบอก
ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง
เพราะคนติดตามเพจของเราต้องการได้รับเนื้อหาอะไร ที่มีคุณค่ากับเขา
สังเกตว่า Content ที่มีคุณค่าจะมีคนกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ไปจนกระทั่งการแชร์
ก็เขาบอกว่า Content นี้มีความหมายและมีคุณค่ามากพอ
ลองกลับไปดูเพจของตัวเองนะครับ ว่ามีคนแชร์โพสต์ไหนของคุณมากที่สุด
นั่นคือคุณค่าที่คนติดตามหรือคนอื่นเขามองเห็น
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าวันนี้คุณขายสินค้าเป็น ผงชาเขียว
คนที่กำลังมองหา ผงชาเขียว อยู่แล้ว อาจต้องการเพียงสินค้าตัวอย่างเพื่อลองไปใช้ และรอคอยข้อเสนอราคาที่เหมาะสม
แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่รู้ว่า ผงชาเขียว เอาไว้ทำอะไร
จะไม่ได้สนใจแล้วมองผ่านเลยไป
จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราสามารถทำให้คนไม่ได้สนใจ ผงชาเขียว
หันมาสนใจ จนเกิดความอยากได้ และติดต่อซื้อผงชาเขียวจากเรา
เราสามารถส่งต่อเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผงชาเขียวได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น
ประโยชน์ของชาเขียวที่มีต่อสุขภาพ
สูตรทำขนมที่ทำจากผงชาเขียว
สูตรทำเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาเขียว
รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายเมนูที่ทำจากชาเขียว
สังเกตว่าเรากำลังพูดถึงประโยชน์ ของผงชาเขียว ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้
เมื่อเรานำมาขยี้ ให้เห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผงชาเขียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็จะเกิดความต้องการ ผงชาเขียวขึ้นมา
อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เราทำไม่เคยทำเนื้อหา แบบนี้!
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
คนส่วนใหญ่เวลากดโฆษณาใน Facebook มักจะเข้ามาดูเนื้อหาที่โพสต์เอาไว้ในเพจเสมอ
หาเพจของคุณไม่เคยมีตัวอย่างของ
คนใช้สินค้าหรือบริการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า
ภาพของตัวคุณเองกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่ามีเฉพาะ
โพสต์ขายของอย่างเดียว
สรรพคุณของฉันดีอย่างไร
คนที่เข้ามาดูเพจจะรู้สึกอย่างไร
หาโพสต์ที่สร้างคุณค่าอยู่มากพอแล้ว
ลองเพิ่มโพสต์ที่ทำให้คนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
คนที่ติดตามจะมั่นใจมากขึ้น
แล้วส่วนใหญ่มักจะซื้อตามแบบ ที่คุณขึ้นในโพสต์แบบนี้
– มีโพสต์ภาพแบบซื้อยกลัง ก็จะมีคนซื้อตามแบบ
– มีโพสต์ว่าซื้อแบบขายปลีกได้ ก็จะมีคนซื้อตามแบบขายปลีก
สิ่งที่คุณโพสต์ไปแบบไหน
คนก็จะทำตามสิ่งที่คุณโพสต์
5 : ช่วงขายของ
เมื่อคุณให้คุณค่ากับคนติดตามได้มากพอแล้ว
เขารู้จักคุณมากพอแล้ว
เขารู้ว่าคุณคือตัวจริงในธุรกิจนี้
หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้คุณค่ามาตลอด
เขาจะไม่ปรึกษาใคร
แต่จะมาปรึกษากับคุณ
ในวันที่คุณเอ่ยปาก
เสนอขายหรือยื่นข้อเสนอให้กับเขา
วันนั้นความลังเลหรือสงสัย
แทบจะไม่มีเลย
เพราะเขาอนุญาตให้คุณขายของเขาได้
อย่างน้อย ก็ตัดสินใจได้เร็วกว่าวันแรกที่ไม่เคยรู้จักคุณเลย
ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
ผมคิดว่า มันจะมีประโยชน์ ในการทำเพจ ของคุณเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อย
ก็มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่าน Content นี้ 😉
สรุป
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
5 : ช่วงขายของ
ลองนำไปใช้กันะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน (สำหรับมือใหม่) ทำได้แบบนี้นี่เอง
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน(สำหรับมือใหม่)ทำได้แบบนี้นี่เอง
การทำโฆษณาใน Facebook ปัจจุบันนี้
ถ้าจะคาดหวังให้ลูกค้าซื้อของเราตั้งแต่ครั้งแรก น่าจะเป็นเรื่องยาก
เพราะมีตัวเลือกมากมายอยู่ใน Facebook ด้วยกัน
ด้วยกันมี ด้วยกันมีทั้งข่าวสาร วีดีโอ และ Content ต่างๆมากมาย ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งในหน้าฟีด
หากเราทำโฆษณาได้เก่งมากๆ โอกาสที่จะขายได้ตั้งแต่ครั้งแรก ก็เป็นไปได้
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาในการดูโฆษณามากกว่า 1 ครั้ง ถึงจะตัดสินใจซื้อได้
จะดีกว่าไหมหากเรารู้วิธีทำโฆษณาที่ตามไปหลอกหลอน
ลูกค้าจนใจอ่อน และซื้อสินค้าของเราในที่สุด
ถ้าให้นึกภาพออกอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเว็บไซต์จองที่พักดังๆ อย่าง agoda.com สังเกตดีๆ เวลาเราเข้าไปดูข้อมูลที่พักที่เราสนใจ แล้วยังไม่ได้เลือกจองทันที ปิดหน้าจอออกมา แล้วเข้าไปใน Facebook ก็จะเห็นโฆษณาของที่พักที่เราเพิ่งดูไปในเว็บ Agoda
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
หรือเวลาเราเข้าไปใน Shopee หรือ Lazada เข้าไปดูสินค้า สนใจ แต่เผอิญว่ายังไม่มีเงินตอนนี้ ก็เลยออกมาจากเว็บไซต์หรือว่า Application ก่อน นั่งทำใจสักพักแล้วเปิด Facebook ดู ไม่นานนักก็จะมีโฆษณาสินค้าที่เราดูใน shopee หรือ Lazada ตามโผล่มาแสดงให้เราเห็น กะเอาให้ใจอ่อนแล้วซื้อทันที
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ
เอาล่ะงั้นเรามาดูดีกว่าว่า เจ้าโฆษณาที่ผมบอกว่ามันตามหลอกหลอนนั้นจริงๆแล้วมันเรียกว่าอะไรกันแน่
โฆษณาที่เรากำลังพูดถึงนี้เขาเรียกกันว่า การโฆษณาแบบ ReMarketing
ขออธิบายนิยามของคำว่า ReMarketing ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ReMarketing คือ
การทำโฆษณา ที่มีใจความ
จุดประสงค์เดิม กลับไปหาคนที่รู้จัก
หรือ สนใจ สินค้า หรือบริการของเรา
ซึ่งสามารถสื่อสารในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโฆษณาเดิม รูปแบบเดิมๆ
ทำไมเราต้องทำRemarketingด้วยล่ะ
นั่นเป็นเพราะว่า คนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ยกตัวอย่างกรณีของผมเอง
ผมเห็นโฆษณาแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า KLOOK เป็น App ที่เราสามารถซื้อตั๋วกิจกรรมซิมการ์ดต่างๆนานา โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แล้วได้เป็นคูปอง เพื่อนำไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นบริการท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ
สะดวกสบายดีนะเพราะว่าไม่ต้อง ไปสื่อสารหรือว่าใช้เงินสดในการซื้อ เมื่อไปถึงต่างประเทศ เพราะผมจะได้เอาเงินสดไปกินไปเที่ยว
กว่าผมจะตัดสินใจใช้บริการของ KLOOK
ผมเห็นโฆษณาของเค้าประมาณ 10 กว่าครั้งได้ ถึงจะตัดสินใจใช้บริการ ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณานะครับ
พอจะเห็นภาพของการทำRemarketingแล้วใช่ไหมครับ
จะทำ remarketing ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
ก่อนจะทำโฆษณาแบบ Remarketing ควรเข้าใจเรื่องต่อไปนี้ก่อนนะครับ เพราะนี่คือพื้นฐานสำหรับการทำ remarketing นั้นเอง
- ควรเข้าใจการทำโฆษณาด้วย ads manager
- ควรเข้าใจเรื่อง custom audience
- ควรเข้าใจเรื่อง Facebook Pixel
- ควรมีเว็บไซต์ ที่ติด Facebook Pixel
สิ่งที่ผมอยากจะให้เน้นเป็นพิเศษนั่นคือแนวคิดของการทำ Custom audience เพราะจำเป็นมากในการทำRemarketing ซึ่ง Custom audience ที่อยากจะให้ใช้ คือการทำ Custom audience จากคน จากคนดูวีดีโอ และคนเข้าเว็บไซต์
แนวคิดของ custom audience ด้วย video
ลองสังเกตดูนะครับ เวลาเราชอบดู คลิปอะไรนานๆ จนจบแสดงว่าเราชอบมาก ถ้าเป็นคลิปที่เราไม่ชอบ แม้แต่กดพลาด ก็ยังต้องรีบไถหน้าจอไปอย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น เราชอบเรื่องฟุตบอล เวลามีคลิปการเตะของทีมบอลที่เราชื่นชอบ ปรากฏขึ้นมาใน Facebook เราจะต้องหยุดดูจนจบหรือเกือบจบ แต่ถ้าไม่ใช่คลิปบอล เป็นเนื้อหาอื่นๆที่เราไม่ได้ชอบเลย เราก็แทบจะไม่มองคลิปนั้นด้วยซ้ำ
ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ก็พอจะบอกได้ว่าเราเป็นคนที่ชอบฟุตบอลนั้นเอง
หรือถ้าเป็นผู้หญิง เวลาเห็นคลิปวีดีโอที่โชว์กระเป๋ารองเท้าสวยๆ ก็จะหยุดดูจนจบคลิปหรือเกือบจบคลิป
ดังนั้นการทำ custom audienceคนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ
ดังนั้นการทำ custom audience คนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ และมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากกว่าคนที่ไม่ดูคลิปเลย
พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ
แนวคิดของ custom audience ด้วย website
