3 ขั้นตอน ทำยังไง ให้ได้ลูกค้าจาก Google แบบไม่ต้องเสียเงิน EP1
3 ขั้นตอน ทำยังไง ให้ได้ลูกค้าจาก Google แบบไม่ต้องเสียเงิน EP1
ถ้าวันนี้ คุณเลิกยิงแอด เลิกทำโฆษณา จะยังมีลูกค้ามาซื้อสินค้า หรือ บริการของคุณหรือเปล่า
หากคำถามนี้ ทำให้คุณรู้สึกสะดุดใจ ลองมาดูอีกวิธี ที่ทำให้คุณได้ลูกค้า จาก Google แบบไม่เสียเงิน!
ซึ่งผมเคยทำมาแล้วกันครับ
.
ผมตีออกมาเป็น ขั้นตอน 3 ขั้นครับ
.
บทความนี้ จะพูดถึงขั้นตอนแรกครับ
.
- ต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร?
คนจะยอมจ่าย ในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วคนต้องการอะไรล่ะ? Google มีคำตอบให้ครับ ผมใช้วิธีนี้เป็นหลักเลย
.
- ค้นหาความต้องการหลัก Google Trends
ไปดูว่า ตอนนี้ เทรนด์ไหนกำลังมา ได้รับความนิยม กราฟของ Google Trends บอกได้เป๊ะๆ เอาง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ “สมุนไพรฟ้า… ต้านเชื้อ” ที่ขายดีกัน มันมาพร้อมกับกราฟความนิยมที่พุ่งแรงมากๆ ตัวกราฟที่พุ่งทะยาน คือตัวคอนเฟิร์มว่า มันจะได้รับความนิยมจริงๆ
. - ค้นหา keyword ที่เค้าค้นหา
พอเรารู้กระแสหลักแล้ว ต่อไป คือการหา Keyword ที่คนค้นหาจริงๆ ซึ่งผมจะใช้เครื่องมือเพิ่มเติม สองตัวนี้ครับ
. - keyword หลักหาจาก google keyword planner หรือ uber suggest
สองตัวนี้ทำงานเหมือนกัน ถ้า Google Keyword planner จะใช้งานได้เลย แต่ข้อมูลจะไม่ละเอียด ถ้าไม่เคยจ่ายยิงแอด Google Ads เลย
.
ดังนั้นจึงมีบริการใหม่ ค้นหา Keyword ที่ดูจำนวนการค้นหาต่อเดือนที่ละเอียดกว่า เรียกว่า Ubersuggest นั่นเอง ดูได้เยอะกว่า เพียงแต่ใช้งานได้ฟรีวันละ 3 keyword ก็หมดโควต้าแล้ว ถ้าอยากใช้งานเยอะๆ ก็ให้ซื้อบริการรายเดือน หรือ จ่ายทีเดียวจบ เริ่มต้นที่ 120 usd
. - Keyword รอง หาจาก Google suggestion
นอกจาก keyword หลักกๆ
อันนี้ หาได้ง่ายครับ เพราะเปิดหน้า Google ขึ้นมา ใส่ keyword แบบยังไม่ต้องครับ สักพัก จะเห็น keyword ที่ระบบ แนะนำ มาให้ขึ้นมา หรือ จะ กด search แล้ว เลื่อนไปด้านล่างของหน้าผลการค้นหา
.
ไปหาคำว่า “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” จะเจอคำที่ระบบ Google แนะนำให้ เลือกคำเหล่านี้ มาใช้งานได้ครับ
.
ลองมาค้นหากันดูครับ ว่า ความต้องการ ของลูกค้าคุณนั้น คืออะไร?
ถ้าหาเจอ เราจะเอาไปใช้ประโยชน์ ในขั้นตอนต่อไป
.
ใน EP2 นะครับ ติดตามกันได้เลยในโอกาสต่อไป
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #seo #google
สูตรลับเรียกลูกค้า แม้ว่า ไม่ได้ยิงแอด! รู้แล้วเอาไปทำตามได้เลย!
สูตรลับเรียกลูกค้า แม้ว่า ไม่ได้ยิงแอด!
รู้แล้วเอาไปทำตามได้เลย!
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนือยิงแอด คือ ไม่ต้องยิงแอด
ฟังแล้วก็เหมือนโม้นะครับ
แต่ก็เป็นความจริงไปแล้ว!!
สูตรลับนี้ ผมใช้มาแล้ว กับหลายธุรกิจ
ซึ่งได้ผลดี มีลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา แม้ว่า ไม่ได้ยิงแอด ทำโฆษณาเลยก็ตาม
- คนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- คนตัดสินใจซื้อได้เร็วกว่ายิงแอด
อยากรู้หรือยังครับ
ถ้าอยากรู้แล้วตามมาได้เลย
ในบทความนี้!!
“สูตรลับเรียกลูกค้า แม้ว่า ไม่ได้ยิงแอด!
รู้แล้วเอาไปทำตามได้เลย!”
ก่อนที่จะเข้าไปอ่านบทความนี้
- ถ้าใครทำธุรกิจแบบมีหน้าร้าน ร้านอาหาร คาเฟ่ งานบริการ เทคนิคนี้ จะช่วยให้คุณมียอดขายเห็นผลมากขึ้นครับ
- ถ้าใครทำธุรกิจ ที่เป็นสินค้า เป็นชิ้นๆ เทคนิคนี้ อาจจะให้ผลช้า แนะนำให้ใช้เป็นเทคนิคเสริมครับ
ไม่ให้เสียเวลา ก็มาเลยครับ
1.สร้างธุรกิจบนแผนที่ Google
สูตรลับของเรา ครั้งนี้ มาจากแนวคิดของลูกค้า หรือ คนที่กำลังแก้ปัญหา
ส่วนใหญ่เขาจะใช้ Google ในการตอบคำถามให้ตัวเอง
ถ้าเราติดอันดับการค้นหาในลำดับต้นๆ โอกาส
ก็จะมากกว่าใช่มั้ยครับ
บางคนเพื่อความเร็ว ก็ไปซื้อโฆษณา Google ให้ติดเร็วๆ แบบนั้นก็ดี
บางคนทำ content ลงในเว็บ แบบนี้ มั่นคง แต่ช้าหน่อย
แต่สำหรับสูตรนี้ แนะนำให้ทำข้อมูลของคุณลง ใน แผนที่ Google Maps ครับ
ซึ่งทำได้เร็ว และ ติดง่ายมาก!!
ลงข้อมูลอย่างเดียว ไม่พอ จะต้องทำการยืนยันธุรกิจด้วยการทำ Google Mybusiness ครับ
เพราะหากคุณยืนยันแล้ว เราจะสามารถ ไปสู่ขั้นตอนต่อไป ของการทำสูตรลับนี้ได้
จากประสบการณ์ การทำ Google Mybuisness
แนะนำให้สร้าง ธุรกิจบนแผนที่ แล้วค่อยไปยืนยัน ใน Google My Business นะครับ
เพื่อให้ลูกค้าเห็นธุรกิจของเราในแผนที่เสียก่อน
ขั้นตอน การยืนยันธุรกิจ ใช้เวลาพอสมควรนะครับ
เพราะทาง Google จะส่งรหัสไปรษณีย์จากอเมริกา มาให้เรา
แต่บางคน ก็สามารถยืนยันได้เลย จากเบอร์โทรศัพท์ ถ้าแบบนี้ ก็ง่ายเลยครับ
2.การตั้งชื่อ ธุรกิจด้วย คำค้นหา และ ชื่อแบรนด์
เมื่อเราทำการยืนยันธุรกิจใน Google Business
ความสามารถในการ จัดการข้อมูลจะเพิ่มมากขึ้น
สิ่งแรกที่ควรปรับก็คือ ชื่อ Business นั่นเอง
ชื่อที่ดีนั้น ควรมาจาก “คำค้นหา” ยอดนิยมเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
คำที่ดี ควรเจาะจง ถึงประเภทกิจการ หรือ บริการที่เขากำลังหา
หากเป็นอู่รถยนต์ คำค้นหาคือ “ซ่อมรถ” “อู่รถ”
หากเป็นร้านอาหาร คำค้นหาคือ “ร้านก๋วยเตี๋ยว” “ร้านกาแฟ”
อาจจะมี ชื่อสถานที่ ทำให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น ในการไปใช้บริการ
หลังจากนั้น เสริมไปด้วยชื่อแบรนด์ของคุณเช่น
“ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ นายแดง โชคชัยสี่”
คนมองหาก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แถว โชคชัยสี่ ก็มีโอกาสเจอเราได้มากขึ้น
3.การอัพเดทข้อมูล ให้ครบถ้วน
เมื่อเรามีข้อมูลใน Google Business แล้ว ต้องปรับปรุงข้อมูลให้ครบถ้วน
เพราะข้อมูลที่ละเอียด จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ตัดสินใจ หรือ เดินทางมาใช้บริการเราได้ง่ายขึ้น
เช่น เวลาเปิดปิด / บริการของเราที่มีอยู่ / พิกัดของของสถานประกอบการ / ข้อมูลการเดินทางไป
สำคัญที่สุด คือ เบอร์โทรติดต่อ ควรง่าย
มีเว็บไซต์ต้อง ใส่ url ให้ถูกต้องชัดเจน
4.การโพสต์อย่างสม่ำเสมอ
เมื่ออัพเดทข้อมูลต่างๆ ภายใน Google Business ไปหมดแล้ว
หน้าที่ต่อไป ก็คือ การโพสต์อย่างสม่ำเสมอ
เพราะคนมักตัดสินว่าธุรกิจนั้น ยังเปิดอยู่ปกติ จากการ update เสมอ
ถ้าทำ Google Business แล้วให้คนมาอ่าน มา search อย่างเดียว
หากคุณเป็นร้านดังๆ ที่ไม่แคร์ใคร ก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าอยากให้แบรนด์ของเรา เป็นที่จดจำ และสดใหม่เสมอ
การโพสต์ ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกค้าใหม่ ตัดสินใจมาใช้บริการที่ร้านของเราได้ง่ายขึ้น
สรุป
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
4 เคล็ดลับ เพิ่มคนมาร้านของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย Google My Business
4 เคล็ดลับ เพิ่มคนมาร้านของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย Google My Business
สำหรับคนที่มีธุรกิจที่มีหน้าร้านไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ อู่ซ่อมรถ ขายของขายเครื่องครัว ร้านเค้กร้านขายขนมจิปาถะ
ใครๆก็อยากจะได้ลูกค้าเข้าร้านทั้งนั้น
รายได้ของร้านจะเกิดจากลูกค้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่
ถ้าเป็นลูกค้าขาประจำก็คงไม่มีอะไรมาก จะหาข้อมูลจากเราจากอินเทอร์เน็ตก็หาเพลงชื่อว่าเจอเราแล้ว
แต่ถ้าเป็นลูกค้าใหม่เขาไม่เคยรู้จักกันเราเลย
แล้วเขาจะค้นหาเจอเราใน Google ได้อย่างไร
โชคดีที่ Google ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า Google My Business เพื่อสถานที่มีหน้าร้านได้ใช้งานกันฟรีๆ
และที่สำคัญมีประโยชน์มากสุดๆในยุคนี้สมัยนี้
น่าเสียดายที่เจ้าของร้านส่วนใหญ่มองไม่เห็นถึงประโยชน์ที่ Google My Business มีให้
บางครั้งยังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นคนสร้างพิกัดของร้านให้กับตัวเขา
หากคุณคือเจ้าของกิจการที่มีหน้าร้าน
วันนี้ผมมีเคล็ดลับในการปรับแต่ง Google My Business ที่เคย ที่เคยใช้ดี มีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
ถ้าอยากรู้มาดูกันเลย!
4 เคล็ดลับ เพิ่มคนมาร้านของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย Google My Business
1. ปรับแต่งชื่อกิจการ ด้วย Keyword ที่ลูกค้าใช้ค้นใน Google เพื่อแก้ปัญหา
ลูกค้าเก่า ที่รู้จักเราเป็นอย่างดี บางครั้งก็แทบจะหลับตาเดินทางมาหาเราได้ แต่สำหรับลูกค้าใหม่ เขายังไม่เคยรู้จักแม้กระทั่งชื่อแบรนด์ของเรา แต่ถ้าเขากำลังมองหา สถานที่ซึ่งจะแก้ปัญหาให้กับเขา ยกตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่รถยนต์หมด หาร้านอาหารที่ต่างจังหวัดกิน หาร้านตัดผมใกล้บ้าน หาร้านกาแฟใกล้ที่ประชุม
ลูกค้าสมัยนี้มักจะใช้ Google map ในการค้นหา แต่การที่จะได้ลูกค้าใหม่จะต้องปรับแต่งชื่อกิจการของเราใน Google My Business ให้มี Keyword ที่เขาใช้แก้ปัญหาอยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ อู่ซ่อมรถลาดพร้าว ร้านแบตเตอรี่โชคชัย 4 / ร้านกาแฟใกล้รถไฟฟ้าอารีย์ / ร้านตัดผมแถวสะพานควาย
เพียงเพิ่ม ประเภทของกิจการและพื้นที่ให้บริการของคุณ ลงไปในชื่อของ Google My Business เท่านี้คุณก็จะได้ลูกค้ามีไหมเพิ่มขึ้นแล้ว
2. รีวิวมากกว่า เป็นเครื่องการันตีความน่าไปใช้บริการ
คนเราสมัยนี้ เริ่มมองหาสิ่งที่เป็นกลางเป็นคนที่ไปกินไปใช้บริการแล้วบอกต่อกันเอง บริการดีหรือไม่ดีก็จะเขียน comment ไปโดยไม่เกรงใจเจ้าของสถานที่
ยิ่งมีรีวิวเยอะๆก็ยิ่งดี แสดงว่ามีคนไปใช้บริการมาก จึงเหมาะที่จับไปใช้บริการ
จากประสบการณ์ตรงของตัวเองเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดแล้วร้านอาหารไหนมีคนรีวิวให้ดาวเยอะๆ แสดงว่างานนั้นเป็นที่รู้จัก มีคนมากินเป็นเครื่องพิสูจน์เยอะแยะมากมาย
คุณสามารถที่จะเพิ่มจำนวนรีวิวแบบนี้ใน Google ไปที่ไหนของคุณได้ ไปที่ไหนของคุณได้ ลองเพิ่มงบประมาณการตลาด มอบสิ่งของเล็กๆน้อยๆให้กับลูกค้าที่ประทับใจในบริการของเรา แลกเปลี่ยนกับรีวิวดีๆสักหนึ่งครั้งใน Google My Business
3. โพสต์ข้อมูลอัพเดทเพื่อทำให้รู้ว่าร้านนี้ยังเปิด
Google My Business จากจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ค้นหาทางไปร้านได้อย่างแม่นยำแล้ว ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในหน้านั้นอัพเดทบ่อยแค่ไหน ก็จะทำให้คนสนใจมากขึ้น มีตัวตนอยู่จริง ยังไม่ปิดตัวไปไหน
การโพสต์ข้อมูลนั้นสามารถทำได้ทั้งภาพและวีดีโอ เจ้าของร้านสามารถอัพเดทผ่านทางแอพพลิเคชั่นหรือบริการบน Desktop ได้
(ถ้าเป็นวีดีโอจะต้องใช้ผ่าน desktop เท่านั้น)
4. เปิดรับข้อความผ่าน Google My Business Application
ลูกค้าที่มีความต้องการอยากได้สินค้าหรือบริการของเรามากๆ มักจะติดต่อเข้ามาหาเราก่อนผ่านทาง inbox สำหรับ google My Business นั้นก็มี inbox เช่นกัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าทำอย่างไร
เจ้าของร้านสามารถทำได้ง่ายๆด้วยการไปเปิดรับ การส่งข้อความจากลูกค้า คราวนี้ลูกค้าก็จะสามารถติดต่อเราได้อย่างง่ายดายผ่าน Application Google My Business ซึ่งมีให้ใช้บนมือถือ Android และ iOS
สำหรับตัวผมเองพอลูกค้าติดต่อมาก็จะให้ทักมาทาง LINE official Account ทันที เพราะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพสะสมเอาไว้
สรุป
และทั้งหมดก็คือกลับปรับแต่งให้คนมาร้านของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย Google
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน i-creator 2019
ซึ่งเป็นงานรวมพลคนทำ Content คนทำการตลาดออนไลน์ และนักพัฒนา
มีหัวข้อมากมายที่น่าสนใจ
หนังเรื่องการตลาด การทำเนื้อหา Content และการทำเว็บไซต์ รวมไปถึง seo
ที่น่าสนใจที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ก็คือ
seo Trend 2020 บรรยายโดย Pornthep Khetrum ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Google analytics Thailand ซึ่งหากใครสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Google analytics ก็สามารถ ก็สามารถไปติดตามที่เว็บไซต์ของคุณพรเทพได้เลย
https://googleanalyticsthailand.com/
สำหรับผมถือว่าเป็น 30 นาทีที่ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่ได้ฟัง
มีหัวข้อหลักดังต่อไปนี้ครับ
- Featured snippets
- WebP Image
- Voice search
- AI
ถ้าใครที่ไม่เคยทำอะไรมา เห็นชื่อหัวข้อก็อาจจะดูงงๆหน่อย งั้นผมขออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ แล้วกันนะครับ
- Featured snippets = การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
- WebP Image = การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
- Voice search = การค้นหาข้อมูลด้วยเสียง
- AI = ปัญญาประดิษฐ์
เริ่มกันที่ข้อแรกเลยนั่นคือ
Feature Snippets : การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
ปกติการทำ SEO คือการทำยังไงก็ได้ให้ผลการค้นหาเว็บของเรานั้นติดในอันดับต้นในหน้าแรก แต่สำหรับหัวข้อที่มาบรรยายนี้ คือการทำไงก็ได้ให้ผลการค้นหาของเราอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอันดับแรก เรียนเป็นภาษาอังกฤษแบบเท่ๆว่า position Zero
นอกจากจะขึ้นมาอยู่อันดับเหนือใครๆ
ยังมีความโดดเด่นเป็นสง่าอีกต่างหาก
เพราะพื้นที่การแสดงผลนั้นยิ่งใหญ่ตระการตาแบบสุดๆ
แล้วเราจะไปอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร
ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีข้อสังเกตหลายประการที่พบได้ใน Content ประเภทดังกล่าว
ถ้าใครอยากจะอยู่ในลำดับ Position Zero ให้ลองทำแบบนี้ครับ
1. ตอบคำถามให้กับ กลุ่มเป้าหมายเรา ได้ใจความ ภายใน 1 ย่อหน้าเดียว
2. ปรับแต่งออกแบบ structure โครงสร้างหน้าเว็บให้ดี และใส่ heading อันไหนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย รวมไปถึง bullet point (อันนี้ต้องพึ่งพานักพัฒนาโปรแกรมเมอร์แล้วนะครับ)
3. ถ้าทำเนื้อหาด้วย Table หรือ list เป็น well structure นะครับ มีโอกาสโดนดึงไปเป็น featured snippets แบบนี้เช่นกัน (ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่ง list ใน wordpress หรือ html coding)
เทคนิคทั้งหมดนี้ไม่ได้รับการยืนยันว่า การค้นหาของคุณจะติดอยู่ไหน Position Zero เสมอไป แต่บทความในเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติด Position Zero จะมีคุณลักษณะดังที่กล่าวมา 3 ข้อเสมอ
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเว็บไซต์ของคุณจะต้องติดลำดับ 1 ใน 10 ด้วยนะ
(สรุปง่ายๆก็คือต้องทำเว็บให้มีคุณภาพที่ดี มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ที่สำคัญก็คือต้องมีประโยชน์)
เข้าเรื่องต่อไปครับ Web P Image
WebP Image : การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
ถ้าคุณไม่ใช่นักพัฒนาเว็บไซต์ อย่าได้ตกใจไป เพราะว่าคำนี้คุณไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
แต่ถ้าพูดถึงการเข้าเว็บไซต์ทุกคนน่าจะรู้จักและเข้าใจ
ทุกวันนี้ภาพในเว็บไซต์เราใช้ Format หลายๆแบบ ซึ่งความที่ได้รับความนิยมนั้นก็คือ .jpg .png .gif
- ถ้าเป็นภาพกราฟฟิก Vector ส่วนใหญ่เราจะใช้ .gif
- ถ้าเป็นภาพคน วัตถุต่างๆ เราจะเลือกใช้ .jpg
- ถ้าต้องการความละเอียดสูงๆ แต่ทำให้ background โปร่งใสได้ เราจะเลือกใช้ .png
สำหรับการทำ seo
Google จะให้คะแนนสูงสำหรับเว็บไซต์ที่เข้าเร็ว
หากเราต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์ด้วยความเร็ว ต้องใช้ภาพที่มีขนาดไฟล์น้อยๆ ไว้ก่อน
แต่ส่วนใหญ่ คนทำ Content ที่ทำเว็บในยุคอินเตอร์เน็ต 5G มักจะเผลอใส่ภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ เข้าไปในเว็บ จึงทำให้การแสดงผลนั้นช้ามากกว่าปกติ
เช่นได้ภาพมาจากกล้องขนาด 10 MB ก็เอามาใส่ในเว็บเลย
แบบนี้ทำให้เว็บโหลดนานมากๆ
การนำภาพเข้าไปในเว็บควรย่อให้ขนาดไฟล์เหลือประมาณ 200-300 KB
แต่จะดีกว่าไหมหากเรามีเทคโนโลยีที่ทำให้ ภาพชัดเหมือนเดิม แต่ขนาดไฟล์น้อยลง 30%
ขนาดไฟล์ภาพเล็กลง ทำให้เว็บแสดงผลเร็วขึ้น > เมื่อแบบเร็วขึ้นคะแนนของ seo ก็จะดีขึ้น
WebP คือเทคโนโลยีที่มาช่วยย่อขนาดไฟล์ให้เล็กลงกว่าเดิม 30%
แต่ภาพยังชัดเจนใกล้เคียงของเดิม
ฟังมาแล้วก็ดูดีนะ
เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นๆ
- Browser Safari ที่เราใช้กันใน iPhone iPad เครื่อง Mac ยังไม่รองรับ
- Photoshop ยังไม่รองรับการสร้าง format WebP (แต่มีคนพัฒนา plugin มาให้ใช้ชื่อว่า webpshop)
- Server hosting บางที่ยังไม่ support การทำงานของ WebP
- Magento ยังไม่รองรับ WebP
แม้จะยังไม่ยอมรับในตอนนี้ แต่หลายๆเว็บที่ใช้งานตอนนี้ ก็เลือกใช้วิธีการให้ระบบตรวจสอบว่า user ใช้ browser อะไรเข้าใช้งาน
ถ้าเป็น browser ที่รองรับ ก็ ใช้ WebP ถ้าไม่รองรับ ก็ไม่ต้องใช้ แค่นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม WebP ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยทำให้การเข้าเว็บนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมดังนั้นควรศึกษาไว้นะครับ
ต่อไปเป็นเรื่องของ Voice Search
Voice Search : การค้นหาด้วยเสียง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการพูดถึงเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงอย่างต่อเนื่อง ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ Siri ใน iPhone และ Google Assistant
ช่วงแรกๆเป็นที่ฮือฮามาก
เพราะเราได้พูดคุยกับมือถือ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็มีทั้ง ถูกบ้างผิดบ้าง กวนโอ๊ยบ้าง
นั่นคือช่วงที่ระบบทำการพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆจากการใช้งานของคน
เมื่อเวลาผ่านไป ระบบมีความเข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้น
ที่สำคัญมีคน Search ด้วยเสียงเพิ่มมากขึ้น 20%
เมื่อคนรู้ว่าสามารถค้นหา Google ด้วยการใช้เสียงแทนการพิมพ์ได้ ความยาวของ keyword ที่ใช้ค้นหาก็เปลี่ยนไป
Keyword ต่างๆจะยาวขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่ได้พิมพ์ง่ายๆแค่ “เที่ยวเชียงใหม่”
แต่จะเป็นการถามว่า “เที่ยวเชียงใหม่ราคาถูก 2 วัน 1 คืนหาได้ที่ไหน”
แล้วที่สำคัญ ประโยคคำถามจาก voice search
มันจะเป็นคำถามที่ถูกนำไปขึ้นใน Position Zero ด้วย
ดังนั้นการศึกษาเรื่องการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรู้ว่าคนค้นหาข้อมูลด้วยประโยคอะไร เราก็สามารถทำบทความอันนั้นเอาไว้ได้ก่อน
เรื่องสุดท้ายครับ AI
AI : ปัญญาประดิษฐ์
Google ได้พัฒนาอัลกอริทึ่มตัวใหม่ ที่ชื่อว่า BERT
ถ้าจะให้สรุปง่ายๆเกี่ยวกับ BERT
นั่นคือ คนทำ Content ต้องสนใจว่าคนอ่านต้องการอะไร
Google จากประมวลผลหา Content ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
ขอเรียกว่า User Intent
หลังจากที่หาข้อมูลมาก็พบว่า User Intent แบ่งเป็น 4 แบบ
(credit by rotber katai)
User Intent มี 4 ประเภท
- Navigational : ค้นหาทางเข้าเว็บไซต์
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจำชื่อเว็บ ไม่ค่อยพิมพ์ชื่อตรงๆ แต่จะ พิมพ์จาก Google ไปเลย เช่นคำว่า ข่าวสด Pantip ไทยรัฐ แล้วค่อยไปหาเว็บนั้นๆ 😉 - informational : หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนซื้อ
เมื่อคนเรามีความสนใจในเรื่องใด จะตัดสินใจซื้อหรือใช้งาน มาค้นหาด้วยชื่อแล้วตามด้วยคำว่า รีวิว ดีไหม ราคาเท่าไหร่ pantip เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง - commercial : ค้นหาด้วยชื่อด้วยประเภทธุรกิจหรือบริการ
การค้นหานี้เรามักจะใช้บ่อยบ่อย เวลาที่มีปัญหา หรือต้องการใช้บริการ ยกตัวอย่างชัดๆก็คือ ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถยนต์ โรงงานเย็บผ้า ร้านตัดผม ซึ่งหากใครต้องการได้ลูกค้าใหม่ๆที่ไม่เคยใช้บริการของเรา การใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้เข้าไป จะทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเราได้ง่ายขึ้น - transactional : หาวิธีการจ่ายเงิน
การค้นหาแบบนี้ถือว่าพร้อมจ่ายเงินแบบสุดๆ เพราะเป็นการค้นหาที่จ่ายเงิน เช่นคำว่า สมัคร netflix อย่างไร ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ที่ไหน จ่ายค่าไฟออนไลน์ สมัคร spotify อย่างไร หากมีการค้นหาด้วยที่ Keyword เหล่านี้คือพร้อมซื้อแน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ทำเนื้อหาต่างๆให้ประทับใจ Google
จะต้องทำเนื้อหาให้ถูกใจคนอ่านเป็นจำนวนมากด้วย
อยากให้ AI รักบทความของเรา
เราต้องทำให้คนอื่นๆรับบทความของเราก่อน
มีคำนิยามที่น่าสนใจอยู่คำนึงเกี่ยวกับ seo
เมื่อก่อนเรานิยามคำนี้มาจาก search engine optimization
แต่ seo ปี 2020
เราจะนิยามใหม่ว่า มันคือ “searcher Experience optimization”
นั่นคือการปรับปรุงประสบการณ์ให้เหมาะกับคนค้นหานั้นเอง
ไม่ได้ทำเอาใจ search engine แต่ทำเพื่อเอาใจคนอ่าน
และทั้งหมดนั้นก็คือ บทสรุปหัวข้อสัมมนา SEO Trend 2020 จากงาน I Creator 2019
ครับผม
ฟังคลิปแบบ Video กันก็ได้นะครับ 40 นาที
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019 | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt