ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook (สำหรับมือใหม่)
มีหลายๆคนเคย inbox มาถามผม เกี่ยวกับเรื่องของการทำ Business Facebook
ว่ามีความจำเป็นหรือสำคัญอย่างไร
แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เรื่องของ Business Facebook ก็มีความซับซ้อนพอสมควร
เลยเป็นที่มาของบทความนี้
ที่อยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกรอบนึงนะครับ
ขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน Business Facebook เป็นภาษาง่ายๆ นะครับ
ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำ Business Facebook
1. Business Facebook ต้องใช้อีเมลในการติดต่อ
สมัยก่อนถ้าเราใช้ Facebook Page ปกติ ปกติ เราสามารถที่จะเชิญคนมาเป็นแอดมินร่วมได้ โดยแอดชื่อ Facebook Profile เข้าไป แต่หากเป็นการใช้ Business Facebook เราจะใช้อีเมลในการเชิญเข้ามาใน Business
ใน Business Facebook นั้น เราสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงเพจและ ad account ที่ใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันได้
ซึ่งจะต่างจาก Facebook Page ที่กำหนดสิทธ์ในเพจ แต่บัญชีโฆษณาต้องใช้ของใครของมัน
2. Facebook Profile สร้างได้ 2 Business Facebook
Facebook Profile สามารถที่จะสร้าง Business ของตัวเองได้ 2 Business แต่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ร่วมกับ Business อื่นๆได้ไม่จำกัด
3. เราสามารถแชร์ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อให้คนอื่นมา Boost post ในเพจได้
สมัยก่อนที่ไม่มี Business Facebook เราจะใช้จะใช้บัญชีโฆษณาของเรา ที่เชื่อมกับบัตรเครดิตของตัวเราเอง ทำโฆษณาเป็นหลัก ถ้าเป็นเพจของตัวเราเอง เราบริหารด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่หากเป็นการทำงานในรูปแบบบริษัท ความยุ่งยากเกิดขึ้นมาทันที
เวลาคนทำหน้าที่บูทโพส ไม่มาทำงาน หรือลาไปต่างประเทศ แล้วมีงานด่วนที่จะต้องบูตโพสต์ทันที ความยุ่งยากจะเกิดขึ้น เพราะข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลส่วนตัวล้วนๆ
บางบริษัทอาจจะแก้ปัญหาด้วยการทำ Facebook Profile กลาง ที่ทุกคนรู้ Password แต่ก็ยังถือว่ามีความยุ่งยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่คนเราจะจำได้แต่ Password ของตัวเอง
ระบบ Business Facebook จึงมีขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้
ทุกคนสามารถใช้ Facebook Profile ของตัวเองในการบูทโพสโฆษณาได้ และไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของตัวเอง เพราะสามารถใช้บัตรเครดิตบริษัทวางเอาไว้ ให้ทุกคนที่มีสิทธิ์ในการทำโฆษณาสามารถใช้งานได้
4. 1 Business Facebook สามารถสร้างได้หลาย บัญชีโฆษณา (Ads Account)
สมัยก่อน 1 Profile มีได้ 1 บัญชีโฆษณา แต่สำหรับ Business Facebook สามารถสร้างบัญชีโฆษณาได้มากกว่า 1 บัญชีโฆษณา ส่วนใหญ่จะทำกันได้ที่ 5 บัญชีโฆษณา
ความมากน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราโฆษณาลงไปใน Facebook ช่วงแรกๆอาจจะทำได้มากสุด 2 บัญชีโฆษณา และใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 300 บาท
แต่ถ้าลงโฆษณาอยู่บ่อยๆอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเพิ่มจำนวนเงินมากขึ้นได้เรื่อยๆตามลำดับ
ที่สำคัญบัญชีโฆษณาแต่ละตัวนั้น เปรียบเสมือนกับเซลล์ ที่วิ่งออกหาลูกค้าด้วยความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากต้องการทดสอบโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกัน ลองพยายามใช้ให้เข้าที่แตกต่างกันไป จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
5. การเชิญคนเข้ามาเป็นแอดมิน ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจได้ เท่านั้น
เคยมีหลายๆคนที่สร้าง Business แล้วโดนยึดเพจได้อย่างง่ายดาย เพราะปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักเข้ามาอยู่ใน Business ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เพราะคนที่มีสิทธิ์เป็นแอดมิน สามารถทำได้ทุกอย่าง
นั้นหากเราจะเชิญใครเข้ามาเป็น Admin ด้วย จะต้องเป็นคนที่เราไว้ใจมากๆเท่านั้น
6. เจ้าของธุรกิจ ควรสร้าง Business Facebook ไว้ใช้สำหรับตัวเอง
การสร้าง Business Facebook นั้น ให้มองว่าเป็นทรัพย์สินหรือสมบัติอย่างหนึ่งของเรา เพราะมันสามารถจัดเก็บข้อมูลต่างๆเพื่อใช้งานในประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ทำการโฆษณา หรือพวก Facebook Pixel ที่จะมีประโยชน์ในการทำโฆษณาแบบ conversion ก็ล้วนแต่เก็บเอาไว้ใน Business Facebook ทั้งนั้น
ดังนั้นหากจะจ้างใครทำโฆษณา ควรให้เขาทำโฆษณาใน Facebook ของคุณ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองในอนาคต
7. ควรมีแอดมินที่ไว้ใจได้ร่วมด้วยอยู่ในนั้นอย่างน้อย 1 คน
สมัยก่อนตอนที่เรามี Facebook Page ถ้าเรามีแอดมิน เป็นเพียงตัวเราอยู่คนเดียวอยู่ในนั้น เวลาเกิดปัญหาที่เราเข้าใช้งาน Facebook ตัวเองไม่ เพจนั้นก็มีโอกาสที่จะตายเอาง่ายๆ เพราะไม่มีคนสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้อีกต่อไป เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมีแอดมินร่วมหลายๆคนอยู่ในนั้น เพราะหากใครมีปัญหา คนอื่นๆก็สามารถที่จะบริหารงานต่อได้
เช่นเดียวกับ Business Facebook ถ้ามีเราบริหารเองเพียงลำพัง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะดึงเอา Business นั้นกลับมาใช้งานได้อีกต่อไป หรือถ้าจะกู้คืนมาก็ต้องใช้เวลานานและยุ่งยาก
8. 1 Page Facebook สามารถเชื่อมได้กับ 1 Business Facebook เท่านั้น
Facebook Page ที่เราใช้งานกันอยู่นั้น จะเข้ามาทำงานอยู่ภายใต้ Business Facebook ได้เพียง 1 Business เท่านั้น และมองเป็นทรัพย์สินของ Business นั้นๆไปเลย
หากจะมีการโยกย้าย หรือปรับเปลี่ยนไปบริหารใน Business อื่นๆ จะต้องได้รับการยินยอมจาก Admin ที่อยู่ใน Business นั้นๆก่อนเสมอ
9. สามารถนำ Instagram account เข้าไปใส่ใน Business Facebook ได้แต่ต้องเชื่อมกับเพจ
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจ นั่นคือ สามารถนำเอา Instagram account เข้าไปอยู่ใน Business Facebook ได้ โดยต้องเลือกเชื่อมกับเพจใด เพจหนึ่ง