คนที่เข้ามาในเว็บเรา ย่อมเข้ามาเพื่อมีจุดประสงค์ เพื่อดูข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา เพราะเว็บของเราคือเว็บเฉพาะทาง เป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการของเราเท่านั้น
ไม่ใช่เว็บทั่วไปหรือเว็บบันเทิงที่ต้องมาติดตามข่าว
ถ้าเข้าชมนานๆ แสดงว่าเขาสนใจ ไม่ได้พลาดมาเจอ ถ้าเขาดูหน้าไหน แสดงว่าเขาชอบเนื้อหาในหน้านั้น
ถ้าเราจะทำ Custom Audience ของคนเข้าเว็บไซต์ เราจึงควรเลือกคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา ในเวลานานๆ และถ้าเขาเข้าดูข้อมูลสินค้า หรือ บริการในหน้าไหน แสดงว่า ถ้าเขาเห็นสินค้านี้อีกครั้ง ก็จะจดจำได้
สำหรับการทำ custom audience ด้วยเว็บไซต์ จำเป็นต้องมี เว็บไซต์ ที่ติดตั้ง Facebook Pixel ไว้ด้วย จึงจะทำ Remarketing ของคนเข้าเว็บได้
ถ้าอยากรู้เรื่อง Facebook Pixel ให้ไปดูได้ใน Content นี้ครับ
สรุปแนวคิดของการทำโฆษณาแบบ Remarketing สำหรับมือใหม่ไว้แบบนี้นะครับ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์การรับชมวีดีโอ แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2. ทำ Custom audience ของคนที่ดูโฆษณาเกิน 75 หรือ 95 เปอร์เซ็นต์ของความยาวทั้งหมดของวีดีโอ
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ถ้าสำหรับคนที่มีเว็บไซต์ แนวคิดของการทำโฆษณาRemarketing โดยเว็บไซต์ก็คือ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์แบบ Traffic แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2.ทำ Custom audience ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการทำ Remarketing แบบพื้นฐานเท่านั้น ยังมีวิธีการทำที่ละเอียดมากไปกว่านี้
แต่อยากให้ทุกคนลองทำ ปรับใช้ตามความเหมาะสมเสียก่อน
ถ้าทำแล้วติดปัญหาอะไรสามารถสอบถามกันได้นะครับ
ทำโฆษณาแบบหลอกหลอน Remarketing Retargeting สำหรับมือใหม่ ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
มีเจ้าของกิจการ มีผู้ประกอบการหลายคน
ปรึกษาผมมาส่วนตัวว่า
อยากเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ยังไม่ได้เปิดเพจเลย
จะเริ่มต้นยังไงดี
จะต้องทำเนื้อหา จะต้องทำ Content แบบไหน
หลายท่านน่าจะประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
ผมขอแชร์ไอเดียให้ฟังแบบนี้ครับ
การทำธุรกิจออนไลน์ ก็คือการประยุกต์วิธีการขายของ วิธีทำธุรกิจในโลกออฟไลน์
แล้วมาประยุกต์ใช้กับเครื่องมือที่มีอยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้นเอง
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เพียงแค่เครื่องมือที่ใช้มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
อันดับแรกต้องตอบคำถามตัวเองว่า
ยอดขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 100 เปอร์เซ็น
หากแบ่งเป็นสัดส่วนออกมาแล้ว
ยอดขายที่เกิดจากลูกค้าประเภทไหนมากที่สุด
ให้เลือกโฟกัสไปที่ลูกค้าประเภทนั้นก่อนเสมอ
เพราะจะทำได้ง่ายกว่า
และคุ้มค่าที่จะทำมากที่สุด
เมื่อเราเลือกประเภทลูกค้าได้แล้ว
เราก็จะรู้วิธีการ สร้างรายได้จากลูกค้าประเภทนั้น
การตั้งชื่อเพจก็จะเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าเหล่านั้นต้องการ
เพื่อทำให้ลูกค้าใหม่ๆได้มาเจอเราง่ายขึ้น
ภาพที่เราทำเอาไว้ใน Header ของ Facebook
ก็ควรจะทำให้แสดงไปอย่างชัดเจนว่า สินค้าหรือบริการของเรานั้นตอบโจทย์เขา
เนื้อหาที่เราจะนำเสนอผ่านเพจ
ก็จะต้องเป็นเรื่องราวในแนวทางเดียวกัน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เพราะคนอ่าน คนติดตามจะสับสน ว่าตกลงเพจของเรานำเสนออะไรกันแน่
เนื้อหาที่เราจะทำควรเป็นเนื้อหาที่สร้างคุณค่าให้คนติดตาม
เป็นเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราอยากจะอ่านจริงๆ
ส่วนเนื้อหาที่จะขายของนั้นควรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่รองลงมา
การสร้างคุณค่าให้คนเห็นเยอะๆ
เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความคุ้นเคยให้กับผู้ติดตาม
เพราะการที่คนจะเลือกซื้อเลือกใช้สินค้าหรือบริการ
จะไม่ได้มองเพียงแค่เรื่องราคาเป็นหลัก
แต่ยังมองในมุมอื่นๆ อาทิ ความมั่นใจ บริการหลังการขาย การรับประกัน ผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มีคนเคยรีวิวเอาไว้อย่างไรบ้าง?
ถ้าเป็นสมัยก่อนเริ่มพวกนี้เราอาจจะไม่ต้องคิดมาก
เพราะตัวเลือกมีไม่เยอะ มีอะไรฉันก็พร้อมที่จะซื้อ
แต่วันนี้ทุกคนวิ่งเข้ามาในตลาดออนไลน์เกือบหมดแล้ว
ในแง่ของเครื่องมือทุกคนมีความรู้เท่าเทียมกัน
ความแตกต่างของสินค้า หรือบริการ ก็คือ
ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ที่เขามีให้ต่อผู้ให้บริการนั่นเอง
วันนี้คุณสร้างความแตกต่างของคุณแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่มีเลย
ให้คิด และวางแผนก่อนที่จะเปิดเพจ
ลองคิดจากปัจจุบันก็ได้
ทุกวันนี้ลูกค้าที่ยังซื้อสินค้าของคุณอยู่นั้น เขาเลือกซื้อ เลือกใช้บริการจากคุณเพราะอะไร
นี่แหละคือความแตกต่าง
คุณจะต้องชูสิ่งนี้ให้ทุกคนได้เห็น
เพราะเมื่อเขาเห็น เขาจะมองถึงความแตกต่างของคุณ
ลองทำเป็นเช็คลิสต์ เป็นข้อๆ ก็ได้ครับ
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ จะเป็นแหล่งข้อมูล ในการทำเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว!
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook
6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
วันนี้เหนื่อยกับการยิงแอดหรือเปล่า
วันนี้เหนื่อยกับการหาลูกค้าใหม่ๆอยู่หรือเปล่า
มั่นใจว่านี่คือภารกิจที่ทุกคนจะต้องทำ
เมื่อเข้ามาสู่การทำการตลาดออนไลน์
การใช้เงินเพื่อโฆษณาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
จะดีกว่าไหมหากวันนี้
เงินที่เราลงโฆษณาไป เพื่อตามหาลูกค้าใหม่ๆ
จะทำงานได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
เพราะลูกค้าสมัยนี้จะเลือกซื้ออะไร
จะพิจารณาจากหลายองค์ประกอบมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
และนี่คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
มีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยจ้า
1. ตั้งชื่อ ให้ search ง่ายๆ ใน เฟสบุ๊ค และ google
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ถือว่าคลาสสิคมากๆ
เป็นหัวข้อลำดับต้นๆที่เราต้องคำนึงถึงในการสร้างเพจขึ้นมาใหม่
ชื่อที่ดีจะทำให้เราเจอลูกค้าใหม่ๆมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลย
ดีไหมล่ะไม่ต้องจ่ายตังค์
บางคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วในโลกออฟไลน์
จะย้ายมาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ แล้วใส่ชื่อแบรนด์ของตัวเองก็ไม่ผิด
แต่คนที่จะเจอเพจของเรา เขาจะรู้ได้อย่างไร
ถ้าเป็นลูกค้าเก่าก็แค่ search ชื่อแบรนด์ของเราก็พอแล้ว
แต่ถ้าเป็นคนใหม่ๆ เราต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพื่อทำให้เขารู้จักเรา
เทคนิคที่จะช่วยเสริมให้ลูกค้าใหม่ๆมาเจอเราได้
นั่นคือการใส่คำค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เข้าไปในชื่อเพจ
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณคือ
อู่ซ่อมรถ ที่สมุทรปราการ
หากใส่เพียงชื่ออู่ของคุณ เวลาคนใหม่ๆ search ใน Facebook หรือ Google จะไม่มีทางเจอคุณได้เลย แต่ถ้าคุณเพิ่มคำว่า “อู่ซ่อมรถสมุทรปราการ” เข้าไป ลูกค้าใหม่ๆที่กำลังมองหาอู่ซ่อมรถ ในสมุทรปราการก็จะเจอคุณทันที
และยิ่งชื่อเพจของคุณไปติดอยู่ในลำดับต้นๆของ Google
โอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆ จะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
2. ใส่ข้อมูลทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ที่เปิดเผยได้ ลงไปใน note
เมื่อคนเข้ามาในเพจของคุณ สิ่งที่เขาต้องการอยากรู้นอกเหนือจากข้อมูลในไทม์ไลน์
นั่นคือบทสรุปเกี่ยวกับธุรกิจของคุณโดยคร่าวๆ
คุณสามารถใส่เรื่องราวต่างๆ นี้เข้าไปได้ทั้งข้อความ ภาพ Link เว็บไซต์หรือ Social Media อื่นๆได้เลย เบอร์โทรศัพท์ เบอร์ติดต่อ อีเมล
คุณสามารถใส่เรื่องราวความสำเร็จ ที่มาที่ไปแบบสั้นๆ
รางวัลที่คุ้นเคยได้รับ สินค้าที่คุณเคยให้บริการ
คุณสามารถจัดรูปแบบของบทความ ได้ง่ายๆเหมือนใช้โปรแกรม Word
ที่ดีไปกว่านั้น มันสามารถแสดงผลใน Facebook ได้อย่างรวดเร็ว
ลูกค้าใหม่ๆสามารถเรียนรู้ธุรกิจของคุณภายในเวลาเล็กน้อย
เพิ่มความมั่นใจได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ดีไหมครับ
3. auto messenger เด้งขึ้นมา แล้วส่งข้อความ ไปทางไลน์ หรือ เบอร์โทร
คนเราสมัยนี้ใจร้อนมากกว่าเดิม
ถ้าติดต่อผ่านทาง inbox แล้ว ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
โอกาสที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการของคนอื่น ก็มีสุขมาก
จะดีกว่าไหม
ถ้าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันที
แม้จะไม่ได้ตอบคำถามของเขาได้หมดในครั้งแรกก็ตาม
แต่ก็ถือว่าได้ตอบสนองต่อการทักทายของเขาแล้ว
ฟังก์ชันนี้สามารถทำได้ง่าย โดยไปที่
Setting > Messeging > Starting a Messenger Conversation
ปรับ Show a greeting ให้เป็น On
แล้วปรับแต่งข้อความต้อนรับ ได้ตามความต้องการ
ซึ่งในขั้นตอนนี้คุณสามารถจะใส่เบอร์โทรเบอร์ line เบอร์อีเมล์เว็บไซต์ได้ตามความต้องการ
ลูกค้าที่มีความต้องการพบคุณโดยเร่งด่วน จะติดต่อผ่านทาง LINE หรือ หรือโทรมาหาคุณโดยทันที
เป็นการเพิ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมซื้อหรือใช้บริการของคุณ
4. เติมเต็มข้อมูลใน about ให้ครบ ทุกช่อง
คนทำเพจส่วนใหญ่ มักจะละเลยข้อมูลใน section about
เพราะเป็นเมนูด้านข้าง เป็นแถบเล็กๆ
หาข้อมูลส่วนนี้ช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักเราเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าเดิม
เพราะนี่คือช่องใส่เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ เวลาทำการ รวมไปถึงที่อยู่
การมีข้อมูลให้คนติดต่อได้ง่ายกว่า
ย่อมทำให้มีโอกาสให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเราได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินด้วย
มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ทำมัน
วิธีการทำก็ง่ายๆ
ถ้าอยู่หน้า desktop ก็ให้มองไปที่ด้านซ้าย
แล้วดูคำว่า about
เมื่อกี้ไปแล้ว จะพบข้อมูลในช่องว่างให้เรารออัพเดท
ใส่เข้าไปเลยครับ!
