3 เทคนิค เขียน Content ยังไง ให้คนอยากอ่าน
3 เทคนิค เขียน Content ยังไง ให้คนอยากอ่าน
.
หลายครั้ง ที่เราเขียนโพสต์เฟสบุ๊ค
แล้วคนไม่อ่าน
ไม่แชร์ ไม่หือ ไม่อือเลย
.
ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจนะ
แต่ทำไมไม่อ่าน หรือ ไม่ปังเลย
.
หากนี่คือปัญหาที่เจออยู่
ลองมาดู 3 เทคนิค ที่จะทำให้คุณเขียน Content ได้ดีกว่าเดิม
อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าที่ทำมาแหละนะ
.
ถ้าพร้อมแล้ว ก็เริ่มเลย
.
1. วิเคราะห์คนอ่าน
นี่คือจุดเริ่มต้นของการ เข้าไปอยู่ในใจคนอ่าน
คนอ่าน คือกลุ่มเป้าหมายของเรา
ลองจินตนาการหน่อยซิ ว่าเขา คือใคร
มีปัญหาอะไร เป็นคนแบบไหน
อยู่ตรงไหน บนโลกนี้
เขาชอบทำอะไร แล้วอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการไปแก้ปัญหาของเค้า
.
ถ้ารู้ชัดแจ้ง ว่า เขามีปัญหาอะไร แล้วเราสามารถแก้ปัญหาให้เค้าได้
เราก็คือผู้ช่วยของเขา
และมีคุณค่ากับเขาแล้วล่ะ
.
2. เอาคุณค่าหยิบยื่นให้เขา
การขายสินค้า หรือ บริการ การอารัมภบท ถึงสิ่งของ ทุกอย่าง บนโลกใบนี้
มีอยู่ 2 อย่าง
นั่นคือ ประโยชน์ที่เขาจะได้รับ
กับ คุณสมบัติของมัน
.
ส่วนใหญ่เวลาเราทำเนื้อหา ที่อยากให้คนอื่นๆ มาอินกับเรา
เรามักจะทำแบบรายการวิทยุ สมัยก่อน
นั่นคือ เล่าถึงสรรพคุณของมัน ว่าดีอย่างไร
มันทำมาจาก บลาๆๆๆๆ
มันมาจากประเทศ บลาๆๆๆ
.
แต่ไม่รู้ว่า มันช่วยอะไรเขาได้บ้าง
.
จะดีกว่ามั้ย หากวันนี้ เราจะบอกให้เขาเหล่านั้นฟังว่า
ปัญหาที่เขาเจออยู่นั้น จะหายไป
หรือดีขึ้นกว่าเดิม ชีวิตแฮปปี้มากกว่าเดิม
ได้เวลาว่างกลับคืนมา ได้อยู่กับคนที่รักมากขึ้น
เหนื่อยน้อยลง สุขภาพจิตดีขึ้น
.
เพราะ ใช้สินค้าของเรา
พอสนใจสินค้าเรา หลังจากนั้น ข้อมูลสรรพคุณ ค่อยบอกให้เขาฟัง
ก็ยังไม่สายนะ
.
3. นำเสนออย่างสม่ำเสมอ
แน่นอนว่า เนื้อหาที่เกิดขึ้นในสื่อออนไลน์นั้น
ช่างรวดเร็ว เหลือเกิน
เกิดขึ้น และ แตกดับชั่วข้ามคืน
.
หากวันี้ ประสบปัญหานั้นอยู่
คุณจะต้องพยายาม เขียนมันออกมา สม่ำเสมอโดยตลออด
.
ลองเริ่มต้นถ่ายทอดมันออกมา ในหลายๆ แบบ
ทั้งนี้ เพื่อศึกษาว่า คนมาอ่าน มาดูตอนไหน ช่วงไหน
ชอบเนื้อหาแบบไหน แนวทางอะไร
.
ทำให้ได้อ่านกัน ทุกวันในช่วงเวลาเดิม
เพื่อทดสอบหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
.
อันไหนเขียนแล้วคนชอบ คนมีคอมเมนท์
มีการแชร์ แสดงว่า ประสบความสำเร็จ
ให้ทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ
.
อันไหน ไม่ค่อยดี ให้สังเกตว่า เพราะอะไร
แล้วเราจะปรับปรุงให้มันดีกว่า ในอนาคต
.
และทั้งหมดนั้นก็คือ
3 เทคนิค เขียน Content ยังไง ให้คนอยากอ่าน
.
ลองเอาไปคิดนะ ว่าจะทำยังไง ให้ดีกว่าเดิม
สำคัญที่สุด ที่จะลืมไม่ได้
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ กันนะครับ
.
.
Facebook
facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
https://line.me/R/ti/p/%40digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
libra facebook ทำความเข้าใจ เงินสกุลใหม่ของ facebook ใน 3 นาที
libra facebook ทำความเข้าใจ เงินสกุลใหม่ของ facebook ใน 3 นาที
.
ในเมื่อโลกใบนี้ ต้องใช้เงินแลกเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
แต่การทำธุรกรรมการเงินในตอนนี้
แม้จะสะดวกขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังยุ่งยาก
.
แนวคิดที่จะทำให้คนทั้งโลก สามารถส่งเงินหากันทั่วโลก
ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จึงได้เกิดขึ้นมา
.
จริงๆ ไม่ใช่แนวคิดใหม่
เพราะเรารู้จัก Paypal กันมานานแล้ว
(บ้านเรา อาจจะไม่นิยมเท่าไร แต่ก็เริ่มใช้กันเยอะขึ้น)
.
จนกระทั่ง facebook ผงาดกลายเป็นมหาอำนาจในโลกออนไลน์
ที่มีคนใช้งานเยอะแยะมากมาย แค่ในไทยก็ปาไป 53 ล้านคน
ลมหายใจเข้าออก ของทุกคนอยู่ใน facebook
ทุกคนทำมาหากินอยู่ในนี้ โดยไม่ต้องไปตั้งหน้าร้าน
.
เม็ดเงินที่ไหลเวียนใน facebook ณ ตอนนี้
ยังเป็นการโอนเงินให้กัน โดยใช้บริการของ ธนาคาร ทั้งเงินสด และ บัตรเครดิต
.
ปัจจุบัน facebook พยายามให้คนใช้เงินผ่าน application ของตัวเอง
ผ่านบริการของ 2c2p
.
แต่ที่น่าสนใจนั่นคือ กว่าครึ่งหนึ่งของคนบนโลกใบนี้
ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวก ไม่มีบัญชีธนาคาร
.
และคนที่มาทำงานต่างประเทศ เวลาจะส่งเงินกลับไปที่บ้าน
ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนรวมๆกันแล้ว มากมายหลายหมื่นล้านเหรียญ ต่อปี!
.
แต่ล่าสุด ทาง facebook ได้ประกาศออกมาแล้ว
ว่าจะเปิดตัวเงินสกุลใหม่ของตัวเองที่ชื่อว่า Libra (libra facebook) อย่างเป็นทางการ
โดยจะเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2020
.
เราลองมาทำความรู้จักกันดีกว่า ว่า
เจ้า Libra นี้มันคืออะไร
เข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที
.
เอ้าเริ่ม!!
.
– Libra ควบคุมโดยองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ที่มีกว่า 27 บริษัทมาร่วมด้วย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเงิน อาทิ Visa mastercard หรือ Paypal ที่เรารู้จักกันดี
– libra คือเงินดิจิตอล คนละประเภทกับบิทคอยน์ เพราะอ้างอิงกับการแลกเปลี่ยน ตามค่าเงินจริงในโลกใบนี้
– เราจะแลกเปลี่ยนเงินกันผ่าน application กระเป๋าเงินดิจิตอล ที่เรียกว่า Calibra
– libra ช่วยให้คนในโลกนี้ สามารถแลกเปลี่ยนเงินข้ามโลกกันได้ ในระยะเวลาอันสั้น (แทบจะทันที) ไม่ต้องรอโอนเงินข้ามประเทศ กันข้ามวัน ที่สำคัญ ไม่มีค่าธรรมเนียม!
– ที่สำคัญ Calibra จะแยกตัวออกไปต่างหากจาก facebook
– libra จะเปลี่ยนสกุลเงินที่เราแลกหากันโดยอัตโนมัติ เช่น ส่งเงินไทยไปญี่ปุ่น ก็จะเอาเงินไทย ไปแปลงเป็น libra แล้ว แปลงเป็นเงินเยน โดยอัตโนมัติ
– ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? แน่นอนว่าคือ ธนาคาร สถาบันการเงินโอนเงินข้ามประเทศ อย่างแน่นอน!!
.
แล้วที่สำคัญ
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ กันนะครับ
.
4 เคล็ดลับการใช้ inbox facebook เพิ่มยอดขาย ที่คนไม่ค่อยรู้ แต่วันนี้เราจะบอก!
4 เคล็ดลับการใช้ inbox facebook ที่คนไม่ค่อยรู้ แต่วันนี้เราจะบอก!
เครื่องมือสำคัญในการปิดการขาย หรือ เจรจาต่อรอง จนสร้างยอดขายได้ ใน Facebook
คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า มันคือ inbox หรือ messenger นั่นเอง
.
เพราะส่วนใหญ่ เรายิงแอด ทำ content จนคนสนใจ อยากได้ อยากซื้อ
ก็จะมาคุยกันจนพอใจ ตรงนี้แหละ
หลายคน อาจจะไปต่อ ใน line@ หรือ โทรหากันก็ไม่ว่ากัน
.
แต่ถ้าอยากจะเสริมศักยภาพ ทำให้เราใช้งาน inbox facebook ได้มากกว่าเดิม
วันนี้ เรามีความภูมิใจจะเสนอเคล็ดลับ
(หากใครเคยใช้แล้ว มันไม่ลับ ก็อ่านได้นะครับ 555)
.
เพราะว่าผมได้ศึกษา และเอามานำเสนอให้ได้อ่านกันวันนี้
มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลยจ้า!
.
1. คัดแยกลูกค้า หลากระดับ ด้วยการติด Labels
ฟังก์ชั่นนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคย สำหรับแม่ค้าออนไลน์ มากๆ ครับ เพราะว่า ง่าย สะดวก ตอนใช้งาน เพราะสามารถ คัดลูกค้าตามประเภทที่เราต้องการได้หมด
.
จ่ายแล้ว ยังไม่จ่าย โอนแล้ว ยังไม่โอน ลูกค้าเก่า ลูกค้าที่ไม่อยากรับ
.
หรือว่าเป็น labels อื่นๆ ที่เราต้องการทำ ก็ได้นะ แล้วแต่ธุรกิจ
อย่างผมทำร้านกาแฟ ร้านเค้ก ก็จะเพิ่มไปว่า คนนี้ เกิดเดือนเมษายน แล้วมาสั่งเค้กวันเกิด
ปีหน้า ผมก็จะทักไปหาเค้าอีก
.
ข้อดีก็คือ เราสามารถเพิ่มมันไปได้เรื่อยๆ ครับ
และตั้งได้ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอื่นๆ อยากทำไร ทำได้เลย
ที่สำคัญ ระบบ chatbot หลายๆ ที่ก็ใช้ แนวคิดของ Labels ไปใช้เหมือนกัน แต่จะเรียกว่า TAG
.
วิธีการใช้งาน
.
ไปที่ inbox และการสนนทนากับลูกค้า
ดูด้านขวา ที่เป็น Profile ลูกค้า ครับ จะมีคำว่า Labels ขึ้นมา ให้เราทำการใส่ไปเลย ตามต้องการ
ถ้าเราเคยตั้งมาแล้ว แค่พิมพ์ อักษรตัวแรก ที่เราเคยเขียน ระบบจะ suggestion ขึ้นมาให้เลยจ้า!
.
2. ตอบลูกค้าไว ขึ้นกว่าเดิม เพราะใช้ Save Reply
หลายครั้ง ที่เราต้องตอบลูกค้าแบบซ้ำๆ บ่อยๆ จนต้อง copy เอาไว้ในโน้ต ของมือถือ หรือว่า notepad ของ Desktop
.
แต่ถ้าเปลี่ยนเครื่อง หรือ ไปใช้เครื่องอื่นๆ เราก็ต้อง save ติดมาในเครื่อง
.
จะดีกว่ามั้ยถ้าวันนี้ เราสามารถเก็บข้อมูลแบบนั้น เอาไว้ให้ facebook มันจำ
แล้วพอลูกค้าถามมา เราก็กดแค่ปุ่มเดียวพอ ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ หรือนั่ง copy แปะ
.
แต่เจ๋งไปกว่านั้น เพราะในคำตอบที่เราเก็บเอาไว้ใน facebook สามารถ เพิ่มชื่อคนไปในประโยคแบบอัตโนมัติ อีกต่างหาก
.
ฟังก์ชั่นนี้ เราเรียกว่า Save reply
เป็นการสร้างคำตอบที่ต้องใช้บ่อยๆ ครับ
สามารถใส่ได้ทั้งภาพ ทั้งข้อความ รวมทั้งใส่ชื่อของคนที่ถามเข้ามาได้อีก เราเรียกว่า Personlize ครับ เก๋ๆ นะ 😉
.
วิธีการใช้ก็คือ ไปที่ inbox > หาภาพที่เป็นเหมือนกับบอลลูนคำพูด (insert saved Reply)
กดไป แล้วก็ให้คลิกที่ Manage Replies > Create Saved Reply เพื่อทำใหม่
.
โดยตั้งชื่อ เอาไว้ให้จำได้ว่าเราจะ ส่งข้อมูลให้ลูกค้า เป็นชื่อสั้นๆ พอ ส่วนเนื้อหาสามารถ ใส่ได้ทั้งภาพ คำพูด รวมทั้ง Personalization ที่จะบ่งบอกความเป็นตัวตนของลูกค้าจ้า!
.
ตอนเอาไปใช้งาน ก็ให้เลือก กดเลือกจาก list ที่มีทั้งหมด
อยากได้ อะไรก็กดไป แล้วข้อความที่ตั้งไว้ จะไปขึ้นในช่องสนนทนากับลูกค้า
.
ถ้ามั่นใจว่าถูก ก็ส่งเลย จบ!!
.
3. ปุ่ม Paid สำหรับ เก็บเงิน และ Update ยอดขาย
อีกปุ่มหนึ่ง ที่ไม่ค่อยได้ใช้กัน แต่ facebook มีให้เราใช้
นั่นคือ ปุ่ม Paid หรือจ่ายเงินนั่นเอง
.
หากเราเชื่อมต่อ Facebook Payment แล้วล่ะก็ เราสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าผ่านทาง inbox โดยไม่ต้อง ให้เขาออกไปโอนข้างนอก facebook
ซึ่งสามารถจ่ายได้ทั้งการโอนเงิน หรือว่า บัตรเครดิต (มีค่าธรรมเนียม 2.75% นะครับ)
.
กับอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ
การติด Paid เพื่อให้ facebook รู้ว่า เรามียอดขาย และสามารถเช็คย้อนหลังได้ว่า มีรายได้เท่าไร
โดยย้อนกลับไปดูที่ setting > payments หรือดูง่ายๆ ใน Publisher > shop > orders (ในกรณีที่มี shop แล้ว)
.
วิธีการทำก็คือ ไปที่ inbox > แล้วหาสัญลักษณที่เขียน รูป B สัญลักษณ์แบบเงิน
หลังจากก็กด ว่า Paid สำหรับคนที่จ่ายแล้ว หรือ Request payment สำหรับการเก็บเงิน
.
4. ตอบต้อนรับ ลูกค้าแบบอัตโนมัติ ทั้งใน inbox และตอบคนมารีวิว (แต่ไม่ใช่ chatbot นะ)
การตั้งรับ ตอบลูกค้าแบบทันที เมื่อมี inbox จะช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกดี ว่า เรามีการตอบกลับ ทันที แม้จะยังไม่ได้คำตอบ แต่ก็อุ่นใจ
.
ซึ่งแน่นอนว่า เราสามารถ เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้มากกว่า inbox อีกต่างหาก แถมยังตอบกลับเป็นชื่อลูกค้า เพิ่มความเป็นมนุษย์ เข้าไปได้อีก ด้วยการใส่ Personalize
.
การทำ automated response มีได้สามอย่าง นั่นคือ
4.1. ตอบทันที ใน inbox
อันนี้ คือพื้นฐานที่เราสร้างเอาไว้ สำหรับผมจะใส่ link line@ ให้ลูกค้าติดต่อได้นะ เพราะว่า เป็นการเพิ่มฐานคนที่ต้องการจริงๆ และส่วนใหญ่ ปิดการขายได้มากกว่า เมื่อทักมาทางไลน์ หรือใส่เบอร์โทรเพิ่มไปก็ได้
.
4.2. ตอบเมื่อมีคนรีวิวดีๆ
ถ้ามีคนมารีวิวให้เพจเรา สิ่งที่เรามักจะลืม ก็คือ การที่ตอบขอบคุณกลับไปหา เพราะไม่ค่อยได้เห็น
แต่จะดีแค่ไหน หากมีคนมารีวิวแล้ว เราขอบคุณเค้าทันที ฟังก์ชั่นนี้สามารถทำได้ครับ
โดยไปที่ inbox > automated responses > Page recommended แล้วเปิด ให้มันทำงาน
.
อยากเขียนอะไรที่จะแสดงการขอบคุณลูกค้า ก็ทำได้เลยจ้า!
.
4.3. ตอบเมื่อมีคนมารีวิวแย่ๆ
แต่หากวันนี้ มีคนมาบอกเรา ว่าเพจไม่ดี สิ่งแรก อาจจะต้องแสดงคำขอโทษไปหาลูกค้าก่อน
แล้วไปอ่านให้ละเอียด ให้ทางปรับปรุงครับ
.
วิธีการก็เหมือนเดิม นั่นคือไปที่
inbox > automated responses > Page recommended แล้วเปิด ให้มันทำงาน
.
อยากเขียนอะไรที่จะแสดงการขออภัยลูกค้า แล้วค่อยมาปรับปรุงภายหลังครับ
.
ยาวนิดนึงครับ สำหรับวันนี้ แต่ว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่านในการใช้งานนะครับ 😉
.
ที่สำคัญ ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
.
Facebook
facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
https://line.me/R/ti/p/%40digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
พิมพ์ตัวหนาตัวเอียง ในเฟสบุ๊คกลุ่มปิด ทำได้แบบนี้นี่เอง
พิมพ์ตัวหนาตัวเอียง ในเฟสบุ๊คกลุ่มปิด ทำได้แบบนี้นี่เอง
.
หลายๆคนที่ชอบโพสต์ หรือ ขายของ ผ่าน facebook group บ่อยๆ
ก็มักจะหาสีสัน หรือ สัญลักษณ์พิเศษ แปลกๆ มาสร้างความน่าสนใจ อยู่เสมอ
.
ล่าสุดครับ
ทางเฟสบุ๊คได้อัพเดท เครื่องมือ การพิมพ์ตัวอักษร
ให้เป็นตัวหนา และ ตัวเอียง แล้วจ้า!!
.
ถือว่าน่าสนใจ และไม่ยากเลย
ถ้าอยากลองทำเอง ก็อ่าน แล้วไปทำตามกันได้เลยจ้า
.
1.เข้าไปใน facebook group ที่ใช้งานตามปกติ
2.พิมพ์ ตัวอักษรตามปกติ วิสัยที่ทำกัน
3. จะสังเกตุ เห็นอักษรสีเทาๆ เป็นอักขระพิเศษ ถ้าเห็นแบบนี้คุณสามารถจะทำตัวหนา ตัวเอียงได้แน่นอน
4. ให้เลือกคลุมตัวอักษร ที่ต้องการทำ คลุมเสร็จแล้ว จะเห็น บอลลูน เป็นตัว B กับ I ขึ้นมา ถ้าอยากได้ตัวหนา ให้กดปุ่ม B ถ้าอยากได้ตัวเอียงให้กดปุ่ม I
5. ทำจนพอใจ แต่งให้สวยงามตามความชอบ เสร็จแล้ว post ตามปกติครับ
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
กดติดตามกันได้นะคร้าบ
Facebook
facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
https://line.me/R/ti/p/%40digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
Audience Insight : ยิงแอดตรงจุดมากขึ้น เพราะใช้ Audience Insight ทำได้แบบนี้นี่เอง
Audience Insight : ยิงแอดตรงจุดมากขึ้น เพราะใช้ Audience Insight ทำได้แบบนี้นี่เอง
.
เชื่อว่าทุกคนที่ ทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค
จะต้องประสบกับปัญหา เรื่องการหาความกลุ่มสนใจ ที่ใช่จริงๆ
ว่าเขาเหล่านั้น อยู่ตรงไหน?
.
มันเป็นความคลาสสิก นิรันดร์กาลจริงๆครับ
ถ้าจะให้เริ่มต้นกันง่ายๆ โดยยังไม่ต้องไปใช้เทคนิค เรื่อง Custom Audience หรือ Look a Like
ก็ขอแนะนำ เครื่องมือการตรวจสอบ interest หรือความสนใจ ที่เฟสบุ๊ค มีให้ใช้กัน
.
เครื่องมือนี้ เราเรียกว่า Audience Insight ครับ
.
มันเป็นเครื่องมือ ช่วยเราประเมินความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องของ interst ที่เราคาดว่า
จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ
.
สมัยก่อน เราอาจจะมโนไปเอง
มโนได้ถูกต้อง ก็ ปัง ก็ลดค่าแอดได้
มโนผิดก็ไม่ปัง อืด ไปเลย ค่าแอดแรง!!
.
การใช้ Audience Insight มาเช็ค Interest จึงสมควรเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะทดสอบทำแอดเฟสบุ๊คครับ
.
มาทำความรู้จักกันเลย!!
.
วิธีการใช้งาน ก็ไม่ยุ่งยากครับ
ลองปล่อยใจ ไปกับแนวทางของเฟสบุ๊คกันเนาะ
.
เริ่มจากเข้าไปที่ หน้า ads manager ของเฟสบุ๊คก่อน แล้วทำการเลือกที่เมนู Audience Insight
.
เมื่อเข้าไปแล้ว ก็จะเจอหน้าตาสวยๆ และกราฟมากมาย หลายแท่งจ้า
ให้เราสนใจ ตรงด้านซ้ายมือเป็นหลักนะครับ
สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือ การเลือกกลุ่มเป้าหมาย ที่เราสนใจ
นั่นคือ
– location / age and gender
สมมุติว่า เรากำลังขายของเล่นเด็ก ความสนใจของคนที่จะซื้อ ต้องเป็นกลุ่มคนที่เป็นพ่อแม่เด็ก ใช่มั้ยครับ
.
เราก็เลือกพื้นที่ก่อนเลยว่าเป็น thailand (อ้อ ขั้นตอนนี้ อย่าลืมลบ United states ที่เป็นค่า Default ก่อนนะครับ)
.
ส่วนอายุ ก็เลือกเป็น 30-45 (สมมุติว่าเป็นแบบนี้นะครับ)
เพศก็เลือกทั้งหญิง และ ชายไปเลย
.
อันดับต่อไป ก็คือ ใส่ interests ที่เราสนใจจะเลือกครับ
ใช้ทีละ 1 ก็พอครับ
.
เช่นเราจะใช้คำว่า “Pampers” ในการทดสอบ
หัวใจสำคัญที่เราจะใช้เช็ค ก็คือ ให้ดูตรงด้านขวา ที่เป็นคำว่า “Page Likes”
.
แล้วเลื่อนลงมาด้านล่าง
จะเห็นว่า นี่คือบรรดาเพจต่างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายที่เราเลือกตามเงื่อนไขจากทางด้านซ้ายมือ
เขาชอบดูกัน
ลองดูครับ ว่า 10 เพจแรกที่เขาดูกันนั้น
มีความเกี่ยวข้องกับ สินค้า หรือ เนื้อหาที่เราต้องการให้เขาเห็นมั้ย?
ถ้ามีมากกว่า 5 ใน 10 เพจ
แสดงว่า interest นี่แหละ ใช่เลย!!
เก็บไว้
.
หรือถ้าจะดูข้อมูลอื่นๆ เพิ่มขึ้น เราก็จะเห็นในมุมอื่นๆ เพิ่มขึ้น
เช่น
– Demographic : จะบ่งบอกว่า กลุ่มคนเหล่านี้ เป็นเพศอะไร อยู่ช่วงวัยไหนเป็นพิเศษ ระดับการศึกษา ความสัมพันธ์ เป็นแบบไหน
– อาชีพการงาน : บ่งบอกหมดเลยว่า อยู่ในกลุ่มอาชีพใด มากกว่ากัน
Activity
กิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มคนเหล่านี้ เขาทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น
– การกดไลค์เพจ
– การคอมเมนท์เพจ
– การกดไลค์โพสต์ต่างๆ
– และที่สำคัญคือการกดคลิกดูโฆษณา
การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ
– ใช้มือถืออย่างเดียว – มือกับเดสก์ทอปร่วมกัน หรือ ใช้มือถืออย่างเดียว ทั้งนี้เพื่อเอาไว้พิจารณาว่า เราจะเลือก placement แบบไหนดี
ประเภทของ Device ว่าเป็นรุ่นไหน แบบไหน
– iPhone android คนกลุ่มนี้ชอบใช้อะไร เราจะได้เลือก placement ได้โดนใจ ประหยัดค่า ads ไปอีก
โอย รู้เยอะได้ขนาดนี้ ก็เป็นไอเดียแจ่มๆ ในการที่จะลงมือทำโฆษณาในครั้งต่อไป ให้ดีกว่าเดิม!!
.
จะรออะไรล่ะ
ลุยเลย!!
.
สำคัญสุดๆ ณ จุดนี้ครับ
หากชอบบทความนี้ อยากให้ช่วยกันกดไลค์ กดแชร์ กดคอมเมนต์กันนะคร้าบ 😉
.
ติดตาม เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
http://bit.ly/digitalnook-line
ตำแหน่ง แสดงโฆษณา เฟสบุ๊ค ตรงไหนดีที่สุด?
ตำแหน่ง แสดงโฆษณา เฟสบุ๊ค ตรงไหนดีที่สุด?
คนที่ลงโฆษณาเฟสบุ๊ค อาจจะต้องคิดให้ดีกว่าเดิม
เพราะตำแหน่งของโฆษณานั้น มันมีหลายตำแหน่ง กว่าที่เราคิด
.
สมัยก่อนตอนเข้าวงการทำโฆษณาใหม่ๆ เราก็กด Boost Post จากหน้าเพจเลย
สะดวกดี เพราะมันเด่นเด้งสะดุดตา หาอะไรมาเทียบไม่ได้
แรกๆ มันก็ทำงานดีนะ
แต่หลังๆ คนใช้งานเพิ่มมากขึ้น เราเลยรู้จักเรียนรู้ว่า
มันมี ตัวจัดการโฆษณา ที่ละเอียดขึ้นมากกว่าเดิม
.
ซึ่งเราสามารถปรับมันได้แบบสุดๆ
ยิ่งกว่าที่เคยทำจากหน้าเพจ ซะด้วย
.
และที่สำคัญไปกว่านั้น มีอีกเรื่องที่เราสามารถปรับได้
นั่นคือ ตำแหน่งการแสดงโฆษณานั่นเอง
.
ภาษาอังกฤษที่เราจะเห็นในหน้าจอ ads manager จะเขียนว่า placement นั่นเอง
ซึ่ง Default ทาง facebook จะตั้งค่าให้แสดงในทุกตำแหน่งที่มี ไม่ว่าจะเป็น
– facebook / instagram / messenger / instant article
ขึ้นหมดครับ!!
.
แต่วันนี้ เราจะมาเลือกตำแหน่งที่เหมาะสม สำหรับโฆษณาของเรากันครับ
.
โดยหลักการง่ายๆ ที่เราจะเลือกตำแหน่งแสดง
นั่นคือ
.
เราใช้ facebook แล้วมองเห็นตำแหน่งบ่อยๆ
ก็ให้เลือกพื้นที่นั้น
อันไหนที่ไม่ค่อยได้ชายตาไปมอง ไม่ต้องไปเลือกครับ
.
อะเรามาดูกันเลยว่า ตำแหน่ง แสดงโฆษณา เฟสบุ๊ค ที่ดีนั้นอยู่ตรงไหนกันบ้าง ว่าแล้ว มาเลย
.
1. Feed
ตำแหน่งนี้ คือตำแหน่งยอดฮิตของเราทุกคน เพราะเวลาเปิด facebook ขึ้นมา เราไถจอมือถือขึ้นลง
ดูเรื่องราวชาวบ้าน ชาวเมือง แล้วเห็นโฆษณาขายของ ขายบริการที่เราชอบ
และเกิดการซื้อขายกัน ก็ตำแหน่งนี้แหละ
.
อันนี้แหละครับ ที่เราเรียกว่า Feed
และ Feed ที่ดีที่สุด คือ Feed บน Mobile
เพราะคนเราใช้ Facebook ผ่านมือถือ บ่อยสุดๆ
.
ดังนั้น จึงต้องเลือกพื้นที่นี้ ในการทำโฆษณาเป็นหลัก
ไม่เลือกไม่ได้
.
2. Messenger
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่เราใช้งานกันเป็นประจำ
จะแชท จะคุยกับเพื่อนฝูง
จะอินบ๊อกซ์ ซื้อขายของ กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
เราใช้ผ่าน Messenger กันใช่มั้ยครับ
.
แล้วลองสังเกตุมั้ย ว่า ระหว่างข้อความของเรากับคู่สนทนา
มันจะมีโฆษณามาปรากฏตรงนี้ด้วย
นี่แหละ คือตำแหน่ง ที่สายตาของเราจะเห็นอยู่บ่อยๆ
.
และจากที่ลองลงโฆษณา แบบทักแชท
ลูกค้าก็มักจะมาจากตำแหน่งนี้ครับ
แจ่มๆๆ
.
3. Instagram
ถ้าโพสต์ของคุณคือภาพเดี่ยว หรือ วิดิโอความยาวสั้นๆ
แล้วมีความสวย ความมุ้งมิ้ง ความน่ากิน น่าดื่ม น่าเที่ยว น่าไป
น่าซื้อหา
.
การเลือกตำแหน่งแสดงใน Instagram ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจทีเดียว
แต่หากสินค้าคุณ เป็นบริการหนักๆ เป็นอาหารเสริม
อันนี้ อาจจะต้องลองทดสอบด้วยตัวเองแล้วครับ
ถ้าดี ก็เปิดต่อ ไม่ดี ก็ปิดไป
.
4. instant article – Audience Network
รู้หรือไม่ ว่านอกเหนือจาก Facebook และ Instagram แล้ว
โฆษณาของเรา ยังสามารถไปโผล่ในเว็บไซต์ต่างๆ ได้
เขาเรียกว่า Audience Network
.
ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราไปเข้า แล้วไม่เกี่ยวกับ Facebook เลยนะ
แต่มี Banner Sponsored ขึ้นมาให้เราเห็น
.
ถ้าสมัยก่อน ก็จะมีแค่ Google ที่ทำ adsense
แต่ตอนนี้ Facebook พยายามสร้างเครือข่ายโฆษณาของตัวเองออกไปมากกว่าเครือข่ายของตัวเอง
ก็เลยกลายมาเป็น Audience Network
.
หากใครเห็นลิงค์ข่าว ที่มีรูปสายฟ้าใกล้ๆ แล้วเปิดไปอ่านได้เร็วๆ
และมี Banner ปรากฏขึ้นมา อันนี้คือ ตำแหน่งแสดงโฆษณาของคุณใน Audience Network
.
สำหรับตำแหน่งอื่นๆ ที่ไม่กล่าวถึงนั้น
อยากให้ลองทดสอบด้วยตัวเอง
เพราะบางครั้ง ตำแหน่งที่คนไม่สนใจเลย
แต่ อาจจะมีบางคนที่ยังสนใจ เหลือบไปเห็น
.
หรือขอให้มีเยอะๆ เพื่อสร้างการมองเห็นจำนวนมากๆ
ก็เป็นทางเลือกที่คุณทำได้
.
แต่ทั้งหมดนี้ ต้องทดสอบทดลองทำเองจนเข้าใจนะครับ
เพราะอ่านอย่างเดียว
.
จะไม่รู้เรื่องจ้า
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
กดติดตามกันได้นะคร้าบ
Facebook
facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
https://line.me/R/ti/p/%40digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
3 เทคนิค โฆษณาเพิ่มคนติดตามเพจ แบบคุณภาพ ในราคาประหยัด ทำได้แบบนี้นี่เอง
3 เทคนิค โฆษณาเพิ่มคนติดตามเพจ แบบคุณภาพ ในราคาประหยัด ทำได้แบบนี้นี่เอง
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ คือ
1. เอา content ที่ดีมาทำโฆษณา
2. บอกให้คนกดติดตาม หรือ ไลค์เพจ ในโพสต์นั้น
3. ใช้เงินที่เท่ากัน ระยะเวลานานกว่า จะได้ผลดีกว่า
หลายๆคนตอนนี้ อาจจะมีปัญหา จะเพิ่มคนติดตามเพจของเราได้ยังไงกันนะ?
ปัญหานี้ เหมือนจะง่าย แต่พอทำแล้วก็ยาก
เพราะมันต้องโฟกัสว่าคนที่จะติดตามเราคือใคร
แล้วอะไรที่เขาชอบล่ะ?
หลักการของมันไม่ต่างไปจากการทำโพสต์ Content เลยครับ
ทำ Content ให้ดียังไงเราก็ทำแบบนั้นกับการทำโฆษณาเพิ่มคนติดตาม
แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลานะมาฟังเทคนิคจากประสบการณ์ตรงกันเลยดีกว่า
1. เอา content ที่ดีมาทำโฆษณา
Content ที่ดีในโพสต์ของเรา
มักจะมี reach engagement like share ที่ดี
แม้ไม่ได้โฆษณา
แค่เพิ่มเรื่องขับเคลี่่อนด้วยเงินเล็กๆน้อยๆ ก็จะทำให้คนเห็นมากขึ้น
เหมือนกันเลย!!
กับโฆษณาเพิ่มคนติดตาม
ถ้า Content ไหนดี มีคนสนใจ
เราเอามาสร้างแบบเพิ่มคนติดตาม ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต่างกัน
ส่วนเนื้อหาที่เราทำ ก็ควรเป็นความสนใจ
ของ”กลุ่มเป้าหมาย” ที่เราอยากได้ด้วยนะ!!
อ้อที่สำคัญ อยากได้คนกลุ่มไหนมาติดตาม ก็เลือกกลุ่มเป้าหมายนั้นมาดูโฆษณาของเราด้วยละเอ้อ!!
2. บอกให้คนกดติดตาม หรือ ไลค์เพจ ในโพสต์นั้น
พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่
ชอบให้คนมาบอก ให้ทำ ส่วนใหญ่ไม่ทำเอง
คำพูดที่ชวนให้เกิดการกระทำ
จะทำให้เขา บรรลุภารกิจได้ง่ายกว่าเดิม
กดติดตามเลยนะคะ
กดเป็นเพื่อนกันได้เลยค่า เพื่อ บลาๆๆๆๆๆ
ฝากกดติดตามกันด้วยน้า
เป็นการขอร้องให้เขาเห็น แล้วลงมือทำอะไรบางอย่างทันที
จะดีกว่าการขึ้น ภาพ หรือ วิดิโอ โฆษณาเฉยๆ
3. ใช้เงินที่เท่ากัน ระยะเวลานานกว่า จะได้ผลดีกว่า
เทคนิคอันนี้ เกิดมาจากการสังเกตุของผมเอง
นั่นคือ ถ้าเราใช้งบประมาณที่เท่ากัน เช่น 3,000 บาท
ในระยะเวลา 1 เดือน กับ 1 สัปดาห์
ผลลัพธ์ที่ได้ จะแตกต่างกัน
นั่นคือ 1 เดือน จะมีการเฉลี่ย ค่าใช้จ่ายได้ดีมากกว่า
ดังนั้น ไม่ควรอัดเงิน ในระยะเวลาสั้นๆ
ไม่ว่าจะทำโฆษณาแบบไหนก็ตาม
ถ้าจำเป็นเพราะระยะเวลาจำกัด
ให้ซอยย่อย campaign ออกมาเยอะๆ ครับ
ไม่เชื่อลองดูสิครับ!!
ลิงค์ส่องโฆษณาเพจชาวบ้าน ไม่ได้หายไป แต่มันมาอยู่ ตรงนี้นี่เอง!
ลิงค์ส่องโฆษณาเพจชาวบ้าน ไม่ได้หายไป แต่มันมาอยู่ ตรงนี้นี่เอง!
.
สำหรับนักโฆษณา การตลาดที่อยากดูไอเดียการทำโฆษณาของเพจคู่แข่ง
เพื่อดูว่าเขาทำอะไร เขียนแบบไหน เขียนอย่างไร
หรือมีความเคลื่อนไหนแบบไหนอยู่
.
ก็จะเปิด Browser เข้าไปในเพจนั้นๆ (ใน version Desktop)
กด link ที่ชื่อว่า “info and ads” หรือ “โฆษณา”
เราก็จะได้เห็นโฆษณาแล้ว
เราเรียกกันว่า “ลิงค์ส่องโฆษณา”
.
แต่ตอนนี้ (พ.ค. 2562)
facebook มีการปรับเปลี่ยน หน้าตา interface ไปอีกครั้ง
ลิงค์ซึ่งเคยอยู่ มันหายไป!!
.
หลายคนก็ตกใจว่า เอ้า มันหายไปไหน
บางคนดีใจ เออ ดี จะได้ไม่มีใครมา copy ความคิดฉันไปง่ายๆ
บางคนเสียใจ ว้า เราจะไปหาไอเดียจากไหนเนี่ย!
.
อย่ากระนั้นเลย!
เพราะจริงๆ facebook เขาเพียงแต่ปรับเปลี่ยน ที่อยู่ของ info and ads ไปเท่านั้นเองครับ
.
ให้มันไปอยู่รวมกันกับ Page Transparency หรือ ความโปร่งใสของเพจ
ในนี้เขาจะรวมเอาข้อมูลเบื้องต้นของเพจเอาไว้ทั้งหมด
ตั้งขึ้นมาเมื่อไร
เปลี่ยนชื่อไปกี่ครั้ง
มีการรวมเพจ อะไรเข้ามาบ้าง
รวมทั้งโฆษณา ที่เพจทำขึ้นมา เขาเอามาใส่รวมกันในนี้
เรียกว่า “Ads From This Page”
.
สามารถกดเข้าไปดูได้โดยการกดที่ ลิงค์ “View in Ad Library”
.
เท่านี้ เราก็จะเห็นโฆษณา ที่เพจนั้นกำลัง Run อยู่ ออกมาเรียงรายเต็มหน้ากระดานเลยจ้า
แถมสวยงาม ดูง่ายกว่าเก่า
แต่ถ้าเพจไหนไม่ยิงแอด
ก็ไม่เห็นนะจ๊ะ
แจก ลิงค์ส่องโฆษณา ไปแล้ว ก็นำไปใช้กันนะจ๊ะ
.
และที่สำคัญที่สุด
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
.
แล้วเจอกันครั้งต่อไป นะ 😉
.
Facebook
https://www.facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
.
Youtube
https://www.youtube.com/channel/UCyQ_MC0JA3CYoA1bgkDpFow?sub_confirmation=1
Look a like Audience โคลนนิ่งกลุ่มเป้าหมาย ได้ลูกค้าใหม่ เหมือนคนที่เราต้องการ
Look a like Audience โคลนนิ่งกลุ่มเป้าหมาย ได้ลูกค้าใหม่ เหมือนคนที่เราต้องการ
ผ่านกันไปแล้ว สำหรับ การเรียนรู้ เรื่องกลุ่มเป้าหมาย แบบ Core Audience และ Custom Audience
ใครที่ยังไม่ได้ผ่านหู ผ่านตามาแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ไปอ่านกันนะครับ
เพราะว่าทั้งสองกลุ่มเป้าหมายที่ว่านั้น คือต้นกำเนิด ของกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ นั่นเอง
สมัยก่อน เมื่อย้อนไปสัก 10 ปี
มีวิทยาการที่เรา ตื่นตาตื่นใจ กันแบบสุดๆ นั่นคือ การโคลนนิ่ง
เคยเห็นข่าวมั้ย ที่เขาโคลนนิ่งแกะ ออกมา เป็นข่าวฮือฮา
จนมีคนสร้างหนังแอ็คชั่นสุดมันส์ ออกมาหลายเรื่อง เกี่ยวกับการโคลนนิ่ง
พระเอกมีสองคน ซึ่งคนที่โดนโคลนนิ่งออกมา ดันมีนิส้ยเป็นตัวร้าย
เลยกลายเป็นหนังแอคชั่นมันส์ๆ ให้เราดูกัน
แต่นั่นคือเรื่องของจินตนาการ
เพราะการโคลนนิ่งในวันนี้ มีอยู่จริง และจัดให้โดย Facebook
Facebook ไม่ได้ทดลองสร้างแกะ หรือ มนุษย์ โคลนนิ่ง ให้ออกมาเหมือนต้นฉบับ
แต่ได้ โคลนนิ่ง กลุ่มเป้าหมาย ที่มีพฤติกรรม หรือ ความชอบ เหมือนกับกลุ่มเป้าหมายประเภท Custom Audience ครับ
อย่างที่ได้อธิบายไปว่า Custom Audience มาจากฐานข้อมูล และ พฤติกรรมของเขา
ซึ่งพฤติกรรมที่ดีงามสุดๆ นั่นคือ คนที่เข้ามาซื้อของจากเรา
ถ้าเราโคลนนิ่งกลุ่มเป้าหมาย ที่ชอบซื้อสินค้า หรือ บริการของเรา ได้
เวลายิงแอดออกไป ก็จะประหยัดลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่กลุ่มเป้าหมายที่เราจะนำมาโคลนนิ่งนั้น ต้องดีด้วยนะเออ
ถ้ามาแบบมั่วๆ เราก็จะได้ ผลลัพธ์มั่วๆ เช่นกัน
การโคลนนิ่งนี้แหละ ที่เราเรียกว่า กลุ่มเป้าหมายแบบ Look a like Audience
(ที่มาของชื่อ ก็คือแบบนี้นั่นแล)
การโคลนนิ่ง กลุ่มเป้าหมาย ที่ดี จะสร้างจากกลุ่มเป้าหมายแบบ custom audience ประมาณ 1000 คนขึ้นไป
ซึ่งเราสามารถขยายออกมาได้เป็น 530,000 คน!
กำลังดีเลยนะครับเนี่ย!!
ดังนั้นครั้งต่อไป ถ้าเราจะยิงแอด ก็อยากให้ใช้เครื่องมือ กลุ่มเป้าหมายให้ครบครัน
เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว ล้วนดีเสมอ
หลักคิดที่ต้องจำไว้อย่างเดียว นั่นคือ
เราจะมีผลลัพธ์ที่ดีได้ ต้องเริ่มมาจากกลุ่มเป้าหมายตั้งต้นที่ดี เท่านั้น
หวังว่าบทความนี้ จะเป็นไอเดียให้เรา ไปทดลองทำกลุ่มเป้าหมายทั้งสามแบบ ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ต่อโฆษณาและกิจการของเรากันนะครับ
และที่สำคัญที่สุด
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
แล้วเจอกันครั้งต่อไป นะ 😉
Facebook
facebook.com/digitalnook
line @digitalnook
inbox
https://m.me/digitalnook
Youtube
https://www.youtube.com/channel/UCyQ_MC0JA3CYoA1bgkDpFow?sub_confirmation=1
custom audience กลุ่มเป้าหมาย กำหนดเอง ตามความพอใจ ทำได้แบบนี้นี่เอง
custom audience กลุ่มเป้าหมาย กำหนดเอง ตามความพอใจ ทำได้แบบนี้นี่เอง
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ ทำความรู้จัก กับกลุ่มเป้าหมายหลักของ Facebook หรือ Core Audience ที่ได้กล่าวไปเมื่อวาน
ถ้าสนใจอยากเรียนรู้ ก็เข้าไปอ่านย้อนหลังกันได้นะครับ
เพราะเขียนให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ
หากกลุ่มเป้าหมายหลัก หรือ core audience คือสิ่งที่ facebook จัดสรรมาให้ จากพฤติกรรมของคนใช้งาน facebook
กลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ ก็คือ
Custom Audience หรือกลุ่มลูกค้าที่ เราสร้างขึ้นมาเอง จากข้อมูลของลูกค้า
กำหนดเอง อยากทำอะไร ก็จัดไปเอง
ข้อมูลลูกค้า มีอะไรบ้าง ที่เราเอามาทำ Custom Audience ได้?
ข้อมูลที่เรานำมาทำ Custom Audience นั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่
– การมีส่วนร่วมกับเพจของเรา
ไม่ว่าคนติตดามเพจของเรา จะทำอะไร จะคลิก จะดู จะกดอะไรก็ตามในเพจของเรา หรือแม้แต่การ inbox มาพูดคุยกับเรา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรม ที่ทำให้รู้ว่าเขาชื่นชอบเรา หรือ มี engagement ร่วมกับเรา
หากใครมีกิจกรรมแบบนี้ ถือว่าเขาคือ Warm Market ที่สามารถ เปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ไม่ยากแล้วจ้า!!
– อีเมล์ : อีเมล์ลูกค้า
จะดีแค่ไหน ถ้าเราเอาอีเมล์ของลูกค้ามาเป็นทำเป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อยิงโฆษณาไปหาเขาได้
เพราะเรารู้แล้วว่า เขาชื่นชอบเรา การยื่นข้อเสนอ หรือ ทำให้เขาเห็นเราบ่อยๆ จึงทำให้มีโอกาส จะปิดการขายได้ง่ายขึ้น
เหมือนเพลง “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันกร่อน”
เห็นบ่อยๆ เจอบ่อยๆ ถ้าไม่รำคาญกันไปเสียก่อน ก็จะ ซื้อเราเข้าสักวันแน่ๆ
แล้วทำไมอีเมล์ถึง ทำได้ล่ะ?
นั่นเป็นเพราะว่า การสมัครใช้ facebook ทุกคนจะต้องมี อีเมล์ หรือ เบอร์โทร อยู่เสมอ นั่นเอง
ถ้าข้อมูลอีเมล์ลูกค้า ตรงกับ facebook ละก็
เราก็จะได้กลุ่มเป้าหมายจากอีเมล์นั้นมาเลยจ้า!
(ถ้าเป็นเมล์องค์กร ไม่น่าจะทำได้นะ เพราะไม่ค่อยจะเห็นใครเอาเมล์องค์กรมาสมัครเล่น facebook!!)
– เบอร์โทร
เบอร์โทร ก็เป็นหลักการเดียวกับ อีเมล์ครับ ดังนั้นจึงเข้าใจได้ไม่ยาก
– การรับชม video
วิธีนี้ เป็นการไปรวบรวม เอาคนที่เคยดู video ของเรา ซึ่งยังแบ่งไปอีกว่า ดู 3 วินาที 5 วินาที หรือ 10% 20% ของเวลาทั้งหมดออกมาด้วย / คนที่ดู video ของเรานานๆ แสดงว่าเขาชอบ สิ่งที่เรานำเสนอ ดังนั้น จึงถือว่า เป็นการทำกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากขึ้น
ลองจินตนาการว่า ถ้าเราทำคลิปไก่ชนขึ้นมา คนที่ดูคลิปไก่ชนนานๆ แสดงว่าเขาต้องชอบมันจริงๆ
ถ้าเราทำโฆษณา ยาชูกำลังไก่ชน หรือ อะไรที่เกี่ยวข้องกับไก่ชน ไปหาคนกลุ่มนี้
เขาย่อมตอบรับสิ่งที่เราส่งไปให้ มากกว่าคนอื่นๆ
เห็นภาพมั้ยครับ?
– คนที่ inbox มาหาเรา
ถ้าเรามีคน inbox มาสักพันคน แล้วเราทำโฆษณาไปหาคนเหล่านี้อีกครั้งได้
เขาก็ย่อมมีโอกาส ที่จะซื้อของๆ เรามากขึ้นกว่าคนอื่นๆ จริงมั้ยครับ
แต่เด็ดกว่านั้น หากเพจของใคร ฟังก์ชันบรอดแคสท์ หรือยิงข้อความไปหาลูกเพจได้ละก็
ทำเลยจ้า!! อันนี้ ตรงๆ เนื้อๆ เน้นๆ
แต่อาจจะรำคาญได้ ถ้าคุณส่งแต่การขายของ
ดังนั้น เขาจึงมักส่งเนื้อหา ดีๆ ทีน่าสนใจไปแทน
ถ้าเป็นเรา มีแต่คนส่งโฆษณามาให้ เราจะยังกดไลค์ กดติดตามเพจนั้นหรือเปล่า?
จริงๆ ยังมีเรื่องของคนดู canvas แต่บ้านเราไม่ค่อยนิยมเท่าไร จึงขอไม่กล่าวไว้ ณ ที่นี้นะครับ
เพราะหลักการจะเหมือนกันหมดเลยจ้า
คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของเรา
– อันนี้ เป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมายใน ขั้นสูงขึ้นมา ซึ่งคุณต้องมีเว็บ และต้องใช้งานร่วมกับสิ่งที่เรียกว่า pixel code ด้วย
จำเอาไว้ว่า มันเป็นเหมือนสปาย ที่จะเข้าไปเกาะติด คนที่เข้าเว็บคุณ
เข้ามา 1 คน ก็คือเกาะติดไป
เข้ามาอีก 1 คนก็เกาะติดไป
พอได้เวลาก็ส่งโฆษณาไปหาคนเหล่านั้นได้เลย
เหมือนตอนเราเข้า agoda booking lazada พอออกมา
ก็มีโฆษณาห้องพัก หรือสินค้าที่เราเพิ่งดู ใน facebook!!
และเด็ดสุดๆ เร็วๆนี้ facebook จะให้เราสร้าง custom audience จาก facebook group แล้ว
โดยมีข้อแม้ว่า คุณต้องเป็น admin ของ group นั้นนะ
แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลออกมามากนัก ผมเลยไม่สามารถจะเอาตัวอย่าง หรือ กล่าวได้มากกว่านี้ครับ
(หากทำได้จริงๆ มันจะเจ๋งมากๆ เลยนะครับ รอๆๆๆ เฝ้ารอกันไป May 2019)
พอเราได้กลุ่มเป้าหมายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ นานๆ ของลูกค้ามาแล้ว หน้าที่ของเราก็คือ
การยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายนี้
ซึ่งสามารถเลือกได้จาก saved audience ใน Ad Set นะคร้าบ
เขียนมายืดยาวแบบนี้
ถ้าเข้าใจง่าย หรือ ไม่ค่อยเข้าใจ
สามารถ comment กันมาได้นะครับ
และที่สำคัญที่สุด
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
แล้วจะมา update เรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ นั่นคือ
look a like audience จ้า
แล้วเจอกันครั้งต่อไป นะ 😉
.
Facebook
facebook.com/digitalnook
.
line @digitalnook
.
inbox
https://m.me/digitalnook
.
Youtube
https://www.youtube.com/channel/UCyQ_MC0JA3CYoA1bgkDpFow?sub_confirmation=1