ข้อดีของการนำ Instagram account มาเชื่อมต่อกับ fanpage คือ
– ข้อความแบบ Direct Message ใน instagram จะสามารถเห็นได้ในช่อง inbox Facebook
– สามารถตั้งเวลาการโพสต์ Instagram ได้ ผ่าน facebook creator ( ทำผ่าน Desktop เท่านั้น)
– สามารถทำ Instagram Shopping ได้ในอนาคต (สำหรับประเทศไทย ตอนนี้ยังทำได้เพียงบางแบรนด์ เพื่อเป็นการทดลองตลาด)
สรุป
และทั้งหมดนี้
ถือว่าเป็นการแชร์ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Business Facebook
จากประสบการณ์ที่เคยทำมานะครับ
สำหรับท่านที่เป็น มือใหม่ ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อยนะครับ
หากใครมีคำถามอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่องของ Business Facebook
สามารถพิมพ์มาในช่อง Comment ของพวกนี้
ถ้าตอบได้เลยจะตอบให้ทันที
แต่ถ้ายังตอบไม่ได้จะไปค้นคว้า หาคำตอบมาให้นะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
4 เทคนิครับมือ เมื่อ Facebook จำกัดการทำโฆษณาครึ่งปี 2020
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีการประกาศจากวิศวกรของ Facebook ว่า หลายๆเพจมีการทำโฆษณาเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งจะมีโฆษณาส่วนใหญ่โดนถอดออกในระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ของระบบ AI Facebook
( ถ้าใครทำโฆษณาบ่อยๆจะสังเกตเห็นคำว่า ระบบกำลังเรียนรู้ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ Facebook พยายามเรียนรู้ที่จะส่งโฆษณาออกไปหากลุ่มเป้าหมายให้ดีที่สุดสำหรับแคมเปญนั้นๆ)
และส่วนมากจะเป็นการปิดโฆษณาก่อนที่ระบบจะทำงานให้ได้ผลเต็มประสิทธิภาพ
จึงมองว่าน่าเสียดายงบประมาณที่ใส่เข้ามาในระบบ
ทาง Facebook จึงได้พัฒนา ระบบ Marketing API v5.0 และ Graph API v5.0
จึงได้พัฒนาเพื่อช่วยวิเคราะห์ผลการทำงานของโฆษณาให้กับคนที่ลงโฆษณาทั้งหลาย
โดยทั้งช่วยลดจำนวนโฆษณาที่มากเกินไปในระบบด้วย
หากคุณ เป็นคนที่ลงโฆษณาเยอะๆแล้วใช้ adset เป็นจำนวนมากๆ แล้วประสบความสำเร็จ
นี่ถือเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
แล้วเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ผมขอเสนอเทคนิคที่จะทำให้คุณอยู่รอดและอยู่ร่วมกับสิ่งที่ Facebook กำลังจะพัฒนานี้
1. เร่งสร้างฐานคนติดตามที่มีคุณภาพให้มากที่สุด
การมีคนติดตามที่มีคุณภาพ แม้เราไม่ได้ยิงโฆษณาออกไป แค่โพสต์ บางครั้งก็ขายของได้แล้ว ดังนั้นคุณควรใส่ใจกับการหาคนติดตามที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณเหมือนเมื่อก่อน
2.รีบทดสอบกลุ่มเป้าหมายในขณะที่ยังทำได้อยู่ ณ ตอนนี้
เมื่อช่วงนี้สามารถทำการทดสอบกลุ่มเป้าหมายได้หลายๆกลุ่ม ก็ให้ใช้เวลาที่ยังมีอยู่ เรียนรู้ศึกษาและปรับปรุงอยู่เสมอ จะทำให้คุณเข้าใจวิธีการทำการตลาด กับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง กับสินค้าหรือบริการของคุณได้ดีมากขึ้น
3. เก็บข้อมูลลูกค้าที่สามารถติดต่อในช่องทางอื่นได้ให้มากที่สุด
คนส่วนใหญ่มักจะหาลูกค้าใหม่ๆอยู่เสมอโดยลืมไปว่ารายได้ที่เกิดมากที่สุด คือการซื้อซ้ำกับลูกค้าเดิม ดังนั้นครั้งต่อไปให้เน้นเก็บข้อมูลอีเมลและเบอร์โทรของลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อนำไปใช้ติดต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ ถ้าจะง่ายที่สุดก็ยกหูโทรหากันก็ได้นะ เพราะค่าโทรศัพท์ถูกกว่าค่ายิงแอด
4. ทำ Content เนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงให้กลุ่มคนติดตามยังอยู่กับเรา
พยายามปรับตัวด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่าให้กับกลุ่มคนติดตามของเราอยู่ตลอดเวลา จะทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่ากำลังถูกขายของอยู่ตลอดเวลา
สรุป
และเหนือสิ่งอื่นใด
สิ่งที่ Facebook จะพัฒนาขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นดึงให้ผู้ใช้ส่วนมากยังอยู่ในระบบของ facebook ต่อไปนานๆ
ดังนั้นการเรียนรู้และทำใจ ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้ก้าวทันอยู่เสมอ
คือสิ่งที่ควรระลึกไว้มากที่สุด
ก็นี่คือ plaform ของ facebook
เราคือผู้ใช้งานระบบของเขา
พยายามมองหาแพลตฟอร์มอื่นๆมารองรับ ช่วยกันเสริมธุรกิจของคุณ
อย่ายึดติดกับเพียงแค่ platform เดียว
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook
ก่อนจะ ยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
ก่อนจะยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
เมื่อวันก่อนครับ
ผมได้รับข้อความทาง inbox มาจากผู้ประกอบการรายหนึ่ง
มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของยอดขาย
อยากเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ยิงโฆษณาเสียเงินไปหลายหมื่น
แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ผมเลยขอดูเพจที่ทำตอนนี้ ว่าโพสต์อะไรอยู่บ้าง
และพบอะไรหลายๆ อย่างที่ น่าจะเอามาแชร์แนวคิด ให้พวกเราได้อ่านกันครับ
ก่อนจะยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ทำสิ่งนี้ก่อน
1. โพสต์เรื่องที่ดี มีคุณค่ากับคนอ่าน
คนทำธุรกิจออนไลน์ ส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามการโพสต์แบบให้คุณค่า
การโพสต์ที่ทำให้คนสนใจเรา มองว่าเราคือผู้ให้
แต่จะมุ่งเน้นไปที่การขายของเลย
ถ้าสินค้าคุณ ราคา 100-200 บาท จะยิงขายเลย
ไม่ใช่เรื่องผิดเลย สร้างยอดขายจากการยิงแอดได้เลยครับ
แต่หากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าต่อชิ้นสูงกว่านั้น
จะดีกว่ามั้ย
หากเราลองเพิ่มโพสต์เนื้อหาที่มีคุณค่า ให้กับคนอ่าน คนติดตามไปด้วย
ทำให้เค้าเห็นว่า เรารู้ถึงปัญหา หรือ สิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่
ซึ่งสิ่งนั้น เรารู้ดี เราเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเป็น คนให้บริการเรื่องซ่อมบ้าน
เนื้อหาที่เราจะนำมาโพสต์ ควรเป็น
– ซ่อมบ้านมือสอง ต้องใช้งบเท่าไร
– ประตูพัง เปลี่ยนใหม่ ใช้แบบไหนดีนะ
ถ้าคุณพูดในเรื่องนี้ บ่อยๆ สม่ำเสมอ
คนจะรับรู้ว่าคุณคือคนเก่ง ในเรื่องนี้ทันที
ต่อไป เวลามีปัญหา เขาจะนึกถึงใครก่อน?
2. มีความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆ
คนที่กำลังมองหา เจ้าของเพจ เจ้าของธุรกิจ ที่จะมาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับเขา
มักจะมองถึงประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำก่อนเสมอ
เนื้อหาที่นำเสนอภายในเพจ
นอกเหนือจากจะให้คุณค่าแล้ว การให้ข้อมูลเชิงลึก จะช่วยทำให้เพจของเราดู
เป็นคนที่มีความรู้แบบ insight
แต่วิธีการนำเสนอ จะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
ซึ่งเทคนิคการเขียนให้คนอื่นๆที่อยู่นอกเหนือวงการเข้าใจ
ก็คือ การนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว
เช่นการอธิบายเรื่อง ริชเมนู
ที่เป็นฟีเจอร์สำคัญ ของ Line@ หรือ LINE OA ว่าคืออะไร
เมื่อต้องการให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ก็อาจบอกได้ว่า Rich Menu นั้น เป็นเสมือนกับเมนู ที่ทำให้ลูกค้า
ได้ไปพบกับข้อมูล สำคัญสำคัญของเรา โดยไม่ต้องใช้คนมาตอบเอง
ลูกค้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
หรือ เปรียบดั่งประตูทางเข้า ที่พาไปสู่การสร้างยอดขายของธุรกิจของคุณ ได้โดยอัตโนมัติ
การอธิบายให้คนได้เข้าใจเรื่องใหม่ๆ
ด้วยประสบการณ์เดิมที่เขามีอยู่ นอกจากจะทำให้เข้าใจง่ายแล้ว
คนเหล่านั้นอย่างมองว่าคุณเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆในเรื่องนั้นๆ
เพราะถ้าไม่รู้อย่างถ่องแท้ จะไม่สามารถอธิบายด้วยการอุปมาอุปไมยได้
3. ความน่าเชื่อถือ ผลงานที่ผ่านมา
นอกจากการเป็นตัวจริง และรู้จริงในเรื่องนั้นๆ แล้ว
สิ่งที่จะเติมเต็มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ติดตาม ก็คือ
ผลงานที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำไว้
สิ่งที่เคยช่วยเหลือคนอื่นมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น
เป็นธุรกิจรถยนต์มือสอง
ก็ต้องมีการโชว์โพสต์คนมารับรถที่ร้าน
มีการสัมภาษณ์ความรู้สึกของลูกค้า
ว่าทำไมถึงมั่นใจเลือกใช้บริการของเรา
ทั้งๆที่มีเจ้าอื่นให้เลือกมากมาย
คนกำลังทำสัญญาเพื่อรับมอบรถจากเรา
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้คนเชื่อมั่น และกล้าจะติดต่อธุรกิจกับเรามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
4. ความสม่ำเสมอ
คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินว่าธุรกิจนั้นยังดำเนินอยู่หรือเปล่า
จากวันที่โพสต์ล่าสุด ที่อยู่บนเพจ
ถึงแล้วว่าวันนี้ธุรกิจออฟไลน์ของคุณกำลังดำเนินอยู่
แต่หากหน้าเพจไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
คนอาจจะตัดสินไปแล้วว่า
ธุรกิจนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหว
ไปหาเจ้าอื่นๆ แทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เพจที่เลิกทำธุรกิจไปแล้ว มักจะไม่โพสต์อะไร ต่อไป หลังจากที่ธุรกิจปิดตัวแล้ว)
ความสม่ำเสมอ มีความสำคัญแบบนี้ครับ
สรุป
ลองไปปรับใช้กันนะครับ
ก่อนจะยิงแอดในครั้งต่อไป ลองเช็คว่า เรายังขาดข้อไหนบ้าง
รีบเติมเต็ม อย่างน้อยสัก 3 ข้อ
ก่อนที่จะลงทุนยิงแอด..
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
80/15/5 สูตรลับทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
80/15/5 สูตรลับ ทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
ทุกวันนี้คุณทำเพจเพื่อธุรกิจออนไลน์ ทำเพจขายของ
หากวันนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายในการยิงกันมากมายแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ที่คุณอาจจะลืมนึกไป
วันนี้ผมมีเทคนิคเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพจเดิมของคุณ
ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น
หากทำตามสูตรนี้
รับรองว่าลูกค้าจะอนุญาตให้คุณขายของเขาได้เลย!!
ซึ่งสูตรลับนี้ ผมได้เรียนมาจาก อ.เอเทน (Aten) และ อ.อั๋น
มาดูกันเลยครับว่าสูตรลับนี้ มีเคล็ดลับอย่างไร
สูตรลับที่ว่านี้ก็คือ 80/15/5
ตัวเลขแต่ละตัวที่กล่าวมานั้นเมื่อรวมกันก็คือ 100
เรามาขยายความตัวเลขแต่ละจำนวนกับดีกว่าครับ
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
- 80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
- 15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
- 5 : ช่วงขายของ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
ทุกวันนี้ Content ที่อยู่บนเพจของเราหน้าตามันเป็นยังไงครับ
เราขายของกันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเอ่ย
มันไม่ผิดนะที่เราจะขายของเพราะเราทำเพจขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการหารายได้ให้กับตัวเอง
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราอยากบอก
ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง
เพราะคนติดตามเพจของเราต้องการได้รับเนื้อหาอะไร ที่มีคุณค่ากับเขา
สังเกตว่า Content ที่มีคุณค่าจะมีคนกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ไปจนกระทั่งการแชร์
ก็เขาบอกว่า Content นี้มีความหมายและมีคุณค่ามากพอ
ลองกลับไปดูเพจของตัวเองนะครับ ว่ามีคนแชร์โพสต์ไหนของคุณมากที่สุด
นั่นคือคุณค่าที่คนติดตามหรือคนอื่นเขามองเห็น
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าวันนี้คุณขายสินค้าเป็น ผงชาเขียว
คนที่กำลังมองหา ผงชาเขียว อยู่แล้ว อาจต้องการเพียงสินค้าตัวอย่างเพื่อลองไปใช้ และรอคอยข้อเสนอราคาที่เหมาะสม
แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่รู้ว่า ผงชาเขียว เอาไว้ทำอะไร
จะไม่ได้สนใจแล้วมองผ่านเลยไป
จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราสามารถทำให้คนไม่ได้สนใจ ผงชาเขียว
หันมาสนใจ จนเกิดความอยากได้ และติดต่อซื้อผงชาเขียวจากเรา
เราสามารถส่งต่อเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผงชาเขียวได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น
ประโยชน์ของชาเขียวที่มีต่อสุขภาพ
สูตรทำขนมที่ทำจากผงชาเขียว
สูตรทำเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาเขียว
รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายเมนูที่ทำจากชาเขียว
สังเกตว่าเรากำลังพูดถึงประโยชน์ ของผงชาเขียว ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้
เมื่อเรานำมาขยี้ ให้เห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผงชาเขียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็จะเกิดความต้องการ ผงชาเขียวขึ้นมา
อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เราทำไม่เคยทำเนื้อหา แบบนี้!
