5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้
5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้
2-3 ปีที่ผ่านมา คนที่เข้ามาในวงการขายของออนไลน์
จะคุ้นชินกับการซื้อขายผ่าน Facebook ผ่าน inbox ผ่านการแชท
ซึ่งถือว่าสะดวกสบายดี คนไทยชอบทัก ชอบคุยก่อนซื้อ
และระหว่างนั้นเอง คนไทยก็รู้จักการซื้อของผ่านเว็บมากขึ้น
เพราะการเข้ามาของ Marketplace เจ้าดังๆ อย่าง shopee lazada หรือ jdcentral
และซื้อโดยไม่ต้องทักถาม เห็นราคา เห็นรายละเอียด สนใจก็ซื้อเลย
จะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือ ที่ใกล้เคียงกับ Marketplace เหล่านี้?
สิ่งนี้เรียกว่า sale page นั่นเอง
ใครที่เคยรู้จักคำนี้ หรือ รู้จักแบบผ่านๆ
วันนี้ ผมจะขอแชร์ข้อมูลอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ
ว่าจะใช้ หรือ ไม่ใช้ดี กับ..
“5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้”
1.สร้างได้เร็วกว่าทำเว็บ
จริงๆ sale page คือ เว็บไซต์หน้าเดียว นั่นแหละ ที่ยกเอาเมนูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออก เหลือเพียงข้อมูลและปุ่มที่จำเป็น ดังนั้น จึงไม่เน้นความซับซ้อนในเรื่องระบบ และการเรียนรู้
sale page ปัจจุบัน เน้นเครื่องมือที่ง่าย สะดวกสบาย เพราะต้องการให้คนใช้งานง่ายที่สุด หากใครเคยพิมพ์ word มาก่อน การทำ sale page ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้าเตรียมข้อมูลพร้อม ใช้เวลา 30 นาที ก็เสร็จพร้อมใช้งานได้แล้ว
2.เก็บสะสมพฤติกรรม สะสมลูกค้า จากหน้า salepage ได้
ข้อดีที่น่าสนใจสำหรับ sale page นั่นคือ การเก็บพฤติกรรมผู้ใช้งานที่เข้ามาในหน้านั้น โดยใช้ code บันทึกสถิติเข้ามาช่วย
ถ้าฝั่งของ Facebook กับ TikTok เราเรียกว่า Pixel (ส่วนใหญ่เก็บได้มากกว่า 1 pixel ต่อ 1 sale page)
ถ้าฝั่งของ Google เราเรียกว่า Google analytics
ส่วนการเก็บสะสมลูกค้าที่สนใจ มีความพร้อมซื้อสินค้าของเรา ก็คือ การติดปุ่มทักไลน์ เอาไว้ในหน้า sale page นั้นด้วย ซึ่งเป็น function พื้นฐานที่ salepage จะต้องมีอยู่แล้ว
3. Retargeting ข้าม platform ได้
เมื่อเราเก็บสะสมพฤติกรรมลูกค้าได้ เราก็สามารถจะ Retargeting ทำการตลาดหลอกหลอน ลูกค้าได้แล้ว
ยิ่งเราสะสม pixel ได้หลายแบบ ไม่ว่าจะ Facebook TikTok หรือ Google ก็สามารถทำการตลาด Ratargeting ได้ครบทุกช่องทาง
จะเข้ามาจากช่องทางไหน ก็จะโดน Raetargeting ไปทุกที่เลย ว่างั้น!!
4.ลดงาน admin แชทน้อยลง
Salepage ที่มีข้อมูล มากพอ ให้ลูกค้า ศึกษา ตัดสินใจ มาก่อนหน้า
จะช่วยลดลงาน admin ไปได้เยอะ ไม่ต้องทักถามให้เสียเวลา
หากเขาตัดสินใจจากข้อมูล การแก้ปัญหา รีวิวผู้ใช้งาน ข้อเสนอที่ดี มากพอ
ลูกค้าก็พร้อมทักไลน์ หรือ กดฟอร์มสั่งซื้อได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องถามแอดมินเพิ่ม
และตอนนี้ salepage ที่ให้บริการส่วนมาก จะเชื่อมโยงกับบริการ Line Notify หรือ การแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อมี Order เข้ามา จึงทำให้ลูกค้าได้รับการติดต่อที่รวดเร็ว ส่วนคุณและ แอดมินก็เห็นยอดเข้าทันที
แบบนี้ ดีมั้ยครับ?
5. เก็บฐานข้อมูลลงระบบ เป็นระเบียบ
ส่วนใหญ่คนขายของออนไลน์ โดยมาก ไม่ค่อยจะเก็บฐานข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ ถ้าลูกค้าซื้อของ กรอกฟอร์มผ่าน salepage ข้อมูล เบอร์โทร ชื่อ ที่อยู่ จะถูกเก็บเอาไว้ ให้คุณนำมาใช้งานได้
Salepage ส่วนใหญ่ สามารถดึงข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นไฟล์ Excel เพื่อใช้งานได้อย่างมีระบบ
ดึงเอาเบอร์โทร ลูกค้ามาทำ Custom audience แล้วไปสร้างเป็น Look a like audience ได้อีก!
สรุป
นี่คือ “5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ salepage ขายของออนไลน์ ณ ตอนนี้”
ลองไปคิด วิเคราะห์ เพิ่มเติมกันได้นะครับ 😉
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง
4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค
จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง
มีปัญหาจากทาง inbox ถามมาบ่อยๆว่า
เราจะยิงแอดในเฟสบุ๊ค ให้ตรงกว่าเดิม
ต้องใช้กลุ่มเป้าหมายอะไร?
เคยฟัง คนบอกว่าเอาเบอร์โทร ลูกค้ามาใช้ อันนี้จริงมั้ย?
เพื่อให้คำถามนี้ มีคำตอบ
ผมเลยขอยกมาบอกในหน้าเพจนี้ เพื่อให้ได้อ่านทั่วกันนะครับ
ในบทความนี้
“4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเฟสบุ๊ค
จากลูกค้าเก่า ทำได้แบบนี้นี่เอง”
ปล. คัดและเน้นเฉพาะวิธีการที่ทำได้เลย
วิธีการเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่า การทำ Custom Audience นะครับ
หรือชื่อไทย คือ กลุ่มเป้าหมาย กำหนดเอง
1.เบอร์โทร ลูกค้า
ทุกวันนี้ ถ้าขายของ แล้วไม่ได้จัดเก็บข้อมูลลูกค้า
ถือว่า คุณพลาดเก็บข้อมูลที่ดี ไว้ใช้ในวันข้างหน้าแล้ว
ข้อมูลเบอร์โทรนี้ สามารถนำมาสร้างเป็นกลุ่มเป้าหมายได้
เพราะเฟสบุ๊ค จะนำไป จับคู่กับข้อมูล ของลูกค้าในเฟสบุ๊คให้โดยอัตโนมัติ
(คนเราใช้งาน facebook ได้ต้องมี เบอร์โทรศัพท์ เสมอ)
และควรจะระบุไว้ด้วยว่า ลูกค้าแต่ละราย เคยซื้อสินค้าจากเราด้วยเงินเท่าไร?
จากประสบการณ์ การใส่เบอร์โทร แต่ละครั้ง ให้ใส่ครั้งละ 1000-2000 เบอร์ครับ
หรือจะเริ่มจาก 500 เบอร์ขึ้นไป ก็ได้
2.การมีส่วนร่วมกับเพจ
คนที่เข้ามาในเพจของเรา เข้ามากดไลค์ กดแชร์ อินบ๊อกซ์มา หรือ comment กลุ่มคนเหล่านี้ คือคนที่มีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆ
เราเรียกว่าการมีส่วนร่วม หรือ มี engagement กับเพจของเรา
ดึงคนเหล่านี้มาสร้างกลุ่มเป้าหมายได้ครับ
เพียงแต่อาจจะต้องระบุระยะเวลาที่เขา เข้ามามีส่วนร่วมด้วยนะครับ
ถ้าสินค้าที่ต้องพิจารณานานๆ ใช้เวลา ประมาณ 45-60 วัน
ถ้าสินค้า ที่ไม่ต้องคิดนาน ใช้ประมาณ 30 วัน
3.การดู video ของเพจ
ในเฟสบุ๊ค ถ้าเราดูคลิปไหนนานๆ ได้ แสดงว่า เราชอบสิ่งที่อยู่ในคลิป
ถ้าเราไม่ชอบ แค่เห็นก็ปัดทิ้งไปแล้ว
ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้เราคัดคนที่ชอบสินค้าของเราได้ จากการดูคลิปวิดีโอ
เฟสบุ๊คจะเก็บข้อมูล คนดูวิดีโอ ได้หมด
ถ้าเรามีวิดีโอ โฆษณา ยาว 15 วินาที ถ้าคนดูไปเกินครึ่ง หรือ มากกว่า 75%
แสดงว่าสนใจสินค้าตัวนั้นๆ
เราสามารถดึงคนกลุ่มนี้ เอามาไว้ทำการตลาดได้อีกครั้งครับ
4. การเข้ามาในเว็บไซต์
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ
เราสามารถนำมาสร้างเป็นกลุ่มเป้าหมายได้
เพราะคนเหล่านี้ ต้องสนใจ เนื้อหาในเว็บจริงๆ
การจะเก็บข้อมูลคนที่เข้าเว็บไซต์ของเรา ต้องติดตั้ง Pixel เข้าไปด้วย
Pixel คือโค้ดภาษา HTML ที่ใช้จับพฤติกรรมคนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรา
ถ้าไม่ติดตั้ง Pixel ในเว็บ เราจะเก็บข้อมูลไม่ได้
ถ้ายังไม่มี ให้ไปติดนะครับ (ขอโปรแกรมเมอร์ช่วย)
ถ้ายังไม่มีเว็บ ไปทำเว็บก่อนครับ 55
พอมีข้อมูลแล้ว เราจะสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมาย ของคนเข้าเว็บไซต์เรา
เพื่อไปทำการตลาดต่ออีกครั้งได้
ทั้งหมดนี้ คือ 4 วิธี หากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ในเฟสบุ๊ค
จากข้อมูลลูกค้าเก่า ได้ครับ
สรุป
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
เช็คลิสต์ ก่อนทำ Facebook Conversion ads ปี 2020 (สำหรับมือใหม่)
เช็คลิสต์ ก่อนทำ Facebook Conversion ads ปี 2020 (สำหรับมือใหม่)
ทุกๆปี การทำโฆษณาเฟสบุ๊ค จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ
ค่าโฆษณาก็จะแพงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
วิธีการเดิมๆ ที่เราใช้อยู่ ก็ยังใช้ได้ แต่คนก็รู้จักวิธีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
เมื่อวิธีไหน ที่คนใช้งานกันเยอะๆ
การ bid ราคาก็จะสูงตามไปด้วย
.
ยังมีโฆษณาอีกรูปแบบหนึ่งของเฟสบุ๊ค ที่จริงๆ เราเห็นกันมานานแล้ว
แต่ไม่ค่อยได้ไปกดใช้งานกันสักที
.
เขาเรียกกันว่า Facebook conversion ads
เป็นวัตถุประสงค์ ที่ใช้เพื่อวัดผลกันตรงๆ
จ่ายเงินไปแล้ว ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไร ค่าใช้จ่ายต่อผลลัพธ์ เป็นอย่างไร
ไม่ต้องไปนั่งรายงาน cost/result ต่ออีกรอบ
เพราะว่า ทำเสร็จแล้ว ระบบ จะแสดงรายงานให้เห็นเลยว่า
– โฆษณาของคุณใช้เงินเท่าไร แล้วได้ผลลัพธ์ ออกมาเท่าไร
.
แต่ที่สำคัญ Facebook conversion ads
จะไปคัดเลือกหากลุ่มเป้าหมาย ที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับสิ่งที่้เราวางเอาไว้
– ถ้าตั้งโจทย์ว่า อยากได้คนกดปุ่มซื้อของ เฟสบุ๊คก็จะส่งไปหาคนกดปุ่มสั่งซื้อของให้กับเรา
– ส่งไปหาคนที่ชอบลงทะเบียน เฟสบุ๊คก็จะส่งไปหาคนที่มีโอกาสลงทะเบียนกับเรา
.
ดีใช่มั้ยเอ่ย
.
ก่อนจะไปเริ่มทำ Facebook Conversion ads
ก็ต้องเตรียมเครื่องมือต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือ
จะทำโฆษณาแบบนี้ได้ เราต้องใช้งานควบคู่กับเว็บไซต์ หรือ sale page
.
และทั้งหมดนี้คือเช็คลิสต์ที่ผมขอแชร์ประสบการณ์ การทำ Facebook Conversion ads มาให้กับทุกท่าน ที่ยังไม่เคยทำมาก่อนเลยครับ
1. มีเว็บไซต์ หรือ sale page หรือยัง
การทำ Facebook conversion สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำงานร่วมกับเว็บไซต์ หรือ sale page ถ้าวันนี้คุณยังไม่มี แนะนำให้ไปสร้างก่อน จะเริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่าง sale Page หน้าเดียวก็ยังได้ (ถ้าให้ดีแนะนำไปใช้บริการ Sale page เพราะไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนโปรแกรม ก็สามารถทำออกมาได้สวยๆเลย)
2. มี Facebook business หรือยัง
สิ่งสำคัญอีกอย่างนั่นคือ บัญชีธุรกิจบนเฟสบุ๊ค หรือ Facebook Business
ถ้ายังไม่มีรีบไปสมัครก่อนเลยครับ เพราะ 1 คนสร้างได้ 2 Facebook Business
(เคยเขียนเรื่อง facebook business เอาไว้ก่อนหน้านี้นะครับ ไปอ่านได้ใน https://www.digitalnook.co/419/)
3. มี ads account ใน Facebook Business
สำหรับมือใหม่ ที่เคยยิงแอดมาก่อน อาจจะบอกว่า ฉันก็มีบัญชีโฆษณาส่วนตัวอยู่แล้ว
ทำไมต้องทำใหม่ อันนั้นไม่ผิดครับ
แต่ว่าคุณจะเสียโอกาส เพราะบัญชีโฆษณาส่วนตัว จะเชื่อมต่อและทำงานกับ account ของเราคนเดียวเท่านั้น หากจะทำเป็นรูปแบบธุรกิจเต็มที่ แนะนำให้ใช้บัญชีโฆษณาจาก Facebook Business เพราะสามารถสร้างได้มากถึง 5 บัญชีโฆษณาด้วยกัน โดยแต่ละบัญชีก็จะสามารถสร้าง Facebook Pixel ได้อย่างละ 1 ตัว
4. มี Facebook pixel
Facebook Pixel คือชุด Code คำสั่งในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมที่ผู้ใช้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของเรา เข้าหน้าไหน URL อะไรบ้าง ก็จะรู้หมดเลย รวมทั้งพฤติกรรม ระยะเวลาที่อ่านเนื้อหาของเรา การกดปุ่มต่างๆภายในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จำเป็นมากๆในการทำ Facebook conversion ads
5. มี google tag manager
คนที่เคยทำเว็บมาก่อน น่าจะเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับการใส่โค้ดวัดสถิติต่างๆ จะใส่ครั้งหนึ่งก็ต้องให้ Programmer ช่วยใส่ลงไปในโค้ด / ถ้าใส่โค้ดชุดเดียว ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องมีการใส่โค้ดหลายๆตัว ก็ดูเป็นเรื่องยุ่งยาก
ระบบ Google Tag Manager คือนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการใส่โค้ดวัดสถิติ หลายๆ ตัว / กล่าวคือ เราติดตั้ง Code Google Tag Manager ที่เว็บไซต์เพียงแค่ตัวเดียว แต่โค้ดวัดสถิติต่างๆ อย่าง Google analytics หรือ Facebook Pixel เราจะนำมาเชื่อมกับ Google Tag Manager เพียงตัวเดียวเท่านั้น
(อันนี้ เป็นทางเลือกนะครับ ถ้าจะติดตั้งผ่าน sale page บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้อง google tagmanager ก็สามารถทำงานได้แล้ว)
6. รู้จักการใช้ Facebook pixel helper
ถ้าเราจะดูเข้าเว็บไซต์ไหนมีการติดตั้ง Facebook Pixel ถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ก็จะทำการ View source Code แต่ถ้าเราลงตัว Facebook Pixel helper เพียงแค่เปิดหน้าเว็บก็จะรู้ได้เลยว่า URL ไหนมีการติดตั้ง Pixel เอาไว้ ง่ายสุดๆ
7. รู้จักการใช้ line notify
สำหรับใครที่ทำโฆษณาแบบ conversion เพื่อให้คนมาซื้อสินค้าหรือกรอกฟอร์ม ก็อยากจะรู้ว่ามีออเดอร์เข้าตอนไหนจะได้เข้าไปตรวจสอบ เพื่อสรุปยอดส่งของให้กับลูกค้าโดยเร็ว ถ้าจะให้ไป Refresh ระบบพี่ดู order ตลอดเวลาก็คงจะเหนื่อย การใช้ระบบแจ้งเตือนผ่านทาง LINE ดูเป็นวิธีที่ฉลาดดี แล้วทำได้ไม่ยาก ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินด้วย
(อันนี้ ก็ถือเป็นทางเลือกนะครับ ถ้าวัตถุประสงค์ของคุณ ไม่ต้องการรู้ทุก transaction แบบรวดเร็วมากๆ อาทิ เป็นการเก็บสะสม คนกรอกฟอร์มรับข่าวสาร แบบนี้ line notify ก็ไม่จำเป็นเลย)
8. Dynamic creative ads
ปกติแล้วการทำโฆษณาบน Facebook เราจะไม่มานั่งเดาว่าภาพไหน หรือ แคปชั่นอะไรที่ถูกใจลูกค้ามากที่สุด ด้วยตัวเราเอง แต่จะใช้การทดสอบบน Facebook เพื่อให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเองเลย เรียกกันว่า A/B testing หากตัวไหนดีเราจะเลือกตัวนั้นเอามาทำโฆษณาต่อ
ถ้าเราต้องการทดสอบ รูป 3 แบบ /แคปชั่น 3 แบบ / Title 3 แบบ / คำบรรยาย 3 แบบ / เราจะต้องสร้างโพสต์โฆษณาขึ้นมาอยู่ 81 ตัว เพื่อทดสอบว่าตัวไหนดีที่สุดด้วยตัวเราเองทั้งหมด
ตัวไหนดีเราก็เปิดต่อตัวไหนไม่ดีแล้วก็ปิดไป!
ดูแล้วก็ดูน่าจะเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
Dynamic creative ads คือฟีเจอร์ของระบบ Facebook ads ที่มาต่อยอดระบบ AB testing
เราทำหน้าที่ในการโยน รูป 3 แบบ /แคปชั่น 3 แบบ / Title 3 แบบ / คำบรรยาย 3 แบบ ลงไปในระบบอย่างเดียว ที่เหลือ Facebook จะดำเนินการผสมผสานจนกลายออกมาเป็นโฆษณาให้เราเอง
ไม่ต้องมานั่งทำเองให้เหนื่อย! ดีไหมครับ
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็คือ checklist สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนทำ Facebook conversion ADS ในปี 2020 ( สำหรับมือใหม่)
หากใครมีคำถามอยากจะสอบถามเพิ่มเติม ก็สามารถ comment ได้ในโพสต์นี้นะครับ
ผมจะพยายามมาตอบคำถามให้
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
สร้าง Facebook Pixels ไว้ยิงแอดแบบ Conversion ทำได้แบบนี้นี่เอง
สร้าง Facebook Pixels ไว้ยิงแอดแบบ Conversion ทำได้แบบนี้นี่เอง
สำหรับใครที่ยิงแอด facebook แล้วไม่เคยใช้เป้าหมาย Conversion บอกเลยว่าพลาดนะครับ
เพราะการทำโฆษณาแบบ Conversion นั้น เป็นการรีดเอาความสามารถของ facebook มาใช้งานได้ดีมากกว่าแบบอื่นๆ
เข้าถึง กลุ่มเป้าหมายในระดับพฤติกรรมเลยทีเดียว
นั่นคือ หาลูกค้าใหม่ๆ ที่ชอบซื้อสินค้าของเรา มาซื้อสินค้าของเราอีก
หาคนที่ชอบการดาวน์โหลด
หาคนที่ชอบการกรอกฟอร์มที่เราสร้างไว้
เรียกว่าประยุกต์กันได้หลายแบบ ครับท่าน
แต่ก่อนอื่น เราจะต้องมีเว็บไซต์ และสิ่งที่เรียกว่า Facebook Pixels นั่นเอง
ซึ่งครั้งนี้ ผมขออธิบาย ให้ทุกคนฟังด้วย Clip Video นี้ครับ
facebook pixels แบบเข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที
facebook pixels แบบเข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที
.
บทความต่อไปนี้ เป็นการอธิบายให้เห็นถึงภาพของการทำงานของ facebook pixels
เครื่องมือที่จะช่วยทำให้การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่ลงลึกรายละเอียด แต่อย่างใด
.
หลายคนที่ทำโฆษณาเฟสบุ๊คมานาน
น่าจะพอรู้ว่า ตอนนี้ ค่าโฆษณา แพงขึ้น
หาลูกค้ายากขึ้น กลุ่มเป้าหมายที่เคยดี
ก็เริ่มจะไม่ค่อยดีเหมือนเดิม
.
เทคนิคการทำโฆษณาจึงต้องเปลี่ยนไป
ต้องใช้เครื่องมือที่เฟสบุ๊คมีให้ใช้ มากขึ้น
.
จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
เพราะว่าเราแอบเห็นคำว่า pixels มานานแล้ว เวลาจะ boost post ทำโฆษณา
แต่เราละเลย และไม่ได้ใส่ใจ เพราะยิงแอดแบบปกติ
มันก็ทำงานได้ดี
.
ที่มันทำงานได้ดี เพราะสมัยก่อน คู่แข่งน้อย
คนในสนามน้อย ทำอะไร ก็ทำได้
ยิงแอดอะไร ก็ปัง
(เหมือนตอนนี้ ที่เรายิงแอดไปประเทศเพื่อนบ้าน จะได้ราคาถูก และ ได้ผลดีเหมือนที่เคยทำในบ้านเราเมื่อ 4-5 ปีก่อน)
.
แต่ตอนนี้ คนรู้เยอะ สนามแข่งขันนี้ จึงดุเดือด
เพราะคู่แข่ง ไม่ใช่คนขายของเหมือนกัน
แต่เป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่ยอมทุ่มเงินมาในเฟสบุ๊ค หลักร้อยล้าน
.
ดังนั้น การยิงแอด การทำโฆษณา จึงต้องใช้ความคิดมากกว่าเดิม
และคำว่า pixles ก็เป็นที่สนใจ มากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งจะควบคู่ไปกับ การโฆษณาแบบ Conversion ซึ่งเราก็เห็นมานานมาก
แต่ไม่เคยคิดจะไปสัมผ้สมันเลย….
.
เอาล่ะ มาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่ามันคืออะไร
.
ปกติ ทุกวันนี้ เวลาที่เรากดอะไร ทำอะไรใน เฟสบุ๊ค
เฟสบุ๊คมักจะนำเอา สิ่งที่คล้ายๆกัน มานำเสนอให้เรา
เพราะคิดว่า เราชอบสิ่งนั้น ก็เลยบริการ เอาของที่เราชอบมาบรรณาการใน newsfeed บ่อยๆ
.
ชอบกดดูเพจบ้าน ก็จะมีเรื่องบ้านขึ้นมา
ชอบกดดูเพจหมาแมว ก็จะมีเรื่องสัตว์เลี้ยงขึ้นมา
.
อันนี้ ก็ถือว่าเป็นกลไก pixels แบบหนึ่งของเฟสบุ๊ค ที่เราไม่รู้ตัว
.
แล้วจะดีแค่ไหน
หากเรามีสื่อเป็นของตัวเอง แล้วเอาคนที่ชื่นชอบ กดนั่น กดนี่ในสื่อของเรา
เอาง่ายๆ สื่อที่ว่านั้น ก็คือเว็บไซต์ นั่นเอง
.
หากเรามีแค่เพจบนเฟสบุ๊คอย่างเดียว
คงไม่อาจะใช้ความสามารถของ pixels ได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นจึงต้องมีเว็บไซต์จ้า!! ok?
.
สำหรับการติดตั้ง pixels ในเว็บนั้น
ถ้าทำไม่เป็น ก็จ้างเขาติดตั้งครับ ไม่แพง
.
ถ้าจะทำเว็บ ก็แนะนำให้ใช้พวก wordpress ในการทำ
เพราะสะดวก ปรับเปลี่ยนง่าย คนใช้กันเยอะ
ดังนั้น เวลาทำอะไร จึงหาคนช่วยง่ายกว่า
แถมโครงสร้างเว็บ ยังดีต่อ SEO ที่ทำให้ติด Google ได้ง่ายอีกต่างหาก
.
เอาล่ะ พอเราติดตั้ง pixels ในเว็บเสร็จแล้ว
ขั้นตอนต่อไป ก็คือ การฝึกให้เจ้า pixles นี้เติบโต
เจ้า pixels เหล่านี้ กินข้อมูลการใช้งานเว็บเป็นอาหาร
ดังนั้น เราก็ต้องป้อนมันด้วย traffic ทำให้คนเข้าใช้งานเว็บนี้เยอะๆ บ่อยๆ
ยิ่งเปิดหลายหน้า
ยิ่งกดปุ่มนั้น ปุ่มนี้เยอะๆ
ก็จะทำให้ pixels แยกแยะออกได้
.
โดยเฉพาะการเข้ามาดูเว็บ อ่านเว็บ หรือ กดปุ่ม ที่มีผลดีต่อรายได้ของธุรกิจเรา
ซึ่งอาจจะต่างกันไป
บางคนเข้ามาอ่านเนื้อหา
บางคน เป็นปุ่มสั่งซื้อ
บางคน เป็นปุ่มกรอกรายชื่อ
บางคน เป็นปุ่มกดโทรหา หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่
.
จะดีมั้ย หากวันนี้ เรารู้ว่าใครเข้ามาทำอะไร ในเว็บของเราบ้าง
ถ้าเขาเคยเข้ามา แล้วเห็นโฆษณาของเราอีกครั้ง
โอกาสที่จะสนใจ หรือ ซื้อของๆเรา ก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
.
บางคนที่ เคยกดสั่งซื้อของ
แล้วยังไม่จบ เราส่งหน้าสินค้านั้นไปให้เค้าอีกที
โอกาสปิดการขายสูงขึ้นมั้ย?
.
เหมือนเราเข้า agoda แล้วยังค้างจ่าย
ยังไม่จ่ายเงิน
ก็จะมีโฆษณา ของโรงแรมที่เราดูค้างไว้ โผล่มาหลอนหลอกกัน
.
หรือเข้าไปใน shopee lazada
เลือกซื้อของไปสักพัก แล้วออกมาจากเว็บนั้น หรือ app นั้น
เข้าเฟสบุ๊คปั๊บ เห็นโฆษณาสินค้าเลยจ้า
และโผล่มาหลอนบ่อยสุดๆ
.
อันนี้แหละ
เราเรียกกันว่า การ retargeting
ทำโฆษณาส่งไปหาลูกค้า ด้วยข้อมูลพฤติกรรม การใช้งานเว็บของลูกค้าเอง
.
อันนี้ คือความดีงามเล็กๆของการใช้ pixels ในเว็บ
.
ยังไม่รวม
ถึงการให้ เฟสบุ๊คไปหาคนที่มีพฤติกรรม ใกล้เคียงกับ action ในเว็บของเรานะ
.
จะดีมั้ย หากวันนี้ เราไม่ต้องหากลุ่มเป้าหมาย เพศวัย
แต่ให้เฟสบุ๊คไปคัดเอาคนที่ชอบกดซื้อของในเว็บของเรามาให้
.
นี่มันกลุ่มเป้าหมายในฝันเลยนี่!!
.
แต่แน่่นอน ว่าก่อนจะเจอฝันดี
เราต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างหนัก จึงจะสำเร็จ
ดังนั้น อย่าทิ้งความฝันสวยๆ ไว้กลางทาง
.
พยายามให้สำเร็จก่อน
แล้วค่อยผ่อนคลาย..
.
เอาเป็นว่า แนวคิดของ facebook pixels ที่อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที
จะมีประโยชน์กับทุกๆ คนที่กำลังสนใจ อยากทำอยู่นะครับ