5. Header เฟสบุ๊ค จัดให้เต็มๆ ทั้งเบอร์โทร เบอร์ไลน์
ส่วนบนสุดของหน้าเพจ
ที่เป็นภาพโชว์ขนาดใหญ่
สิ่งนี้เราเรียกว่า Header ของ Facebook
นี่คือพื้นที่แสดงความเป็นตัวตนของเรา
ที่แสดงให้เห็นถึงสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนออยู่
คือสิ่งที่ควรจะพิจารณาเอามาใช้
หากเป็นไปได้
การใส่เบอร์ line หรือเบอร์โทรศัพท์
จะว่างให้เหมาะสมโดยไม่รบกวนเกินไป
จะเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้กับคุณได้
การออกแบบ Header
ควรคำนึงถึงการแสดงผลในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
เพราะคนส่วนใหญ่ใน Facebook จะใช้มือถือในการเล่น
เมื่อออกแบบมาดูดีแล้วในเวอร์ชั่นเดสก์ท็อป
ลองดูตอนที่มันแสดงผลในหน้าจอมือถือด้วย
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆไป
6. เพิ่มจำนวนรีวิว สร้างบรรยากาศให้น่าซื้อมากขึ้น
เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้ว
หาร้านข้าวกินโดยที่ไม่มีข้อมูลไหม
หรือไปเที่ยวต่างประเทศ
แล้วไม่มีข้อมูลรีวิวบอกเลย
เราจะตัดสินใจเลือกร้านกินด้วยอะไร
ส่วนใหญ่เราจะดูจากคนที่เข้าไปกินอาหารในร้านนั้น
ถ้าคนเยอะแสดงว่าเป็นร้านอร่อย จะต้องมีอะไรดีๆอยู่แน่นอนเลย
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้ “ผ่าน”อย่างแน่นอน
หรือใกล้ตัวขึ้นมาอีกหน่อย
เวลาไปตลาดนัด แล้วคนมุงดูหน้าร้านเยอะๆ
เราย่อมจะให้ความสนใจกับมันมากกว่าร้านอื่นๆ
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้มีอะไรดีอย่างแน่นอน
บนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน
เราจะทำอย่างไรให้คนมามุงเยอะๆ
สิ่งนี้สามารถทำได้บนหน้าเพจ
นั่นคือจำนวนรีวิวจากลูกค้านั่นเอง
เทคนิคง่ายๆในการที่จะเพิ่มจำนวนรีวิวก็คือ
การขอร้องให้ ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าของเรา หรือลูกค้าประจำ ช่วยรีวิวสินค้าหรือบริการของเรา ผ่านช่องรีวิวของเพจ
อาจจะแลกเปลี่ยนกับส่วนลดในการซื้อครั้งต่อไป
หรือมอบของสมนาคุณให้กับเขา ก็เป็นไปได้
เพราะคะแนนรีวิวจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ๆได้เป็นอย่างดี
และทั้งหมดนี้ ก็คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
หวังว่าทุกคนจะนำไปประยุกต์ใช้กับเพจตัวเอง
แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นนะครับ
เทคนิคเปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนภาพของโพสต์เฟสบุ๊ค ที่โฆษณาไปแล้ว ทำได้แบบนี้นี่เอง
เทคนิคเปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนภาพของโพสต์เฟสบุ๊ค ที่โฆษณาไปแล้ว ทำได้แบบนี้นี่เอง
.
ปัญหาอีกอย่าง ที่หลายๆ คนสงสัย
นั่นคือ ทำโพสต์บนเพจ แล้วทำการโฆษณาจนผ่านการ approve จากเฟสบุ๊คแล้ว
แต่เผอิญว่า มีบางอย่างต้องแก้ไขเล็กน้อยแล้วค่อย boost ต่อ
.
พอจะกด edit ก็หาที่ edit ไม่เจอ
ซึ่งอันนั้น เป็นเรื่องปกติที่เฟสบุ๊คกำหนดไว้อยู่แล้ว
.
แล้วทำยังไงดีล่ะ
.
อันที่จริง เทคนิคนี้ ไม่ใช่เทคนิคที่ยุ่งยาก หรือ ล้ำสมัยแต่อย่างใด
แต่หากใครไม่เคยทำ อาจจะต้องเสียเวลา กับการปรับแต่งด้วยตัวเอง
.
ถ้าอยากหาทางลัด ก็ให้อ่านตามคำแนะนำในโพสต์นี้ได้เลยครับ
(ย้ำว่า เทคนิคนี้ สำหรับการทำโฆษณาจาก existing post ครับ ถ้าเป็นแบบ create ads ขึ้นมาใหม่ วิธีนี้ไม่จำเป็นเลย)
.
1.ไปที่ campaign ที่เราต้องการปรับ
เลือก campaign ที่เราโฆษณาผ่านแล้ว แต่อยากปรับเนื้อหา หรือ เปลี่ยนภาพ
แล้วไปคลิกไป edit ad
2.เปลี่ยน ad ที่กำลังแสดงผล เป็นโพสต์อื่นในเพจแทน
ทำการ edit ad ที่แสดงผลตอนนี้ โดยเลือกโพสต์อื่นๆ มาโฆษณาแทนชั่วคราว
ด้วยการกดปุ่ม change post
3.ทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เราต้องการเปลี่ยน
เมื่อเราเลือกโพสต์อื่น มาโฆษณาแทนแล้ว ตอนนี้ เมื่อคลิกขวาที่โพสต์ เราก็สามารถแก้ไข ข้อความ แก้ไขภาพ ได้ตามปกติ แล้วครับ เปลี่ยนเลย!
4.กลับไปที่ campaign เดิมเพื่อเลือกโพสต์ที่ได้รับการแก้ไขแล้วมาโฆษณาต่อ
แก้ไขจนพอใจ ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ก็ให้ไปที่ campaign โฆษณาเดิม แล้ว เลือกไปถึงระดับของ ad
เลือกโพสต์ที่เราแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว ให้มาเป็น ad ของ campaign เหมือนเดิม
ถือเป็นอันจบ
อ้อ หลายๆ ท่านที่เพจ มีโพสต์เยอะ
จนบางครั้ง เลื่อนมองหาโพสต์ไม่เจอ
ให้ไปจด ID ของ post ไว้นะครับ เราใช้เลข ID ของโพสต์มาระบุเลย
จะได้โพสต์นั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
ถ้าแอดนี้ วิ่งไปจนจบแล้ว
จะไม่สามารถแก้ไขได้
ทางเลือก ก็คือ กดเพิ่มวันแสดงผลโฆษณา
หรือ ลบไปเลย (ถ้าไม่มีปัญหา เรื่องการเก็บ report ไปให้ใครดู)
.
หากคิดว่าเทคนิคนี้ น่าจะได้นำไปใช้ในอนาคต
หรือว่า อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่าน
แชร์ได้เลยนะครับ 😉
ไม่เก็บเงิน 555
.
#digitalnook
7 เทคนิค เสกโพสต์ ให้ขายดี มีอยู่จริง เพียงทำสิ่งนี้!
7 เทคนิค เสกโพสต์ ให้ขายดี มีอยู่จริง เพียงทำสิ่งนี้!
อยากขายดีในออนไลน์
ก็ลอกตัวอย่างร้านขายดีในโลกแห่งความจริง
.
อยากให้โพสต์ขายของน่าสนใจ
ต้องสร้างบรรยากาศให้คนมุง
เหมือนร้านที่ขายดี ในห้างต่างๆ
เหมือน้รานอาหารอร่อย ที่เขาขายดี เป็นเทน้ำเทท่า
.
ว่าแต่จะทำยังไงดีล่ะ
อยากรู้มาอ่านกันเลย!!
.
ก่อนอื่น ถ้าอยากจะมี โพสต์ขายดี
ดูดี แบบนี้ได้ ต้องเตรียมการ เตรียมใจ
และเพียรทำสิ่งนี้ อยู่เป็นประจำนะครับ
.
1.ภาพและเนื้อหาในเพจ ต้องดีก่อน
หากจะลงโพสต์ หรือ โฆษณาให้คนเข้ามาเห็นสินค้า หรือบริการของเราเยอะๆ
ภาพ และ เนื้อหาต่างๆ ที่อยู่ในเพจของเรา จะต้องดูดี
อ่านเข้าใจง่าย และ สอดคล้องกับสิ่งที่เรานำเสนออยู่
.
ถ้าคลิกโพสต์โฆษณาเข้ามา แล้วเจอแต่เพจโล่งๆ
ก็น่าจะลดความน่าเชื่อถือไปได้เยอะเลย
.
ดังนั้น ทำ Content ขึ้นไว้ในเพจสัก 4-5 โพสต์ ให้คนรู้ว่า เราทำอะไร เพื่ออะไร หรือ แก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง
ด้วยนะครับ
2. รีวิวในเพจ มีหรือยัง?
การจะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่างในเพจ คนอ่าน คนเข้ามา ก็อยากเห็นผลลัพธ์ ก่อนเสมอ
เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
.
ถ้ามี content รีวิว โชว์ความสำเร็จของลูกค้า หรือ ผู้ใช้ก่อนหน้านี้
จะทำให้คนเข้ามาดูเพจของเรา อยากทดลอง อยากซื้อเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
.
อันนี้ หมายรวมถึงรีวิวของเพจ ด้วยนะครับ
หากมีมากเท่าไร ก็หมายถึงคนที่ใช้บริการ คนที่ซื้อสินค้าของเราเยอะด้วย
.
พลังดาวรีวิวนั้นสำคัญนักแล!!
.
3. คนคอมเมนต์ในโพสต์ คึกคักขนาดไหน
บรรยากาศ ร้านขายดี หรือ ที่เที่ยวน่าไปในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เป็นอย่างไร
บรรยากาศ คนสอบถาม คนพูดคุยกันในโพสต์ขายของนั้น ก็ควรจะเป็นในแนวทางเดียวกัน
.
คนถามไถ่ แล้วมีคนตอบ
ทักถาม แล้วไม่เงียบ
.
มีคนมากมาย เข้ามาให้กำลังใจ ให้ทัศนคติที่แตกต่างกันไป
ล้วนแต่ทำให้เราอยากรู้ว่า สินค้าของเรานั่นดีแค่ไหน
.
ลองให้คนทักทาย หรือ สอบถามใต้คอมเมนต์ เพื่อทำให้กลไกของเฟสบุ๊คนั้นทำงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ไม่เชื่อ ก็ลองเทียบกัน ระหว่าง โพสต์ที่เมนต์เยอะ กับ โพสต์ไร้เมนต์
อันไหน reach เยอะกว่ากัน
.
เพราะว่า เมื่อเราเมนต์ใต้โพสต์ เพื่อนของเรา ก็จะเห็นโพสต์นั้นด้วย
.
นั่นแหละครับ คือประโยชน์ของการคอมเมนต์ใต้โพสต์
.
4.ภาพกระแทกตา
เพราะ เฟสบุ๊คเป็นการตลาดแบบสไลด์ content ขึ้นลงบนสมาร์ทโฟน
หากภาพไม่เจ๋งจริง ก็ยากจะหยุดสายตาของคน
.
ภาพที่หยุดสายตาคนเรานั้น
มันควรต้องเด็ด ความเด็ด ก็คือ
– แปลก unseen ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือ โดดเด่น ชัดเจน แจ่มแจ้ง
– ตรงไป ตรงมา
– ภาพที่ไม่ได้รับการปรุงแต่ง หรือ ภาพที่ไม่เคยซ้ำใครมาก่อน เฟสบุ๊คจะชอบเป็นพิเศษ (อย่าว่าแต่เฟสบุ๊คเลย คนเรายังชอบภาพใหม่ๆ เล้ย)
5.แคปชั่นกระแทกใจมั้ย?
คำพูด คำโปรย ที่หว่านลงไปในโพสต์นั้น คือสิ่งที่คนจะเห็นตามมาจากภาพ
หากประโยคแรก มันรวบตึงทุกปัญหา หรือ ทุกสิ่งที่เขาอยากรู้
ทำไมเขาจะไม่อ่าน?
.
แต่ทุกวันนี้ สิ่งที่เราทำ มันตรงกันข้ามหรือเปล่า
เอาสิ่งที่คนควรได้อ่านก่อนไปอยู่หลังๆ ไปอยู่ท้ายๆ
.
ดังนั้นจึงพึงระลึกเสมอว่า
คนเรา จะสนใจในสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง
และสิ่งที่สนใจจะฟัง จะอ่านเท่านั้น
.
ไม่ได้สนใจสิ่งที่เราอยากบอก
.
ไม่ใช่ว่าทุกคนเกลียดโฆษณา
เพียงแต่เขาไม่ชอบโฆษณา ที่ไม่ชอบเท่านั้น!
.
6.ข้อเสนอโดนๆ มีหรือยัง?
การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
บางครั้ง ก็อยากจะขอต่อรองราคา เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่าเสมอ
.
แต่หากข้อเสนอจากผู้ขาย หรือ ผู้ให้บริการนั้นมันน่าสนใจมากพอ
การคลิกเข้ามาทัก หรือ เขียนคอมเมนต์สอบถาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
.
เมื่อเขามีความพยายาม ในการทักทายมาหาเรา
แสดงว่าเขาชื่นชอบ สนใจ และอยากจะซื้อขายกับเราแล้ว
.
ลองหาข้อเสนอดีๆ ที่คนอยากได้
มาไว้ในโพสต์ของเรา เพื่อกระตุ้นความอยากของลูกค้า ให้มากที่สุด
ผมคิดว่า ไม่ยากเกินความสามารถของทุกคนหรอกครับ
.
7.ข้อความเร่งเร้า มีหรือเปล่า
ตัวอย่างที่ดี ของข้อความเร่งเร้า เพื่อปิดการขายได้อย่างดีนั้น
คุณสามารถไป ดูได้ จากรายการทีวีไดเร็คต์ หรือ ควอนตั้มเทเลวิชั่น
หรือรายการนำเสนอสินค้า ที่ยิงกันจนพรุนในทีวี
.
ต้นแบบของการนำเสนอสินค้า ทางทีวี แบบนี้
ถ้าใครอยากรู้ ให้ไปหาหนังเรื่องนี้ดูกันครับ
“JOY จอย เธอสู้เพื่อฝัน (2016)”
.
ข้อความเร่งเร้า ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ก็คือ
– สำหรับ 20 คนแรกเท่านั้น
– เฉพาะคนที่เห็นโฆษณานี้เท่านั้น
– ซื้อไปแล้ว 3234 ราย
– ก่อนวันที่ xx นี้เท่านั้น
– ภายในวันนี้ วันเดียว
.
เอาล่ะครับ ลองไปทำกันนะครับ
ได้ผลอย่างไร ลองมาดูกันจ้า
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
ขอบคุณมากครับผม 😉
.
website : https://www.digitalnook.co/
blog : https://medium.com/digitalnook
line : @digitalnook