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
คนส่วนใหญ่เวลากดโฆษณาใน Facebook มักจะเข้ามาดูเนื้อหาที่โพสต์เอาไว้ในเพจเสมอ
หาเพจของคุณไม่เคยมีตัวอย่างของ
คนใช้สินค้าหรือบริการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า
ภาพของตัวคุณเองกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่ามีเฉพาะ
โพสต์ขายของอย่างเดียว
สรรพคุณของฉันดีอย่างไร
คนที่เข้ามาดูเพจจะรู้สึกอย่างไร
หาโพสต์ที่สร้างคุณค่าอยู่มากพอแล้ว
ลองเพิ่มโพสต์ที่ทำให้คนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
คนที่ติดตามจะมั่นใจมากขึ้น
แล้วส่วนใหญ่มักจะซื้อตามแบบ ที่คุณขึ้นในโพสต์แบบนี้
– มีโพสต์ภาพแบบซื้อยกลัง ก็จะมีคนซื้อตามแบบ
– มีโพสต์ว่าซื้อแบบขายปลีกได้ ก็จะมีคนซื้อตามแบบขายปลีก
สิ่งที่คุณโพสต์ไปแบบไหน
คนก็จะทำตามสิ่งที่คุณโพสต์
5 : ช่วงขายของ
เมื่อคุณให้คุณค่ากับคนติดตามได้มากพอแล้ว
เขารู้จักคุณมากพอแล้ว
เขารู้ว่าคุณคือตัวจริงในธุรกิจนี้
หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้คุณค่ามาตลอด
เขาจะไม่ปรึกษาใคร
แต่จะมาปรึกษากับคุณ
ในวันที่คุณเอ่ยปาก
เสนอขายหรือยื่นข้อเสนอให้กับเขา
วันนั้นความลังเลหรือสงสัย
แทบจะไม่มีเลย
เพราะเขาอนุญาตให้คุณขายของเขาได้
อย่างน้อย ก็ตัดสินใจได้เร็วกว่าวันแรกที่ไม่เคยรู้จักคุณเลย
ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
ผมคิดว่า มันจะมีประโยชน์ ในการทำเพจ ของคุณเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อย
ก็มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่าน Content นี้ 😉
สรุป
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
5 : ช่วงขายของ
ลองนำไปใช้กันะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน (สำหรับมือใหม่) ทำได้แบบนี้นี่เอง
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน(สำหรับมือใหม่)ทำได้แบบนี้นี่เอง
การทำโฆษณาใน Facebook ปัจจุบันนี้
ถ้าจะคาดหวังให้ลูกค้าซื้อของเราตั้งแต่ครั้งแรก น่าจะเป็นเรื่องยาก
เพราะมีตัวเลือกมากมายอยู่ใน Facebook ด้วยกัน
ด้วยกันมี ด้วยกันมีทั้งข่าวสาร วีดีโอ และ Content ต่างๆมากมาย ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งในหน้าฟีด
หากเราทำโฆษณาได้เก่งมากๆ โอกาสที่จะขายได้ตั้งแต่ครั้งแรก ก็เป็นไปได้
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาในการดูโฆษณามากกว่า 1 ครั้ง ถึงจะตัดสินใจซื้อได้
จะดีกว่าไหมหากเรารู้วิธีทำโฆษณาที่ตามไปหลอกหลอน
ลูกค้าจนใจอ่อน และซื้อสินค้าของเราในที่สุด
ถ้าให้นึกภาพออกอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเว็บไซต์จองที่พักดังๆ อย่าง agoda.com สังเกตดีๆ เวลาเราเข้าไปดูข้อมูลที่พักที่เราสนใจ แล้วยังไม่ได้เลือกจองทันที ปิดหน้าจอออกมา แล้วเข้าไปใน Facebook ก็จะเห็นโฆษณาของที่พักที่เราเพิ่งดูไปในเว็บ Agoda
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
หรือเวลาเราเข้าไปใน Shopee หรือ Lazada เข้าไปดูสินค้า สนใจ แต่เผอิญว่ายังไม่มีเงินตอนนี้ ก็เลยออกมาจากเว็บไซต์หรือว่า Application ก่อน นั่งทำใจสักพักแล้วเปิด Facebook ดู ไม่นานนักก็จะมีโฆษณาสินค้าที่เราดูใน shopee หรือ Lazada ตามโผล่มาแสดงให้เราเห็น กะเอาให้ใจอ่อนแล้วซื้อทันที
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ
เอาล่ะงั้นเรามาดูดีกว่าว่า เจ้าโฆษณาที่ผมบอกว่ามันตามหลอกหลอนนั้นจริงๆแล้วมันเรียกว่าอะไรกันแน่
โฆษณาที่เรากำลังพูดถึงนี้เขาเรียกกันว่า การโฆษณาแบบ ReMarketing
ขออธิบายนิยามของคำว่า ReMarketing ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ReMarketing คือ
การทำโฆษณา ที่มีใจความ
จุดประสงค์เดิม กลับไปหาคนที่รู้จัก
หรือ สนใจ สินค้า หรือบริการของเรา
ซึ่งสามารถสื่อสารในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโฆษณาเดิม รูปแบบเดิมๆ
ทำไมเราต้องทำRemarketingด้วยล่ะ
นั่นเป็นเพราะว่า คนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ยกตัวอย่างกรณีของผมเอง
ผมเห็นโฆษณาแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า KLOOK เป็น App ที่เราสามารถซื้อตั๋วกิจกรรมซิมการ์ดต่างๆนานา โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แล้วได้เป็นคูปอง เพื่อนำไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นบริการท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ
สะดวกสบายดีนะเพราะว่าไม่ต้อง ไปสื่อสารหรือว่าใช้เงินสดในการซื้อ เมื่อไปถึงต่างประเทศ เพราะผมจะได้เอาเงินสดไปกินไปเที่ยว
กว่าผมจะตัดสินใจใช้บริการของ KLOOK
ผมเห็นโฆษณาของเค้าประมาณ 10 กว่าครั้งได้ ถึงจะตัดสินใจใช้บริการ ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณานะครับ
พอจะเห็นภาพของการทำRemarketingแล้วใช่ไหมครับ
จะทำ remarketing ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
ก่อนจะทำโฆษณาแบบ Remarketing ควรเข้าใจเรื่องต่อไปนี้ก่อนนะครับ เพราะนี่คือพื้นฐานสำหรับการทำ remarketing นั้นเอง
- ควรเข้าใจการทำโฆษณาด้วย ads manager
- ควรเข้าใจเรื่อง custom audience
- ควรเข้าใจเรื่อง Facebook Pixel
- ควรมีเว็บไซต์ ที่ติด Facebook Pixel
สิ่งที่ผมอยากจะให้เน้นเป็นพิเศษนั่นคือแนวคิดของการทำ Custom audience เพราะจำเป็นมากในการทำRemarketing ซึ่ง Custom audience ที่อยากจะให้ใช้ คือการทำ Custom audience จากคน จากคนดูวีดีโอ และคนเข้าเว็บไซต์
แนวคิดของ custom audience ด้วย video
ลองสังเกตดูนะครับ เวลาเราชอบดู คลิปอะไรนานๆ จนจบแสดงว่าเราชอบมาก ถ้าเป็นคลิปที่เราไม่ชอบ แม้แต่กดพลาด ก็ยังต้องรีบไถหน้าจอไปอย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น เราชอบเรื่องฟุตบอล เวลามีคลิปการเตะของทีมบอลที่เราชื่นชอบ ปรากฏขึ้นมาใน Facebook เราจะต้องหยุดดูจนจบหรือเกือบจบ แต่ถ้าไม่ใช่คลิปบอล เป็นเนื้อหาอื่นๆที่เราไม่ได้ชอบเลย เราก็แทบจะไม่มองคลิปนั้นด้วยซ้ำ
ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ก็พอจะบอกได้ว่าเราเป็นคนที่ชอบฟุตบอลนั้นเอง
หรือถ้าเป็นผู้หญิง เวลาเห็นคลิปวีดีโอที่โชว์กระเป๋ารองเท้าสวยๆ ก็จะหยุดดูจนจบคลิปหรือเกือบจบคลิป
ดังนั้นการทำ custom audienceคนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ
ดังนั้นการทำ custom audience คนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ และมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากกว่าคนที่ไม่ดูคลิปเลย
พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ
แนวคิดของ custom audience ด้วย website
คนที่เข้ามาในเว็บเรา ย่อมเข้ามาเพื่อมีจุดประสงค์ เพื่อดูข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา เพราะเว็บของเราคือเว็บเฉพาะทาง เป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการของเราเท่านั้น
ไม่ใช่เว็บทั่วไปหรือเว็บบันเทิงที่ต้องมาติดตามข่าว
ถ้าเข้าชมนานๆ แสดงว่าเขาสนใจ ไม่ได้พลาดมาเจอ ถ้าเขาดูหน้าไหน แสดงว่าเขาชอบเนื้อหาในหน้านั้น
ถ้าเราจะทำ Custom Audience ของคนเข้าเว็บไซต์ เราจึงควรเลือกคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา ในเวลานานๆ และถ้าเขาเข้าดูข้อมูลสินค้า หรือ บริการในหน้าไหน แสดงว่า ถ้าเขาเห็นสินค้านี้อีกครั้ง ก็จะจดจำได้
สำหรับการทำ custom audience ด้วยเว็บไซต์ จำเป็นต้องมี เว็บไซต์ ที่ติดตั้ง Facebook Pixel ไว้ด้วย จึงจะทำ Remarketing ของคนเข้าเว็บได้
ถ้าอยากรู้เรื่อง Facebook Pixel ให้ไปดูได้ใน Content นี้ครับ
สรุปแนวคิดของการทำโฆษณาแบบ Remarketing สำหรับมือใหม่ไว้แบบนี้นะครับ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์การรับชมวีดีโอ แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2. ทำ Custom audience ของคนที่ดูโฆษณาเกิน 75 หรือ 95 เปอร์เซ็นต์ของความยาวทั้งหมดของวีดีโอ
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ถ้าสำหรับคนที่มีเว็บไซต์ แนวคิดของการทำโฆษณาRemarketing โดยเว็บไซต์ก็คือ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์แบบ Traffic แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2.ทำ Custom audience ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการทำ Remarketing แบบพื้นฐานเท่านั้น ยังมีวิธีการทำที่ละเอียดมากไปกว่านี้
แต่อยากให้ทุกคนลองทำ ปรับใช้ตามความเหมาะสมเสียก่อน
ถ้าทำแล้วติดปัญหาอะไรสามารถสอบถามกันได้นะครับ
ทำโฆษณาแบบหลอกหลอน Remarketing Retargeting สำหรับมือใหม่ ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
โพสต์เลข Tracking Number ไปรษณีย์ ผิดกฏเฟสบุ๊คโดนปิดเพจ จริงหรือ?
สรุปมาให้แล้ว!! ปัญหาคาใจ
โพสต์เลข Tracking Number
ไปรษณีย์ ผิดกฏเฟสบุ๊ค
โดนปิดเพจ จริงหรือ?
..
เนื่องจากช่วงนี้ มีคนพูดถึงกันเยอะ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ทางผม เลยขอ อาสา chat ไปสอบถาม เกี่ยวกับนโยบายของการลงโฆษณา facebook
ว่าสามารถโพสต์ track ไปรษณีย์ พัสดุ ได้หรือไม่
เพื่อฟังจากปาก ของเจ้าหน้าที่ เฟสบุ๊คเองครับ
ได้ความว่าอย่างนี้
..
บทสนทนา ถามตอบ เกี่ยวกับเรื่องห้ามโพสต์ Track Number facebook
…
ช่วงนี้ มีคนพูดถึงกันมาก เกี่ยวกับการโพสต์ภาพ slip เลข track ไปรษณีย์ การขนส่งต่างๆ
การรีวิวสินค้าจากลูกค้า ที่เกิดขึ้นใน inbox facebook
ว่าถ้าโพสต์แล้ว ถือเป็นการผิดกฏ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
และมีโอกาส โดนปิดเพจ ปิดบัญชีโฆษณา
อยากสอบถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ใช่หรือไม่
.
FB : ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
ในส่วนนี้ ทางเราจะไม่แนะนำค่ะ เนื่องจากผู้ใช้ท่านอื่นๆ อาจจะเข้าถึงข้อมูลการขนส่งได้
ซึ่งแฟนเพจบางท่านอาจจะโอเคกับเรื่องนี้ หรือบางท่านอาจจะไม่โอเคค่ะ
และการเป็นรีวิวจากลูกค้า ที่เป็นการ screenshot หน้า platform ของเรา หรือรีวิวเปรียบเทียบก่อนหลัง จะผิดนโยบายอยู่แล้วค่ะ
.
เพื่อป้องกันความเสี่ยง ทางเราแนะนำให้หลีกเลี่ยงนะคะ
>> ทั้งการโพสต์ และ การส่ง review ผ่าน inbox ด้วยใช่มั้ยครับ
และสำหรับ screenshot ใน platform อย่าง line ก็รวมอยู่ในกรณีนี้ด้วยใช่มั้ยครับ
.
FB : หากสนทนาผ่าน inbox ที่เป็นแชทส่วนตัว จะสามารถทำได้ค่ะ หากเป็นเลข track ไปรษณีย์ เป็นรายบุคคล
.
>> ถ้าเป็นสาธารณะ ถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิ์ นะครับ
.
FB : ขอบพระคุณสำหรับความร่วมมือและความเข้าใจนะคะ
.
>> อีกคำถามนะครับ / สำหรับการที่ลูกค้า มาโพสต์ ที่อยู่เอง ใต้โพสต์ แบบนี้ ถือว่าผิดมั้ย
เพราะว่า ไม่ได้การโพสต์จากเพจเอง
.
FB : เป็นการโพสตืจากลูกค้าเองโดยเจตนาถูกต้องหมคะ เพจไม่ได้เป็นผู้ถามหรือระบุให้โพสต์ ถูกต้องไหมคะ
.
>> ใช่ครับ ลูกค้ามาโพสต์เอง
.
FB : ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าแบบนั้น แต่เพื่อรักษามาตรฐานชุมชน ทางแอดมินเพจ สามารถลบได้ค่ะ เพื่อป้องกันแฟนเพจท่านอื่นๆ รู้ข้อมูลส่วนตัวของท่านอื่น
.
สรุป นะครับ
.
– ท่านใด ที่ทำการโพสต์ Track ไปรษณีย์ หรือ บริการขนส่งต่างๆ แนะนำให้ลบโพสต์นั้นๆ ออกจากเพจ ด้วยนะครับ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เนื่องจากสามารถ ติดตามแกะรอยติดตาม ไปยังที่อยู่ ของคนนั้นๆได้
.
– แต่การส่ง track ไปรษณีย์ หรือ บริการขนส่งต่างๆผ่านทาง inbox ลูกค้าโดยตรง สามารถ ทำได้ เพราะเป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่ผิดกฏ
.
– ท่านใด ที่โพสต์ รีวิว Before After ในเพจ ถือว่าผิดกฏอยู่แล้ว พิจารณา เอาออกจากเพจด้วยนะครับ
.
– ไม่ควรโพสต์ ให้ลูกค้า มาใส่เบอร์โทร หรือ ที่อยู่ที่หน้าเพจ เพราะถือว่าเป็นการผิดกฏของเฟสบุ๊ค
.
– กรณีที่มีลูกค้ามาโพสต์ ที่อยู่ใต้ comment เป็นเจตนาของลูกค้า ทั้งๆ ที่เราไม่ได้บอกให้ใส่ สามารถลบ comment นี้ไป เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
.
– เรื่องของการโดนปิดเพจนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบมาโดยตรง แต่ใช้คำว่า ให้เลี่ยงความเสี่ยงการทำผิดกฏ นั้นๆ จะเป็นการดีกว่า ดังนั้น อะไรที่ผิดกฏ ก็ไม่สมควรทำอยู่แล้วครับ
.
ระมัดระวัง กันให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ
สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ ในเฟสบุ๊ค
เพราะหากจะทำธุรกิจในบ้านหลังนี้
.
เราต้องเข้าใจ และ ทำตามกฏที่วางไว้
.
#เข้าใจตรงกัน นะครับ
.
#digitalnook
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
มีเจ้าของกิจการ มีผู้ประกอบการหลายคน
ปรึกษาผมมาส่วนตัวว่า
อยากเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ยังไม่ได้เปิดเพจเลย
จะเริ่มต้นยังไงดี
จะต้องทำเนื้อหา จะต้องทำ Content แบบไหน
หลายท่านน่าจะประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
ผมขอแชร์ไอเดียให้ฟังแบบนี้ครับ
การทำธุรกิจออนไลน์ ก็คือการประยุกต์วิธีการขายของ วิธีทำธุรกิจในโลกออฟไลน์
แล้วมาประยุกต์ใช้กับเครื่องมือที่มีอยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้นเอง
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เพียงแค่เครื่องมือที่ใช้มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
อันดับแรกต้องตอบคำถามตัวเองว่า
ยอดขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 100 เปอร์เซ็น
หากแบ่งเป็นสัดส่วนออกมาแล้ว
ยอดขายที่เกิดจากลูกค้าประเภทไหนมากที่สุด
ให้เลือกโฟกัสไปที่ลูกค้าประเภทนั้นก่อนเสมอ
เพราะจะทำได้ง่ายกว่า
และคุ้มค่าที่จะทำมากที่สุด
เมื่อเราเลือกประเภทลูกค้าได้แล้ว
เราก็จะรู้วิธีการ สร้างรายได้จากลูกค้าประเภทนั้น
การตั้งชื่อเพจก็จะเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าเหล่านั้นต้องการ
เพื่อทำให้ลูกค้าใหม่ๆได้มาเจอเราง่ายขึ้น
ภาพที่เราทำเอาไว้ใน Header ของ Facebook
ก็ควรจะทำให้แสดงไปอย่างชัดเจนว่า สินค้าหรือบริการของเรานั้นตอบโจทย์เขา
เนื้อหาที่เราจะนำเสนอผ่านเพจ
ก็จะต้องเป็นเรื่องราวในแนวทางเดียวกัน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เพราะคนอ่าน คนติดตามจะสับสน ว่าตกลงเพจของเรานำเสนออะไรกันแน่
เนื้อหาที่เราจะทำควรเป็นเนื้อหาที่สร้างคุณค่าให้คนติดตาม
เป็นเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราอยากจะอ่านจริงๆ
ส่วนเนื้อหาที่จะขายของนั้นควรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่รองลงมา
การสร้างคุณค่าให้คนเห็นเยอะๆ
เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความคุ้นเคยให้กับผู้ติดตาม
เพราะการที่คนจะเลือกซื้อเลือกใช้สินค้าหรือบริการ
จะไม่ได้มองเพียงแค่เรื่องราคาเป็นหลัก
แต่ยังมองในมุมอื่นๆ อาทิ ความมั่นใจ บริการหลังการขาย การรับประกัน ผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มีคนเคยรีวิวเอาไว้อย่างไรบ้าง?
ถ้าเป็นสมัยก่อนเริ่มพวกนี้เราอาจจะไม่ต้องคิดมาก
เพราะตัวเลือกมีไม่เยอะ มีอะไรฉันก็พร้อมที่จะซื้อ
แต่วันนี้ทุกคนวิ่งเข้ามาในตลาดออนไลน์เกือบหมดแล้ว
ในแง่ของเครื่องมือทุกคนมีความรู้เท่าเทียมกัน
ความแตกต่างของสินค้า หรือบริการ ก็คือ
ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ที่เขามีให้ต่อผู้ให้บริการนั่นเอง
วันนี้คุณสร้างความแตกต่างของคุณแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่มีเลย
ให้คิด และวางแผนก่อนที่จะเปิดเพจ
ลองคิดจากปัจจุบันก็ได้
ทุกวันนี้ลูกค้าที่ยังซื้อสินค้าของคุณอยู่นั้น เขาเลือกซื้อ เลือกใช้บริการจากคุณเพราะอะไร
นี่แหละคือความแตกต่าง
คุณจะต้องชูสิ่งนี้ให้ทุกคนได้เห็น
เพราะเมื่อเขาเห็น เขาจะมองถึงความแตกต่างของคุณ
ลองทำเป็นเช็คลิสต์ เป็นข้อๆ ก็ได้ครับ
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ จะเป็นแหล่งข้อมูล ในการทำเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว!
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook
6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
วันนี้เหนื่อยกับการยิงแอดหรือเปล่า
วันนี้เหนื่อยกับการหาลูกค้าใหม่ๆอยู่หรือเปล่า
มั่นใจว่านี่คือภารกิจที่ทุกคนจะต้องทำ
เมื่อเข้ามาสู่การทำการตลาดออนไลน์
การใช้เงินเพื่อโฆษณาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
จะดีกว่าไหมหากวันนี้
เงินที่เราลงโฆษณาไป เพื่อตามหาลูกค้าใหม่ๆ
จะทำงานได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
เพราะลูกค้าสมัยนี้จะเลือกซื้ออะไร
จะพิจารณาจากหลายองค์ประกอบมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
และนี่คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
มีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยจ้า
1. ตั้งชื่อ ให้ search ง่ายๆ ใน เฟสบุ๊ค และ google
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ถือว่าคลาสสิคมากๆ
เป็นหัวข้อลำดับต้นๆที่เราต้องคำนึงถึงในการสร้างเพจขึ้นมาใหม่
ชื่อที่ดีจะทำให้เราเจอลูกค้าใหม่ๆมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลย
ดีไหมล่ะไม่ต้องจ่ายตังค์
บางคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วในโลกออฟไลน์
จะย้ายมาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ แล้วใส่ชื่อแบรนด์ของตัวเองก็ไม่ผิด
แต่คนที่จะเจอเพจของเรา เขาจะรู้ได้อย่างไร
ถ้าเป็นลูกค้าเก่าก็แค่ search ชื่อแบรนด์ของเราก็พอแล้ว
แต่ถ้าเป็นคนใหม่ๆ เราต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพื่อทำให้เขารู้จักเรา
เทคนิคที่จะช่วยเสริมให้ลูกค้าใหม่ๆมาเจอเราได้
นั่นคือการใส่คำค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เข้าไปในชื่อเพจ
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณคือ
อู่ซ่อมรถ ที่สมุทรปราการ
หากใส่เพียงชื่ออู่ของคุณ เวลาคนใหม่ๆ search ใน Facebook หรือ Google จะไม่มีทางเจอคุณได้เลย แต่ถ้าคุณเพิ่มคำว่า “อู่ซ่อมรถสมุทรปราการ” เข้าไป ลูกค้าใหม่ๆที่กำลังมองหาอู่ซ่อมรถ ในสมุทรปราการก็จะเจอคุณทันที
และยิ่งชื่อเพจของคุณไปติดอยู่ในลำดับต้นๆของ Google
โอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆ จะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
2. ใส่ข้อมูลทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ที่เปิดเผยได้ ลงไปใน note
เมื่อคนเข้ามาในเพจของคุณ สิ่งที่เขาต้องการอยากรู้นอกเหนือจากข้อมูลในไทม์ไลน์
นั่นคือบทสรุปเกี่ยวกับธุรกิจของคุณโดยคร่าวๆ
คุณสามารถใส่เรื่องราวต่างๆ นี้เข้าไปได้ทั้งข้อความ ภาพ Link เว็บไซต์หรือ Social Media อื่นๆได้เลย เบอร์โทรศัพท์ เบอร์ติดต่อ อีเมล
คุณสามารถใส่เรื่องราวความสำเร็จ ที่มาที่ไปแบบสั้นๆ
รางวัลที่คุ้นเคยได้รับ สินค้าที่คุณเคยให้บริการ
คุณสามารถจัดรูปแบบของบทความ ได้ง่ายๆเหมือนใช้โปรแกรม Word
ที่ดีไปกว่านั้น มันสามารถแสดงผลใน Facebook ได้อย่างรวดเร็ว
ลูกค้าใหม่ๆสามารถเรียนรู้ธุรกิจของคุณภายในเวลาเล็กน้อย
เพิ่มความมั่นใจได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ดีไหมครับ
3. auto messenger เด้งขึ้นมา แล้วส่งข้อความ ไปทางไลน์ หรือ เบอร์โทร
คนเราสมัยนี้ใจร้อนมากกว่าเดิม
ถ้าติดต่อผ่านทาง inbox แล้ว ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
โอกาสที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการของคนอื่น ก็มีสุขมาก
จะดีกว่าไหม
ถ้าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันที
แม้จะไม่ได้ตอบคำถามของเขาได้หมดในครั้งแรกก็ตาม
แต่ก็ถือว่าได้ตอบสนองต่อการทักทายของเขาแล้ว
ฟังก์ชันนี้สามารถทำได้ง่าย โดยไปที่
Setting > Messeging > Starting a Messenger Conversation
ปรับ Show a greeting ให้เป็น On
แล้วปรับแต่งข้อความต้อนรับ ได้ตามความต้องการ
ซึ่งในขั้นตอนนี้คุณสามารถจะใส่เบอร์โทรเบอร์ line เบอร์อีเมล์เว็บไซต์ได้ตามความต้องการ
ลูกค้าที่มีความต้องการพบคุณโดยเร่งด่วน จะติดต่อผ่านทาง LINE หรือ หรือโทรมาหาคุณโดยทันที
เป็นการเพิ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมซื้อหรือใช้บริการของคุณ
4. เติมเต็มข้อมูลใน about ให้ครบ ทุกช่อง
คนทำเพจส่วนใหญ่ มักจะละเลยข้อมูลใน section about
เพราะเป็นเมนูด้านข้าง เป็นแถบเล็กๆ
หาข้อมูลส่วนนี้ช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักเราเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าเดิม
เพราะนี่คือช่องใส่เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ เวลาทำการ รวมไปถึงที่อยู่
การมีข้อมูลให้คนติดต่อได้ง่ายกว่า
ย่อมทำให้มีโอกาสให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเราได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินด้วย
มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ทำมัน
วิธีการทำก็ง่ายๆ
ถ้าอยู่หน้า desktop ก็ให้มองไปที่ด้านซ้าย
แล้วดูคำว่า about
เมื่อกี้ไปแล้ว จะพบข้อมูลในช่องว่างให้เรารออัพเดท
ใส่เข้าไปเลยครับ!
5. Header เฟสบุ๊ค จัดให้เต็มๆ ทั้งเบอร์โทร เบอร์ไลน์
ส่วนบนสุดของหน้าเพจ
ที่เป็นภาพโชว์ขนาดใหญ่
สิ่งนี้เราเรียกว่า Header ของ Facebook
นี่คือพื้นที่แสดงความเป็นตัวตนของเรา
ที่แสดงให้เห็นถึงสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนออยู่
คือสิ่งที่ควรจะพิจารณาเอามาใช้
หากเป็นไปได้
การใส่เบอร์ line หรือเบอร์โทรศัพท์
จะว่างให้เหมาะสมโดยไม่รบกวนเกินไป
จะเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้กับคุณได้
การออกแบบ Header
ควรคำนึงถึงการแสดงผลในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
เพราะคนส่วนใหญ่ใน Facebook จะใช้มือถือในการเล่น
เมื่อออกแบบมาดูดีแล้วในเวอร์ชั่นเดสก์ท็อป
ลองดูตอนที่มันแสดงผลในหน้าจอมือถือด้วย
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆไป
6. เพิ่มจำนวนรีวิว สร้างบรรยากาศให้น่าซื้อมากขึ้น
เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้ว
หาร้านข้าวกินโดยที่ไม่มีข้อมูลไหม
หรือไปเที่ยวต่างประเทศ
แล้วไม่มีข้อมูลรีวิวบอกเลย
เราจะตัดสินใจเลือกร้านกินด้วยอะไร
ส่วนใหญ่เราจะดูจากคนที่เข้าไปกินอาหารในร้านนั้น
ถ้าคนเยอะแสดงว่าเป็นร้านอร่อย จะต้องมีอะไรดีๆอยู่แน่นอนเลย
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้ “ผ่าน”อย่างแน่นอน
หรือใกล้ตัวขึ้นมาอีกหน่อย
เวลาไปตลาดนัด แล้วคนมุงดูหน้าร้านเยอะๆ
เราย่อมจะให้ความสนใจกับมันมากกว่าร้านอื่นๆ
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้มีอะไรดีอย่างแน่นอน
บนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน
เราจะทำอย่างไรให้คนมามุงเยอะๆ
สิ่งนี้สามารถทำได้บนหน้าเพจ
นั่นคือจำนวนรีวิวจากลูกค้านั่นเอง
เทคนิคง่ายๆในการที่จะเพิ่มจำนวนรีวิวก็คือ
การขอร้องให้ ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าของเรา หรือลูกค้าประจำ ช่วยรีวิวสินค้าหรือบริการของเรา ผ่านช่องรีวิวของเพจ
อาจจะแลกเปลี่ยนกับส่วนลดในการซื้อครั้งต่อไป
หรือมอบของสมนาคุณให้กับเขา ก็เป็นไปได้
เพราะคะแนนรีวิวจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ๆได้เป็นอย่างดี
และทั้งหมดนี้ ก็คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
หวังว่าทุกคนจะนำไปประยุกต์ใช้กับเพจตัวเอง
แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นนะครับ
เพิ่มคนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียงทำสิ่งนี้!
เพิ่มคนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียงทำสิ่งนี้!
มีคนกล่าวไว้ว่าถ้าคน Search หาสินค้าหรือบริการ หาสินค้าหรือบริการ
แล้วเว็บไซต์หรือเพจของเราไปติดที่หน้าแรกของ Google ด้วย
ก็เหมือนมีเครื่องปั้มเงินส่วนตัวไว้ใช้ตลอดชีวิต
ใครๆก็อยากได้ใช่ไหมครับ
ผมเคยแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในหัวข้อที่ชื่อว่า Free traffic
จริงๆมันก็คือเรื่องการทำ seo search engine Optimization
หรือพูดง่ายๆมันก็คือการทำยังไงก็ได้ให้ติดในหน้าแรกของการค้นหาที่ Google
สำหรับคนที่ไม่มีเว็บไซต์ มีแค่เพจ Facebook อย่างเดียวก็สามารถทำได้เช่นกัน
แล้วมันทำได้อย่างไรล่ะ
มาดูกันเลย!!
สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจ
นั่นก็คือ ลูกค้าของคุณจะค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณด้วยคำว่าอะไร
นั่นคือหัวใจที่จะทำให้คุณนำมาตั้งเป็นชื่อเพจ
เทคนิคนี้ก็คือการนำเอาคำค้นหาเหล่านี้ มาใส่ในชื่อเพจ
แน่นอนว่าชื่อเพจของคุณมันจะยาวขึ้น อาจจะดูไม่ค่อยสวยงามนัก
แต่เป้าหมายของการตั้งชื่อเพจ ไม่ได้ตั้งให้เท่ แต่เราเน้นยอดขาย และให้คนเข้ามาเจอเราเยอะๆ
สมัยก่อน มีหลายเพจที่ผมตั้งชื่อสั้นๆ
ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ แต่ว่าคนที่เข้ามาในเพจก็จะเป็นคนเดิมๆ คนที่รู้จักเราอยู่แล้ว
ถ้าจะให้คนใหม่ๆเข้ามาติดตาม ก็ต้องเสียเงินโฆษณาอยู่ประจำ หรือบอกให้เขามากดติดตาม
ไม่มีวิธีอื่นๆเลยที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆมาติดตามเพจ
แต่หลังจากที่ใช้วิธีนี้แล้ว
ปรากฏว่า เราได้ลูกค้าคนใหม่ๆเข้ามามากขึ้นกว่าเดิม
โดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่าโฆษณาเลยแม้แต่น้อย
มีเพจท่องเที่ยว ที่ผมใช้ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวมาตั้งเป็นชื่อเพจ
แล้วปล่อยให้คนเข้ามาติดตามกันเอง
ทุกวันนี้มีคนกดไลค์ประมาณ 40,000 คน
ซึ่งแต่ละคน แต่ละไลค์ นั้นไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว
แถมยังเป็นคนที่มี Engagement ที่เหนียวแน่นมากๆ
โพสต์อะไรไปแป๊บเดียวคนก็เข้ามาคุยกันเยอะแยะ
น่าสนใจไหมครับ!!
หรืออย่างเพจร้านกาแฟที่ผมทำ
เมื่อก่อนเราใช้แค่ชื่อร้านอย่างเดียวเก๋ๆ
ก็เจอแต่คนเดิมๆเท่านั้น
พอเปลี่ยนมาใช้หลักการนี้ ใช้เวลาทำแค่ 5 นาที
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
มีคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น
กดติดตามเพจเรามากขึ้น และเป็นคนที่มองหาสินค้าและบริการของเราจริงๆ
นี่คือลูกค้าที่มีคุณภาพ
จะดีกว่าไหมครับถ้าเรามีลูกค้าคุณภาพ
เพิ่มขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณาแม้แต่บาทเดียว
เอาล่ะมาถึงตอนนี้หลายๆคนก็อยากจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเราจะใช้เครื่องมืออะไรในการค้นหา keyword หรือคำค้นหา เกี่ยวกับสินค้าและบริการของเรา
ผมจะไม่ลงลึกในเรื่องการใช้เครื่องมือนะครับ แต่จะบอกให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง
Google keyword suggestion
Google Trends
Uber Suggest
Keysearch.co
เครื่องมือเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยยืนยันว่าคนค้นหา Keyword เหล่านี้ มากน้อยแค่ไหน
Keyword ตัวไหนที่คนค้นหาเยอะ
เราจะเลือกมาใช้งาน
แต่ keyword ที่มีคนค้นหาเยอะมากๆ อาจจะเป็น keyword ที่กว้างไป ไม่เจาะจง
ยกตัวอย่างเช่น เค้กวันเกิด
คนที่ค้นหาคำนี้ คือเด็กๆที่หาภาพเค้กวันเกิดส่งให้เพื่อน เท่านั้น
แต่หากเพิ่มเข้าไปเป็นพื้นที่ เช่นเค้กวันเกิดสมุทรปราการ
คนที่ค้นหาคำนี้ก็คือคนที่มองหาเค้กวันเกิดแถวๆสมุทรปราการ
เพราะการซื้อเค้กที่ไกลออกไปจากพื้นที่บ้านของตัวเอง
จะเสียค่าส่งที่แพงมากกว่าเดิม
(ยกเว้นว่าเป็นเค้กที่เจ๋งมากๆ และไม่มีทางเลือกอื่นให้ใช้บริการแถวบ้านเลย)
เมื่อเราได้ Keyword ที่จะนำมาใช้งานแล้ว
ให้เราทำการเพิ่ม keyword เหล่านี้ลงไปในชื่อเพจ
โดยไปตั้งค่าที่ Page > about
หลังจากนั้นก็เพิ่ม keyword ให้ต่อจากชื่อเพจเดิมของเรา
ยกตัวอย่างเช่น
คุณสมหมาย มีกิจการเช่ารถที่เชียงใหม่ แล้วตั้งชื่อเพจ
โดยมีชื่อเดิมคือ “สมหมาย carrent”
สังเกตว่าชื่อแบบนี้มันจะกว้างมากๆ และจะมีแต่คนหน้าเดิมๆที่รู้จักเพจนี้
แต่ถ้าเราเพิ่ม keyword เข้าไปว่า “รถเช่าราคาถูก เชียงใหม่” กลายเป็น
“สมหมาย carrent รถเช่าราคาถูก เชียงใหม่”
คนที่ค้นหาคำว่ารถเช่าเชียงใหม่ ทั้งใน Google และ facebook
จะมีโอกาสเห็นเพจนี้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ที่สำคัญการเปลี่ยนชื่อเพจนั้น Facebook ไม่ยอมให้เราเปลี่ยนชื่อจากหน้ามือเป็นหลังมือนะครับ
ต้องเพิ่มเข้าไปด้านหลังจากของเดิมก่อนเท่านั้น
เพราะ Facebook ป้องกันการปั่นยอดคนติดตามในเพจ
แล้วเปลี่ยนชื่อไปเป็นเพจอื่น นั่นเอง
ลองนำไปใช้ก่อนนะครับผมคิดว่า
มันเป็นเทคนิคง่ายที่จะเพิ่มยอดขาย และคนติดตามที่มีคุณภาพให้กับเพจของคุณ
โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
ของฟรีมีในโลกถ้ารู้จักใช้!!
ติดตามเทคนิคการตลาดออนไลน์ ที่เข้าใจง่ายและทำตามได้
กับผม พี่นุกสอนรุกการตลาดออนไลน์
กด see First กดติดดาว กด Comment กดไลค์ กดหัวใจ
เพื่อให้เราได้มาเจอกันอีกนะครับ
#digitalnook
Facebook ลั่น ลบป้าย Badge สีเทาแล้ว ดีเดย์ 30 ตุลาคม 62
Facebook ลั่น ลบป้าย Badge สีเทาแล้ว
ดีเดย์ 30 ตุลาคม 62
.
es
วันนี้หลายๆที่เป็นแอดมินเพจ น่าจะได้รับข้อความแปลกๆ ที่บอกว่า
Badge สีเทาของคุณจะหายไป แล้วนะ เพราะว่าเรากำลังจะยกเลิกสิ่งนี้
.
บางคนตระหนกตกใจว่า
เอ จะมาลบเพจฉันหรือ ฉันทำอะไรผิด
.
ไม่ต้องตกใจกันไปนะ
เพราะว่า เป็นนโยบายของทาง Facebook เอง
ที่จะยกเลิก Badge สีเทา เท่านั้น
.
Badge สีเทา นี้คืออะไร?
.
Badge สีเทา หรือ ป้ายสีเทานี้ คือ เครื่องหมายที่บ่งบอกว่า เพจนี้ มีการยืนยันตัวตนที่ชัดเจน
ว่า เป็นเพจที่ทำธุรกิจนี้จริงๆจังๆ ไม่ได้มาทำอะไรเล่นๆ
เรียกว่า เป็นของแท้แล้วกัน
.
ซึ่งจะต่างไปจากเพจ ที่เป็นสื่อ ดารา blogger หรือแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นสีน้ำเงิน
ถ้าบ้านเรา ก็อาทิ ไทยรัฐ wongnai เป็นต้น
.
แล้วทำไม Facebook ถึงยกเลิกล่ะ?
.
เพราะมีคนเป็นจำนวนมากบอกว่า ป้ายเทาๆ เนี่ย
มันมีแล้ว ก็ไม่เข้าใจ ว่าคืออะไร
ดูไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แทนที่จะดี กลับกลายเป็นไม่ ok
.
แล้วเพจเราจะหายไปมั้ย?
.
คำตอบคือ ไม่หายใป
เพจยังอยู่ ที่หายไป คือ Badge สีเทาเท่านั้น
แต่ถ้าเพจหายไป แสดงว่าคุณอาจจะทำอะไรประหลาดๆ ไม่น่าไว้วางใจ
แล้วล่ะ
.
ติดตามเรื่องราวการตลาดออนไลน์จากผม
พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์
#digitalnook
.
กดติดตามเพจนี้ได้เลยนะ