จะทำยังไง ให้ ต้นทุนต่อการซื้อ ใน TikTok Ads ถูกลง
จะทำยังไง ให้ ต้นทุนต่อการซื้อ ใน TikTok Ads ถูกลง
.
มีนักเรียนที่ได้ลงเรียนคอร์ส TikTok Ads ผมได้สอบถามเข้ามา เกี่ยวกับการยิงแอด TikTok ว่า จะทำยังไง ให้ต้นทุนต่อการซื้อถูกลง
.
ผมเห็นว่า คำถามนี้ ดีนะครับ เพราะว่า หากเราทำได้ จะช่วยให้ธุรกิจของเราไปได้
.
1. ทำโฆษณา ทำคลิปหลายๆแบบ
จุดเริ่มต้นของการสร้างความสนใจ ให้กับสินค้าของเรา ก็คือเนื้อหาของโฆษณา ควรทำเนื้อหาโฆษณาออกมาหลายๆ รูปแบบ โดยใช้ข้อมูลจากลูกค้าที่เคยซื้อ สินค้าของเราไปแล้ว มาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
.
เพราะ ทุกครั้งที่เราได้ขายสินค้าให้กับลูกค้ามากขึ้นเท่าไร เราจะได้เรียนรู้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น คำถามที่ลูกค้าคาใจ สิ่งที่ลูกค้าอยากได้ เราจะนำมาใช้พัฒนาสินค้าและบริการให้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการทำโฆษณา ที่โดนใจลูกค้ามากขึ้นด้วย
.
ดังนั้น ต้องทำโฆษณาหลายๆแบบ และหากพบแบบไหนที่ดีกว่า ให้ยึดเอารูปแบบของโฆษณานั้น มาเป็นหลักในการสร้างคลิปใหม่ๆ แบบไหนที่ไม่ดี ก็ปิดไป แล้วจดจำเอาไว้ว่า คนไม่ชอบ
.
2. ทำ โฆษณา Retarget
บางครั้งคนเรา ไม่ได้ตัดสินใจ ซื้อสินค้าตั้งแต่ครั้งแรก การที่ได้เห็นโฆษณาของเราบ่อยๆ จะเพิ่มโอกาส การขายได้มากขึ้นแม้ใช้งบน้อยลง
.
เพราะการ Retarget คือ การทำโฆษณาไปหาเฉพาะคนที่มีส่วนร่วม หรือ คนที่สนใจในโฆษณาของเรา เพียงแต่ครั้งแรก เขาอาจจะไม่ซื้อ ด้วยเหตผลหลายๆ อย่าง ยังไม่มีเงิน เงินเดือนไม่ออก ยังไม่พร้อม เป็นต้น
.
แต่การ Retarget ไม่ได้ส่งโฆษณาเดิมที่เขาเคยเห็น กลับไปหาเค้า แต่เป็นการส่งโฆษณา แบบอื่นๆ ให้เค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น เช่น รีวิว หรือ โปรโมชั่นต่างๆ
.
และหากเก็บข้อมูล กลับไปหาคนเก่าๆ ที่เคยเห็นคลิปแล้วเรา ซ้ำอีก โดยตัดคนที่ เคยซื้อสินค้าของเราไปแล้ว
.
3. ตรวจเช็ค salepage
ถ้าโฆษณาทำดี คนคลิกมาเยอะ แต่ว่า ไม่มีคนซื้อเลย อันนี้ ให้ลองมาเช็ค หรือ ปรับ salepage ของเรา ว่าสะดวกกับคนซื้อมากน้อยแค่ไหน
.
ไอเดีย ก็คือ เพิ่มตำแหน่ง ของปุ่มติดต่อ ปุ่ม line ให้มากขึ้น / ถ้าจะลองเพิ่มฟอร์มสั่งซื้อสองตำแหน่ง ข้างบน กับข้างล่าง ก็สามารถทำได้
.
หรือลอง เพิ่ม Call to action หลายๆ แบบมากขึ้น ทั้ง LINE Messenger และ การโทร ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับรูปแบบของสินค้าและบริการของคุณ
.
4. เพิ่มยอดขายต่อครั้งให้มากขึ้น
เมื่อลูกค้าติดต่อเข้ามาหาเรา แสดงว่าสนใจสินค้าหรือบริการของเราแล้ว ให้แอดมิน (หรือเราเองก็ได้) นำเสนอสินค้าเป็น Set หรือ โปรโมชั่น แทนที่จะซื้อชิ้นเดียว ก็ให้ซื้อ 2-3 ชิ้น แต่ราคาต่อชิ้นถูกลง แม้กำไรน้อยลง แต่ยอดขายต่อครั้ง นั้นเพื่มขึ้น
.
หรือจะนำเสนอสินค้าตัวอื่นๆ ที่มีความสอดคล้องกับสินค้าที่ลูกค้าต้องการไปด้วยก็ได้ เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็นำเสนอเคสมือถือ หรือ เสนอขายประกันตัวเครื่องเพิ่มเข้าไป
.
หากทำแบบนี้ได้ จะทำให้ต้นทุนต่อการซื้อของเรานั้นถูกลง
.
สรุป จะทำยังไง ให้ต้นทุนต่อการซื้อ ใน TikTok Ads ถูกลง
ทำโฆษณา ทำคลิปหลายๆแบบ
ทำ โฆษณา Retarget
ตรวจเช็ค salepage
เพิ่มยอดขายต่อครั้งให้มากขึ้น
.
ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้กับการยิงแอด TikTok ของคุณดู ได้ผลอย่างไร มา Comment บอกกันด้วยนะครับ 😉
.
แต่สำคัญที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดใน TikTok Marketing คือการทำ Content ให้คนสนใจครับ!
.
และสำหรับ ใครที่สนใจอยากจะลงลึก มากขึ้นในเรื่อง TikTok Ads อยากจะเรียนแบบตัวต่อตัว หรือ คอร์สออนไลน์
สามารถ inbox หรือ ทักไลน์มาได้นะครับ ที่ลิงก์นี้ @digitalnookacademy
.
สนใจเรื่องราว การตลาดใหม่ๆ ติดตามผมได้เลยนะครับ ในช่องทางต่อไปนี้!!
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnookacademy
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #tiktokads
เริ่มต้น ขายออนไลน์ เลือกทำช่องทางไหนก่อนดี?
เริ่มต้น ขายออนไลน์
เลือกทำช่องทางไหนก่อนดี?
มีคำถามที่ถามมาทาง inbox บ่อยๆว่า
ตอนนี้ กำลังจะเริ่มต้นทำออนไลน์ แล้วควรเลือกใช้เครื่องมือไหนดี
รวมทั้งผู้ประกอบการหลายท่าน ก็ถามเหมือนกัน
ว่าควรจะเลือกทำอะไรก่อนหลังดี
ผมเลยไปหาคำตอบมาให้ดังนี้ครับ
“เริ่มต้น ขายออนไลน์ เลือกทำช่องทางไหนก่อนดี?”
1.เฟสบุ๊ค
ถ้าเรากำลัง จะเปิดตลาดไปหาคนใหม่ๆ ให้รู้จักเราได้เร็วที่สุด
เครื่องมือที่จะนำคนใหม่ๆมาเจอเราได้เร็วที่สุด นั่นคือ เฟสบุ๊ค
เพราะการเปิดเพจนั้นง่ายที่สุด เพราะเปิดฟรี ยังไม่ต้องจ่ายอะไร คุณก็ทำได้แล้ว
จะโพสต์ content แบบเขียน โพสต์ภาพ หรือจะ Live ก็ทำได้โดยอิสระ
ถ้าทำดีๆ ไม่ต้องยิงแอดทำโฆษณา คนก็จะตามติดเพจคุณอย่างเหนียวแน่น
ถ้าอยากให้คนเห็นมากขึ้น ก็ใช้การทำโฆษณาเป็นเครื่องทุ่นแรง ประหยัดเวลา
และเครื่องมือของเฟสบุ๊ค คนใช้กันแพร่หลาย ดังนั้นจึงมีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาเยอะ
ไม่ต้องห่วง
2.Line OA
เมื่อเรามีลูกค้า มาแล้ว การเก็บลูกค้าเดิม เอาไว้ในมือ เป็นเรื่องที่หลายคนมักลืม
เครื่องมือทุ่นแรง ที่ใช้งานได้ดี ณ ตอนนี้ คือ LINE
เพราะคนไทยใช้ LINE ในการสื่อสาร จนเป็นเรื่องปกติแล้ว
แต่ถ้าจะทำธุรกิจจริงจัง ติดต่อคนเยอะๆ และ สื่อสารทีละมากๆ
แนะนำให้ใช้ LINE OA
ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียเงิน
เพราะคุณเปิดได้ฟรี และใช้งาน feature ต่างๆ ได้ฟรีแม้ยังไม่ได้จ่ายเงิน
สะสมคนไปเยอะๆ ในช่องทางนี้ พอถึงเวลาที่คุณอยากทำการตลาดกับคนติดตาม
ตอนนั้นค่อยไปเสียเงินค่าแพคเกจรายเดือน
3.youtube
อีกช่องทาง ที่ช่วยสร้างตัวตนให้กับเรา คือ Youtube
เพราะเวลาคนมีปัญหา มักจะเปิด Google หาทางออกก่อน
เนื่องจาก Youtube และ Google เป็นบริษัทเดียวกัน
ดังนั้น โอกาสที่ content จะได้พบเห็น จึงมากกว่า
แต่หมายถึงคุณต้องวิเคราะห์ แล้วทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
ว่าลูกค้าของคุณมองหาอะไร ก่อนนำเอาสิ่งนั้นมาทำ Content เพื่อให้อยู่ภายในช่อง youtube ของเรา
บางครั้ง อาจจะให้คนที่เป็น Youtuber มาช่วยพูดแทนตัวคุณเองก็ได้
เวลาคนรู้จักแบรนด์ของคุณผ่านสื่ออื่นๆ แล้วเขามาค้นหาข้อมูลเพิ่มใน google และ youtube
จะสร้างความเชื่อถือให้กับแบรนด์อีกเยอะเลย
4.website
ถ้า Social Media อย่าง เฟสบุ๊ค คือบ้านเช่า ที่มีกฏระเบียบ
website ก็คือ บ้านหลังใหญ่ของคุณ
บ้านที่คุณดูแลความเรียบร้อยได้เอง
กฏระเบียบต่างๆ คุณเป็นผู้สร้างด้วยตัวเอง
เพียงแต่การทำเว็บนั้น ต้องวางแผน และใช้เวลาพอสมควร กว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพ
การมีเว็บไซต์ ทำให้คนรู้ว่า คุณมีตัวตน และ ติดต่อมาหาคุณได้อย่างไร
และหากคุณใช้งานเว็บไซต์ร่วมกับการทำ โฆษณาในเฟสบุ๊ค
มีการเก็บสถิติ จะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของเราได้ดีขึ้น
คนชอบสินค้าตัวไหนมากที่สุด
คนใช้เวลากับเราในหน้าเว็บไหนมากที่สุด
เป็นใคร เพศอะไร วัยไหน มาจากพื้นที่ใด
สถิติเหล่านี้จะช่วยคุณวางแผนทำการตลาด และ ธุรกิจได้ดี
หากแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์
อยากให้ช่วยกันแชร์ ออกไปครับ ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้พัฒนานำเสนอเนื้อหาให้ทุกคนได้อ่านกันอีก
หรือคิดต่างไปจากนี้ สามารถ comment กันมาได้นะครับ
เพื่อผมจะได้นำไปปรับปรุงการนำเสนอให้ดียิ่งขึ้น
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
.
หลังจากที่ LINE ได้ออกมาประกาศว่า
จะเปิดให้ User ที่ใช้ LINE OA ได้ลงโฆษณา ได้ด้วยตัวเอง
ทำให้หลายคน ตื่นตัว และอยากรู้ว่า ทำงานอย่างไร
.
ล่าสุด มีข้อมูล Update รายละเอียดการโฆษณาผ่าน LINE ที่มากขึ้นกว่าเดิม
จาก LINE Business โดยตรงจากลิงค์นี้
ทำความรู้จัก LINE Ads Platform และ 4 เหตุผลที่ต้องใช้ถ้าอยากให้ธุรกิจโต
.
ผมเลยขอกล่าวถึงโฆษณาของ LINE ที่เราจะมาทำโฆษณาได้เอง รวมทั้งเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้า
ดังนี้ครับ
.
จะมีคนเห็นโฆษณา มากน้อยแค่ไหน?
คนเข้าใช้งาน LINE นอกจากการแชท
ก็มักจะอ่านบทความใน LINE TODAY เสมอ ซึ่งมียอดวิวที่ 2500 ล้านต่อเดือน ถ้าเทียบกับคนใช้งาน LINE 44 ล้านคน ก็เท่ากับ เข้ามาดูคนละ 56 วิวต่อเดือนเลยนะครับ
.
ตำแหน่งโฆษณา ในไลน์อยู่ตรงไหน?
.
เรามาดูกันก่อนว่า ตำแหน่งโฆษณาของ LINE นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
.
1. Timeline : อยู่ในหน้า timeline ถ้าเปรียบไป ก็เหมือน newsfeed ของ เฟสบุ๊คเลยครับ ซึ่งคนใช้ไลน์ ก็มักจะโฆษณากันตรงนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
2. Article page end0 / Article page end1 / Article page end2 อยู่ด้านท้ายของบทความ เป็นหลักเลยครับ ถ้าในเฟสบุ๊ค เราจะเห็นลักษณะของโฆษณาแบบนี้ อยู่ใน instant article บ่อยๆ
3. Top Page Top2 / Top Page Top3 : อยู่ด้านบนของบทความใน LINE เป็นหลัก
วัตุประสงค์ในไลน์ มีเหมือนเฟสบุ๊คมั้ย
เฟสบุ๊ค มี 11 objective
.
– Awareness สร้างการรับรู้
> Brand awareness
> Reach
.
– Consideration การตัดสินใจ
> traffic
> engagement
> app install
> video view
> lead generatio
> message
.
– Conversion การลงโฆษณาเพื่อสร้างผลลัพธ์ชัดเจน
> Conversions
> catalog sales
> store traffic
.
สำหรับ LINE Ads platform มี 4 objective โดยแบ่งออกเป็น
1. การรับรู้แบรนด์ และ Awareness
แบ่งออกเป็นเรื่องของ
1.1.การเข้าถึง และ ความถี่ : เราสามารถเลือกให้แต่ละคน เห็นโฆษณาของเราได้มากน้อย แค่ไหน เลือกความถี่ได้ตามความต้องการ ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดีนะ ขนาดเรายังเบื่อเลยที่เห็นโฆษณาอัดๆๆถี่ๆๆ
.
ซึ่งเทียบได้กับ Reach ใน เฟสบุ๊คนั่นเอง
.
1.2.การเยี่ยมชมเว็บไซต์ : เหมาะสำหรับการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลของสินค้า หรือบริการที่เรามีอยู่ ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้น มีการเก็บ pixel และ google analytics ก็จะเป็นข้อดีเข้าไปอีก เพราะสามารถเก็บฐานข้อมูลของคนจาก platform ไลน์ ไปใช้งานเพิ่มได้อีก
.
เทียบได้กับ Traffic หรือการเยี่ยมชม ในเฟสบุ๊ค นั่นเอง
.
2. เพิ่มฐานลูกค้า
มีสองแบบ นั่นคือ
.
2.1 เพิ่มคนใน LINE OA ของเราให้มากขึ้น เพื่อเอาไว้ ส่งข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ได้ในภายหลัง
.
เทียบได้กับ engagement แบบเพิ่มคนติดตาม ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
2.2 ให้คนดาวน์โหลด application : อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี application แล้วอยากเพิ่ม member ตอนนี้ ไลน์เปิดโอกาส ให้คุณในช่องนี้แล้วจ้า
.
เทียบได้กับ App installation ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3. เพิ่มยอดขาย
มีสองแบบ คือ
3.1 ซื้อของ (website conversion) : ตัวนี้ จะต่างจากการเข้าชมเว็บไซต์ ตรงที่ เราสามารถเก็บข้อมูล คนที่เคยคลิก หรือเคยซื้อ ผ่าน platform LINE เพื่อไปทำการ Retarget ได้อีกครั้ง (เออ อันนี้น่าสนใจ)
.
เทียบได้กับ Conversion ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3.2 ใช้งาน application : ปกติคนใช้งาน application ถ้าโหลดมาแล้ว บางครั้ง อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน การโฆษณาไปเด้งเตือนให้ User กลับมาใช้งาน ใน platform ที่เขาคุ้นเคย จึงเป็นอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยได้
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
4. รักษาฐานลูกค้าเดิม
ทางไลน์ใช้กระบวนที่เรียกว่า การนำเสนอสินค้าแบบไดนามิก : เป็นการแสดงสินค้าเฉพาะบุคคล คือ personalization มากขึ้น ไม่ใช่โฆษณาแบบหว่าน ซึ่งจะเพิ่มโอกาส ให้คนซื้อสินค้านั้นๆ เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
กลุ่มเป้าหมาย ในไลน์มีกี่แบบ
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน LINE สามารถแบ่งได้ตาม
– อายุ
– เพศ
– พื้นที่
– OS เลือกได้ว่าจะเป็น iOS หรือ Android
– ความสนใจ อาทิ แฟชั่น ความงาม บันเทิง ท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงิน (คาดว่าน่าจะมาจากการคลิกดูข้อมูล ของคนที่ใช้ไลน์)
.
Custom audience
นอกจาก กลุ่มเป้าหมายแบบปกติ ที่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ทางไลน์ ยังพัฒนาให้เราสามารถ โฆษณาโดยทำ custom audience ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง จากการเข้ามาใช้งานใน LINE OA เว็บไซต์ หรือ applicaton (หากใครเคยทำ custom audience ในเฟสบุ๊คมาก่อน น่าจะเข้าใจไม่ยาก)
.
ที่สำคัญ custom audience สามารถนำมาสร้าง เป็น Look a like audience ได้ด้วย (ใครเคยทำในเฟสบุ๊ค มาก่อน ถือว่าได้เปรียบ)
รูปแบบการซื้อ โฆษณาในไลน์ คิดราคายังไง
การซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่ เราจะคุ้มชินกับหน่วยของ CPM เป็นหลัก นั่นคือ คนเห็น 1000 ครั้ง เสียเงินกี่บาท (จริงๆ มีแบ่งเยอะกว่านั้น เช่น cost per engagement / cost per click / cost per like หรือ cost per conversion เป็นต้น)
.
สำหรับ LINE นั้น การซื้อโฆษณา มีให้เลือกสามแบบ นั่นคือ
1. การเห็น นับเป็น CPM (Cost per 1,000 impression จริงๆ คำว่า M ย่อมาจาก Mille ที่แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน)
2. การคลิก นับเป็น CPC (Cost per click)
3. การเพิ่มเพื่อน นับเป็น CPF (cost per friends)
.
สรุป
ข้อดี
– สำหรับคนที่ใช้ LINE ในการสร้างยอดขายอยู่แล้ว ก็จะลดขั้นตอนการติดต่อผ่าน เอเจนซี่
– เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่ใช้งาน เฟสบุ๊คมาเป็นเวลานาน แล้วอยากลอง platform อื่นๆบ้าง
สิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด
– ราคาในการสร้าง campaign จะถูก หรือ แพง ยังไม่มีใครทราบ แต่หากราคาออกมาแพง ก็จะเป็นการคัดให้เหลือผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้เงินโฆษณา เพื่อสร้างยอดขายน้อยลง (อันนี้ คาดเดาจาก ตอนที่ขายผ่าน เอเจนซี่ แล้วเริ่มต้นที่หลักหมื่นต่อเดือน)
– กฏระเบียบต่างๆ จะมีมากเท่าเฟสบุ๊คมั้ย ยังไม่มีระบุออกมา แต่อย่างน้อย การควบคุมคุณภาพ ให้ผ่านเกณฑ์ คือเรื่องสำคัญ ที่ไลน์ต้องกำหนด
– ซื้อได้มากน้อยแค่ไหน มีลิมิตหรือเปล่า อันนี้ยังไม่ได้ระบุ
– โฆษณาจะกระจายไปยังต่างประเทศ หรือ ประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ อันนี้ ยังไม่มีระบุออกมา เพราะเท่าที่มีข้อมูล ตอนนี้ คนลาว ใช้ whatsapp มากกว่า LINE (แต่สำหรับอนาคต นั้นยังไม่แน่)
.
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทางผมจะนำเสนอให้ทราบกันในลำดับต่อไปนะครับ 😉
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
รวมข้อผิดพลาด การยิงแอดเฟสบุ๊ค ที่ทำให้ขาดทุน
สำหรับคนที่ทำธุรกิจออนไลน์แล้ว
การสร้างกำไร เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ซึ่งการจะสร้างกำไรให้เกิดกับธุรกิจของตัวเองได้นั้น
การทำโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาเฟสบุ๊คนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญ
หรือจะเรียกกันสั้นๆ ว่ายิงแอด ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่ ปัญหาที่เรามักจะพบเจอในกลุ่มนักยิงแอดมือใหม่ ก็คือ
ยิงแอดแล้วขาดทุน ยิงแอดแล้วไม่ได้กำไร
หรือบางครั้ง ก็บอกว่า ยิงแอดมั่ว
จากการสำรวจ และประสบการณ์จริง ที่ได้ทำการยิงแอดมา
ผมขอแชร์ข้อผิดพลาด ที่มักจะเจอบ่อยๆ ในการยิงแอด
ซึ่งนำพาไปสู่การขาดทุน ได้ง่ายๆ
จะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
1. ไม่ได้ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย
เอะอะ ก็กดปุ่ม Boost post เลยทันที ไม่ได้เลือก ไม่ได้คิดว่า คนเหล่านั้น เป็นกลุ่มคนที่ต้องการสินค้า หรือบริการของเราจริงๆ หรือเปล่า อันนี้ ถือเป็นเรื่องพลาดขั้นแรกเลยครับ
และส่วนใหญ่มือใหม่ ชอบกด boost post หาคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ใส่ความสนใจเลย
อันนี้ถือว่า ต้องลองคิดใหม่นะครับ
เครื่องมือที่ใช้เช็คหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ที่ควรใช้คือ Audience Insight และ เครื่องมือที่เรียกว่า Precise Maganetic (ฟรีนะครับ ไปหาโหลด chrome extension ได้)
2.ไม่ได้ทดสอบ content ที่จะนำมาโฆษณา
การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค ต้องใช้ศิลปะการถ่ายทอด การขยี้ การทำให้คนสนใจแบบสุดๆ ถ้าเราไม่ได้ทดสอบว่า Content แบบไหนที่คนชอบมาก่อน โอกาสเกิด ก็ยาก ค่าโฆษณาก็พุ่งปรี๊ดๆ แน่นอน
วิธีการทดสอบ Content ที่ง่ายที่สุด คือ ทำมาหลายๆ แล้วโพสต์ในเพจแบบปกติ ไม่ต้องจ่ายเงิน อันไหนที่ได้รับการมองเห็น การเข้าถึงเยอะ คนชอบกดไลค์ กดแชร์เยอะๆ ให้เอา content นั้นมาทำโฆษณา
3.ไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหา content
บางครั้ง เราใช้โฆษณาอันเดิม แบบเดิม ก็คิดว่ามัน สุดยอดแล้ว แต่จริงๆ content ไหนที่เราเห็นบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้
ดังนั้นการลองปรับปรุงเนื้อหา จะทำให้เจอผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้นเสมอ
4.ความอดทนในการทดสอบตัวโฆษณา
สำหรับมือใหม่ บางคน เห็นว่าแอดกินเงินไปแล้ว แต่ไม่มีใครทัก หรือ ไม่เกิดยอดขายเลย ก็ปิดไปซะแล้ว บางคนเปิดมา 2 ชั่วโมง ไม่เห็นยอดขาย ก็ปิด
ทางที่ดี คุณต้องปล่อยให้โฆษณาตัวนั้นวิ่งไปก่อน 7 วัน เพราะว่า ในแต่ละวัน การตอบรับของโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไป ให้เวลาโฆษณาทำงานนิดนึง ก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจปิด
5.ไม่ได้ตรวจเช็คการตั้งค่า ก่อนปล่อยแอด
บางครั้งตอนที่เราทำโฆษณา เราอาจจะใจร้อน รีบลงมือทำ พอเห็นว่าตั้งค่าอะไรเสร็จแล้ว ก็ปิดหน้าจอไป ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน
ผลเสียที่ตามมาก็คือ บางครั้ง เราตั้งค่าการจ่ายเงินผิด ลืมกำหนดเวลาสิ้นสุด กลายเป็นเปิดยาวตลอด ทำให้กินเงินไปฟรีๆ โดยที่ไม่รู้ว่า (อันนี้ เรื่องจริง เพราะมีน้องคนนึง เปิดโฆษณาไว้ 1 เดือน โดยไม่รู้ว่าตัวเองเปิดไว้ แถมแอดวิ่งไป แบบไม่มีคนทัก ก็เลยไม่รู้ว่าแอดยังเปิดอยู่)
6.ไม่ได้ไปดูผลลัพธ์ของการทำโฆษณา
เมื่อทำโฆษณาเสร็จแล้ว การตรวจดู report รายงานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้รู้ว่า ads ตัวไหนทำงานได้ดี แล้วทำงานได้ดีกับกลุ่มเป้าหมายไหนบ้าง
เพราะถ้าแอดตัวไหนไม่ดี เราดูจาก repor ก็ยังสามารถ นำข้อมูลจริงมาปรับปรุงโฆษณาให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ถ้าไม่ได้ดูเลย ก็จะใช้การมโนนึกแทน ไม่ได้หยิบข้อมูลมาใช้เลย แบบนี้น่าเสียดายครับ
ลองเช็คกันดูนะครับ ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
แล้วจะปรับปรุงอย่างไร
ทำผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะว่าถ้าเรารู้แล้วแก้ เรื่องแย่ๆ จะเป็นครูสอนเรา
แต่หากรู้ว่าพลาด แล้วไม่แก้ เรื่องแย่ๆ ก็จะใหญ่โตไปกว่าเดิม
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เพิ่มรายได้ หลักพัน หลักหมื่นไป สู่หลักล้าน เป็นไปได้ แค่ใช้สูตรนี้
เงินล้านเงินแสนใครๆก็อยากได้ใช่ไหมครับ
มันอาจจะเป็นคำพูดติดปากของทุกๆคน
มันอาจจะเป็นคำพูดของเราในวันหวยออก
มันอาจจะเป็นคำพูดที่เราได้แต่พูด
และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตอะไร
เพราะว่าเราไม่ได้ลงมือทำ
ผมเองไม่ค่อยได้พูดเท่าไหร่ว่าอยากจะมีรายได้เป็นแสนเป็นล้าน
แต่คิดอยู่เสมอว่าฉันอยากจะมีเงินร้าน
และพยายามทำงานเก็บเงินเก็บออมเอาไว้
ทำแบบนี้มันก็ไม่ผิดนะครับ
แต่ว่าการเข้าใกล้ความฝันเงินหลักล้านก็จะไม่ถึงสักที
จนเมื่อผมได้ไปฟังแนวคิดของอาจารย์ A10 และอาจารย์อั๋น
ที่ว่าด้วยเรื่องของสมการที่มาของรายได้
มันเป็นสมการที่ไม่ได้ยุ่งยากไม่ต้องเข้าหลักการตรีโกณมิติใดๆ
มันเป็นสูตรของการคูณ ตัวเลขอยู่ 2-3 ชุด
ซึ่งความหมายของตัวเลขแต่ละชุดนั้นก็ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจอะไรเลย
แต่ที่สำคัญ สมการตัวนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องของการหาเงิน
และนำมันมาปรับใช้ได้จนผ่านหลักล้านแล้วเช่นกัน
อยากรู้ไหมครับว่าสมการนี่้ มีสูตรว่ายังไง
ถ้าอยากรู้ตามมาเลยครับ
สมการของรายได้เท่ากับ จำนวนลูกค้า X ขนาดของการสื่อ X การซื้อซ้ำ
ง่ายๆ แบบนี้เองครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ
ถ้าเราอยากมีเงิน 10,000 บาท แล้ววันนี้ เราขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วแต่ละคนซื้อของแค่ครั้งเดียว
เราก็ต้องขายของให้ได้ทั้งหมด 200 คน เพื่อให้ได้เงิน 10,000 บาท
แล้วถ้าอยากได้สัก 100,000 บาท จะต้องหากี่คน คำตอบก็คือ 2,000 คนนั้นเอง
ยากไปมั้ยครับ สำหรับสมการนี้
แล้วถ้าอยากได้ 1 ล้านบาทล่ะ แล้วเราต้องขายของ 50 บาท ก็ต้องให้คน 20,000 คนนั่นเอง
มันก็เป็นสมการที่ง่าย
แต่ในชีวิตจริง การได้ลูกค้าแต่ละคนมานั้น ก็ดูยุ่งยากดีแท้
ดังนั้นจะดีกว่ามั้ย แทนที่เราจะมุ่งหน้าไปเพิ่มแต่จะลูกค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ให้สนใจตัวเลขตัวอื่นในสมการ
นั่นคือขนาดของการขายแต่ละครั้งและความถี่ในการซื้อ
ถ้าเราลองปรับให้ตัวเลข ขนาดของการขายแต่ละครั้ง กับ ความถี่ในการซื้อ เพียงแค่อย่างละ 10% ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร?
เช่นลูกค้า 200 คน จากเมื่อก่อน ขายของชิ้นละ 50 บาท แล้วก็ ขายได้คนละ 1 ครั้ง
= 200X50X1 = 10,000 บาท
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ชิ้นละ 55 บาท แล้วก็ ขายคนละ 1.1 ครั้ง เราจะได้เป็น
= 200X55X1.1= 12,100 บาท ได้มากกว่าเดิม = 21%
แล้วถ้าคิดใหม่ว่า ขายคนละ 2 ชิ้น แล้วขายให้ได้คนละ 2 ครั้ง
เราจะได้เป็น = 200X100X2 = 40,000 บาท = 400%
ได้มากกว่าเดิม ไม่รู้เท่าไร ต่อเท่าไร
แม้ในชีวิตจริง อาจจะไม่ได้ เพิ่มตัวเลขกันง่ายๆ เหมือนที่เราเขียน
แต่ถ้าเรามีหลักคิด ปรับไป ปรับมา อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตัวเลขที่เราทำได้ในครั้งแรกไม่ใช่หรือ
และความพิเศษที่ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ผมมีเทคนิคสำหรับการเพิ่มตัวเลขในแต่ละส่วนมาให้อะไรครับ
จำนวนลูกค้า
เราสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้า ได้อย่างไรบ้าง ในยุคออนไลน์ครองเมืองแบบนี้ นั่นคือ การยิงแอด หาคนมาติดตาม / ยิงแอด มาซื้อของเรา เพิ่มจำนวนแฟนคลับ เพิ่มฐานข้อมูลลูกค้าให้มากขึ้นทุกวันๆ / เข้าใจเรื่องการปิดการขาย ทำให้เขามาเป็นลูกค้าเราให้ได้
ขนาดต่อการซื้อ
การขายของเพื่อให้ได้มูลค่ามากกว่า 1 ชิ้นในแต่ละครั้ง สามารถ ทำได้ด้วยการ Upsale เหมือนที่เราเจอใน 7-11 ว่า รับขนมจีบซาลาเปามั้ยคะ ซึ่งนี่แหละ คือการเพิ่มรายได้ให้กับ 7-11 เป็นจำนวนมาก เพียงแค่เอ่ยปากบอก / เสนอสิ่งที่ดีขึ้น คุ้มค่าขึ้น แต่เพิ่มเงินแค่เล็กน้อย จนลูกค้ายอมจ่าย / ขายแพครวมยกโหล / ขายของที่แพงขึ้น เพื่อให้ได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ แต่ดูแลง่ายขึ้น
ความถี่ในการซื้อ
ถ้าอยากให้คนมาซื้อของบ่อยๆ ขึ้น มากกว่าเดิม สิ่งที่เราสามารถทำได้ ก็คือ การทำ loylty program / สะสมแต้มแลกของรางวัล / ทำระบบ member ทำระบบสมาชิก ให้เขาอยู่กับเราตลอด / ออกสินค้าตัวใหม่ๆ เพื่อให้คนได้กลับมาซื้ออีก เรื่อยๆ /
นั่นคือกลยุทธ ที่เราสามารถ เลือกใช้ทำได้ ในแต่ละส่วน
อยากได้เงินเท่าไร ก็ให้เอาสามปัจจัยนี้ มาคูณกัน
จำนวนลูกค้า X ขนาดของการซื้อแต่ละครั้ง X ความถี่ในการซื้อซ้ำ
ลองดูกันนะครับ
ว่าทำอย่างไร เพื่อที่จะให้คำพูด ที่เรามักจะเอ่ยออกมาบ่อยๆ ในวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
กลายมาเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เอาจริงของชีวิตเรา
อย่าให้มันแค่หลุดออกมา แล้วหายไป
เพื่อที่วันที่ 1 กับ 16 จะออกมาพูดแบบนี้อีก
ลงมือทำครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
ขายของเหมือนกัน แต่เจ้านั้นขายดีกว่าเพราะสิ่งนี้
เคยคิดกันไหมครับว่าทำไมเวลาที่คนขายของเหมือนกันแต่ทำไมร้านขายดีกว่าแล้วร้านนั้นขายไม่ดีเลย
เราไม่ได้พูดถึงสินค้าแบบเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ รสชาติปริมาณ
แต่เรากำลังจะพูดถึงสินค้าแบบเดียวกันเป๊ะ
ออกมาจากบริษัทออกมาจากโรงงานเดียวกันเลย
แต่ทำไมบางคนขายดีบางคนขายไม่ดี
วันนี้ผมขอแชร์ประสบการณ์ในมุมมองของคนที่เข้าไปเลือกซื้อสินค้าแล้วกันนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผมจำเป็นต้องซื้อของใช้เข้าบ้าน แต่ว่าไม่อยากจะเดินทางออกไปซื้อด้วยตัวเอง
ของที่ผมว่าก็เป็นของง่ายๆนะครับ เช่นข้าวสาร แต่ซื้อหลายถุง
นมหลายแพ็ค ขนมหลายห่อ น้ำตาลหลายกิโล
ถ้าผมจะออกไปซื้อก็ไปได้นะ แต่เสียเวลาในการเดินทางและหาที่จอดรถ
ก็เลยวิ่งเข้าไปในเว็บไซต์ที่เขาขายของแบบนี้
นั่นก็คือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของห้างดังๆ
จริงๆผมก็เลยเอาไว้อยู่ 2-3 เจ้า
ผมลองเลือกใช้บริการเจ้าแรกก่อน
เจ้านี้ทำโปรโมชั่นดีดูมีของลดราคาผมก็เลยลองคลิกเข้าไปดู
พอตอนที่จะเลือกสั่งซื้อสินค้าแต่ละตัว เวลาที่จะเพิ่มจำนวนทำไมมันช้าจัง
เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่เคยได้จากเว็บ Shopping อื่นๆ เราใช้เวลาน้อยกว่าแต่ไปไหนต่อไหนแล้ว
เวลากดไปสักกลมนึงแล้วก็รู้สึกดีเลย์แบบสุดๆ
ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันไปถึงสถานะไหนแล้ว!
พอมาถึงหน้ารวมราคา ระบบก็ให้ใส่ที่อยู่
(จริงๆผมเคยสั่งของจากที่นี่ไปแล้วครั้งนึงนะครับ เลยมีที่อยู่จำเอาไว้ในระบบ)
แต่ก็แปลกใจว่าทำไมต้องให้ใส่ที่อยู่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ถึงเวลาคำนวณสินค้าทั้งหมดแล้ว
ไปถึงหน้าการชำระเงิน มีให้เลือกว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง หรือ จ่ายชำระบัตรเครดิตได้เลย
ปรากฏว่าผมมีปัญหาเรื่องการจ่ายด้วยบัตรเครดิต (อันนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นจากตัว User อย่างผมเอง) ก็เลยทำให้เกิดการค้างชำระขึ้นมา
เลยโทรไปสอบถามที่ Call Center ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วอยากจะจ่ายเงินที่หน้าบ้านทำอย่างไร
เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสามารถที่จะเลือกเป็นแบบจ่ายด้วยบัตรเครดิตปลายทาง แต่บอกกับคนส่งได้เลยว่าเขาจ่ายเงินสด
ผมก็เลยถามว่าผมไม่เห็นมีให้เลือกว่าให้จ่ายเงินสดได้เลย
เจ้าหน้าที่บอกว่ายอดผมเกิน 2,000 บาท ระบบก็เลยไม่มีทางเลือกเป็นเงินสดให้
แต่สามารถจะบอกกับเจ้าหน้าที่ได้ว่าชำระด้วยเงินสด
ผมเลยพยายามทำความเข้าใจระบบ
แล้วลองไปสั่งอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ปรากฏว่า ไม่สามารถซื้อสินค้าบางตัวได้ตามความต้องการ
ก็เลยถามคอลเซ็นเตอร์ไปอีกทีว่า ทำไมไม่มีของขายทั้งๆที่เมื่อกี้ก็มีอยู่
ตอนที่บอกว่า เป็นเรื่องของระบบ Stock Online
ผมก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นความผิดพลาดของ User แบบผมเอง
ที่มีปัญหาในเรื่องของการชำระเงิน จึงผ่านมาทำให้ซื้อของได้ไม่ครบ
ผมก็เลยหยุดทุกกิจกรรม แล้วเปลี่ยนไปเข้าอีกเว็บนึง
เป็น web Shopping Mall เหมือนกันขายของแบบเดียวกัน
แต่ประสบการณ์ที่ได้รับแตกต่างกันมาก
เวลาที่จะคลิกอะไรไปสักอย่างนึงก็เร็วมากๆ
เวลา Search หาของต่างๆนานาก็แสดงผลได้รวดเร็วทันใจ
เวลาที่จะเลือกของใส่ไว้ในตะกร้าก็ถือว่าเร็วมากๆ
เรียกว่าประสบการณ์ใกล้เคียงกับเว็บช็อปปิ้งเจ้าใหญ่ (สีส้ม)เลยทีเดียว
เวลาที่ผมใช้ในการสั่งซื้อจนครบกระบวนการในเว็บไซต์นี้
ใช้ระยะเวลาเท่ากับตอนที่ผมเลือกของใส่ตะกร้าในเว็บก่อนหน้า
เรื่องนี้บอกอะไรครับ?
ผมเลือกซื้อสินค้าแบบเดียวกัน
จากโรงงานเดียวกันเป๊ะเลย
แต่ทำไมผมถึงเลือกสั่งของจากเว็บไซต์อีกตัว
ทั้งๆที่ผมเสียเวลาไปกับเว็บไซต์แรกไปตั้งนานแล้ว
ผมขอสรุปเรื่องนี้ได้สั้นๆ สองอย่างนะครับ
1. ประสบการณ์ที่ดีในการซื้อ
เว็บไซต์แรกทำให้ผมเสียเวลามากๆในการกรอกข้อมูลต่างๆ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการเลือกซื้อของ
ทำให้ผมเสียเวลามากๆในการชำระเงิน
ทำให้ผมเสียเวลาในการสั่งสินค้าใหม่แต่ไม่ได้ตามที่ต้องการ
2. การสื่อสารที่ชัดเจนกับลูกค้า
ตอนที่ผมจะจ่ายเงิน จริงๆ เว็บไซต์แรก ก็สามารถที่จะเก็บเงินสดปลายทางได้ แต่ตอนที่จะชำระเงินดันไม่ขึ้นว่าชำระเงินสดได้ เมื่อเทียบกับ เว็บไซต์ตัวที่ 2 เขียนไว้ชัดเจนว่าชำระเงินสดหรือบัตรเครดิตได้
คำพูดบางคำที่หายไป ทำให้เสียโอกาสในการขายไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งเป็นยุคนี้ที่คนเรามีทางเลือกมากมาย
ถ้าไม่แฮปปี้กับเจ้าไหน ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นได้ง่ายๆ
เพราะไม่ต้องออกเดินทาง
แค่เปลี่ยน URL หรือเปลี่ยน application ก็จบแล้ว
เมื่ออ่านเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว
ให้ลองพิจารณาดูกับธุรกิจของคุณนะครับ
เราขายของเหมือนกับคนอื่นๆ เป๊ะๆ
แต่สิ่งที่เราจะสร้างให้เกิดความแตกต่างกับคนอื่น
นั่นคือประสบการณ์
ประสบการณ์ที่ดีจะทำให้คนจำเราได้ในมุมที่ดี และอยากจะมาซื้อซ้ำ หรือหากชอบมากๆก็จะแนะนำให้คนอื่นมาซื้อกับเราด้วย
แต่หากพบประสบการณ์ที่ไม่ดี
เราก็คงจะเลิกซื้อ แถมยังจะไม่แนะนำให้คนอื่นไปใช้บริการด้วยเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นพบกับประสบการณ์ไม่ดีเหมือนกับเรา
ลองคิดและนำไปปรับปรุงธุรกิจของคุณเองนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt