E-A-T คืออะไร สามคำ ที่คนทำ SEO ต้องรู้
E-A-T คืออะไร สามคำ ที่คนทำ SEO ต้องรู้
.
หลายคนที่เริ่มต้นทำ SEO หรือ Search Engine Optimization หรือ ทำให้บทความ หรือ เว็บไซต์ของคุณติดในหน้าแรก Google แบบไม่ต้องจ่ายเงิน
.
เป้าหมาย ของคนทำ SEO คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การที่ทำให้ Content ของตัวเอง ติดในหน้าแรก
และสิ่งที่จะทำให้ มันติดหน้าแรกได้ เราก็ต้องเข้าใจว่า Google ชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร
.
สิ่งนั้น มันคือ อัลกอริทึม ของ Google นั่นเอง
แต่เนื่องจาก อัลกอริทึม นั้นเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาบ่อยๆ
.
มันก็เลยมีเกณฑ์หนึ่ง ที่ทาง Google ได้กำหนดขึ้นมา เพื่อแยกแยะว่า Content ไหนที่มีคุณภาพดี มากพอจะมาจัดอันดับ
.
เทคนิคนี้ เราเรียกกันว่า E-A-T
ฟังชื่อแล้ว ง่ายๆ ดี เหมือนกำลังจะกินอะไรสักอย่าง? คำว่า E-A-T นั้น เป็นคำย่อมาจากสามคำ ดังนี้ครับ
.
1. E=Expertise
.
เชี่ยวชาญ รอบรู้
.
ปัจจัยที่สำคัญ หนึ่งอย่างสำหรับการจะติด Google ในหน้าแรก ได้ นั่นคือ Content ของคุณต้องมีความยาว 1000 คำขึ้นไป (วิธีการวัดความยาวของคำ ให้เช็คจาก การเอาบทความทั้งหมดมาใส่ใน word แล้วนับคำเอา)
.
แล้วเราจะเขียนบทความยาวๆ ได้อย่างไรล่ะ? คำตอบนั้นก็คือ คุณต้องเข้าใจ สิ่งที่คุณกำลังเขียน และ ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเข้าใจ และคนอื่นๆ อ่านแล้วต้องเข้าใจด้วย!
.
ถ้าเรา เชี่ยวชาญ รอบรู้ การเขียนเนื้อหายาวๆ คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน มันก็ยากจะเขียนออกมาได้ลื่น
.
นี่แหละ คือที่มาของ การที่ Google พยายามให้เราเขียน Content ยาวๆ (บางคนอาจจะสงสัยว่า คนชอบอ่านอะไรยาวๆ หรือ? คำตอบคือ ใช่ครับ ถ้าบทความนั้น เขียนได้น่าสนใจ อ่านแล้วไหลลื่น อ่านแน่นอน)
.
“แล้วเราจะเพิ่มคะแนนส่วน Expertise ให้บทความเราได้ยังไง?”
มันทำได้แบบนี้ครับ
.
มีภาพประกอบ ที่เกี่ยวข้องกับบทความทำให้คนเข้าใจ ได้มากขึ้น (เทคนิคของผมคือ เอา video จาก youtube มาแปะลงไปด้วย เพื่อให้คนอยู่ในหน้านี้นานมากขึ้น)
.
มีลิงก์ภายในเว็บของเรา ทำให้คนได้อ่านเรื่องอื่นๆ ที่่่น่าสนใจต่อได้ง่ายๆ ส่วนมากคนทำ SEO มักจะเอา เนื้อหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ บทความนั้น มาใส่คั่นระหว่าง Content เพื่อให้คนได้อ่านต่อ เพื่อให้คนอยู่ในเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น
.
เข้าใจใน keyword ที่เรากำลังทำ SEO อยู่ วิเคราะห์ keyword ออกมา
.
เนื้อหาที่เขียน ต้องอ่านแล้ว เข้าใจ และ รู้ได้เลยว่า คนเขียนเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ ถึงอธิบายออกมาได้มากมาย แต่ กระชับ และทำให้คนอื่นๆ เข้าใจได้ด้วย เพราะหากเข้าใจง่าย คนจะอ่านต่อเนื่องจนจบ
.
2. A=Authoritativeness
เป็นเจ้าของบทความนั้นจริงๆ
.
“แล้วเราจะเพิ่มคะแนนส่วน Authoritativeness ให้บทความเราได้ยังไง?”
.
ต้องมีการแชร์ออกไป ในวงกว้าง โดยเฉพาะ social Media ทั้งหลาย (ถ้า Content ที่ดี น่าสนใจ เวลาเอาไปแชร์ใน social media ก็จะได้รับการแชร์ ต่อออกไปมากมาย และ มีโอกาสติด Google หน้าแรกเร็วขึ้น)
.
มีชื่อ Profile ของผู้เขียนติดเอาไว้ : ข้อนี้ หลายๆ คนที่ทำ Content อาจจะคิดว่า แค่เขียนเนื้อหา ก็คือจบแล้ว แต่จริงๆ การใส่ Profile ผู้เขียนในท้ายบทความ จะส่งเสริมให้
.
ทำ link ส่งมายังบทความที่คุณต้องการให้ติดหน้าแรก google : บทความไหน ที่ดี บทความนั้นจะมีคนนำไปอ้างอิง และให้เครดิตเสมอ ด้วยการทำลิงก์กลับมาให้เป็นมารยาท ดังนั้น คุณสามารถเพิ่มคะแนนส่วนนี้ได้ ด้วยการทำลิงก์เข้ามาหาบทความ
.
3. T=Trustworthiness
น่าเชื่อถือ
.
อีกปัจจัยหนึ่ง ที่คนทำ SEO ต้องให้ความสำคัญ ก็คือ ความน่าเชื่อถือ ของเว็บไซต์ ทั้งเชิงเทคนิค และ เชิงธุรกิจ
.
เว็บที่น่าเชื่อ สมัยนี้ คือ เรื่องของความปลอดภัย ดังนั้น Hosting ที่เลือกใช้ต้องมี SSL (Secure Sockets Layer) ซึ่งทาง Google เองจะให้คะแนนกับเว็บไซต์ที่มี SSL เป็นอันดับต้นๆ
.
เพิ่มช่องทางให้คนเข้ามารีวิวได้ : หากคุณมีระบบ ให้คนเข้ามา Comment เกี่ยวกับบทความของคุณได้ จะช่วยเพิ่มในแง่ของความน่าเชื่อถือขึ้นไปได้อีก (แต่สำหรับผม อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนี้มากนัก เพราะบางครั้ง อาจจะต้องเข้ามาดูแล เนื้อหาบ่อยๆ)
.
มีการใส่ นโยบาย การคืนเงิน Privacy : หากเป็นเว็บไซต์ขายของ หรือ แบบ E-commerce ต้องมี หน้าเว็บที่อธิบาย เรื่องของนโยบายการคืนเงิน การคืนสินค้าเอาไว้ด้วย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากขึ้น
.
มีช่องทางการติดต่อ : การมีเบอร์โทร มีระบุ ที่ตั้งของ บริษัท จะช่วยทำให้ธุรกิจของคุณดูมีความน่าเชื่อถือ เพิ่มขึ้น ติดต่อง่าย ไม่หนีหายไปไหน และข้อดีก็คือ คนสามารถติดต่อคุณได้สะดวกมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
.
สรุป E-A-T คืออะไร สามคำ ที่คนทำ SEO ต้องรู้
- E=Expertise
- A=Authoritativeness
- T=Trustworthiness
.
ลองนำแนวคิดนี้ ไปปรับใช้กับบทความของคุณนะครับ ผมลองนำไปใช้แล้ว มันช่วยได้จริงๆ ทำให้ติด Google ดีขึ้นแบบมีหลักการ และเป็นหลักคิด ในการเขียน Content บทความลงในเว็บไซต์ ได้ดีครับ
.
ใครนำไปใช้แล้ว ได้ผลอย่างไร มา update ให้ฟังได้ ในคอมเมนต์ของโพสต์นี้เลยนะครับ 😉
.
สนใจเรื่องราว การตลาดใหม่ๆ ติดตามผมได้เลยนะครับ ในช่องทางต่อไปนี้!!
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnookacademy
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #google #seo
3 ขั้นตอน ทำยังไง ให้ได้ลูกค้าจาก Google แบบไม่ต้องเสียเงิน EP1
3 ขั้นตอน ทำยังไง ให้ได้ลูกค้าจาก Google แบบไม่ต้องเสียเงิน EP1
ถ้าวันนี้ คุณเลิกยิงแอด เลิกทำโฆษณา จะยังมีลูกค้ามาซื้อสินค้า หรือ บริการของคุณหรือเปล่า
หากคำถามนี้ ทำให้คุณรู้สึกสะดุดใจ ลองมาดูอีกวิธี ที่ทำให้คุณได้ลูกค้า จาก Google แบบไม่เสียเงิน!
ซึ่งผมเคยทำมาแล้วกันครับ
.
ผมตีออกมาเป็น ขั้นตอน 3 ขั้นครับ
.
บทความนี้ จะพูดถึงขั้นตอนแรกครับ
.
- ต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร?
คนจะยอมจ่าย ในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วคนต้องการอะไรล่ะ? Google มีคำตอบให้ครับ ผมใช้วิธีนี้เป็นหลักเลย
.
- ค้นหาความต้องการหลัก Google Trends
ไปดูว่า ตอนนี้ เทรนด์ไหนกำลังมา ได้รับความนิยม กราฟของ Google Trends บอกได้เป๊ะๆ เอาง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ “สมุนไพรฟ้า… ต้านเชื้อ” ที่ขายดีกัน มันมาพร้อมกับกราฟความนิยมที่พุ่งแรงมากๆ ตัวกราฟที่พุ่งทะยาน คือตัวคอนเฟิร์มว่า มันจะได้รับความนิยมจริงๆ
. - ค้นหา keyword ที่เค้าค้นหา
พอเรารู้กระแสหลักแล้ว ต่อไป คือการหา Keyword ที่คนค้นหาจริงๆ ซึ่งผมจะใช้เครื่องมือเพิ่มเติม สองตัวนี้ครับ
. - keyword หลักหาจาก google keyword planner หรือ uber suggest
สองตัวนี้ทำงานเหมือนกัน ถ้า Google Keyword planner จะใช้งานได้เลย แต่ข้อมูลจะไม่ละเอียด ถ้าไม่เคยจ่ายยิงแอด Google Ads เลย
.
ดังนั้นจึงมีบริการใหม่ ค้นหา Keyword ที่ดูจำนวนการค้นหาต่อเดือนที่ละเอียดกว่า เรียกว่า Ubersuggest นั่นเอง ดูได้เยอะกว่า เพียงแต่ใช้งานได้ฟรีวันละ 3 keyword ก็หมดโควต้าแล้ว ถ้าอยากใช้งานเยอะๆ ก็ให้ซื้อบริการรายเดือน หรือ จ่ายทีเดียวจบ เริ่มต้นที่ 120 usd
. - Keyword รอง หาจาก Google suggestion
นอกจาก keyword หลักกๆ
อันนี้ หาได้ง่ายครับ เพราะเปิดหน้า Google ขึ้นมา ใส่ keyword แบบยังไม่ต้องครับ สักพัก จะเห็น keyword ที่ระบบ แนะนำ มาให้ขึ้นมา หรือ จะ กด search แล้ว เลื่อนไปด้านล่างของหน้าผลการค้นหา
.
ไปหาคำว่า “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” จะเจอคำที่ระบบ Google แนะนำให้ เลือกคำเหล่านี้ มาใช้งานได้ครับ
.
ลองมาค้นหากันดูครับ ว่า ความต้องการ ของลูกค้าคุณนั้น คืออะไร?
ถ้าหาเจอ เราจะเอาไปใช้ประโยชน์ ในขั้นตอนต่อไป
.
ใน EP2 นะครับ ติดตามกันได้เลยในโอกาสต่อไป
.
ติดตาม เนื้อหาการตลาดออนไลน์ของผม
ได้ในสื่อต่อไปนี้นะครับ
.
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
https://www.tiktok.com/@digitalnook
.
digitalnook #seo #google
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน i-creator 2019
ซึ่งเป็นงานรวมพลคนทำ Content คนทำการตลาดออนไลน์ และนักพัฒนา
มีหัวข้อมากมายที่น่าสนใจ
หนังเรื่องการตลาด การทำเนื้อหา Content และการทำเว็บไซต์ รวมไปถึง seo
ที่น่าสนใจที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ก็คือ
seo Trend 2020 บรรยายโดย Pornthep Khetrum ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Google analytics Thailand ซึ่งหากใครสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Google analytics ก็สามารถ ก็สามารถไปติดตามที่เว็บไซต์ของคุณพรเทพได้เลย
https://googleanalyticsthailand.com/
สำหรับผมถือว่าเป็น 30 นาทีที่ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่ได้ฟัง
มีหัวข้อหลักดังต่อไปนี้ครับ
- Featured snippets
- WebP Image
- Voice search
- AI
ถ้าใครที่ไม่เคยทำอะไรมา เห็นชื่อหัวข้อก็อาจจะดูงงๆหน่อย งั้นผมขออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ แล้วกันนะครับ
- Featured snippets = การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
- WebP Image = การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
- Voice search = การค้นหาข้อมูลด้วยเสียง
- AI = ปัญญาประดิษฐ์
เริ่มกันที่ข้อแรกเลยนั่นคือ
Feature Snippets : การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
ปกติการทำ SEO คือการทำยังไงก็ได้ให้ผลการค้นหาเว็บของเรานั้นติดในอันดับต้นในหน้าแรก แต่สำหรับหัวข้อที่มาบรรยายนี้ คือการทำไงก็ได้ให้ผลการค้นหาของเราอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอันดับแรก เรียนเป็นภาษาอังกฤษแบบเท่ๆว่า position Zero
นอกจากจะขึ้นมาอยู่อันดับเหนือใครๆ
ยังมีความโดดเด่นเป็นสง่าอีกต่างหาก
เพราะพื้นที่การแสดงผลนั้นยิ่งใหญ่ตระการตาแบบสุดๆ
แล้วเราจะไปอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร
ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีข้อสังเกตหลายประการที่พบได้ใน Content ประเภทดังกล่าว
ถ้าใครอยากจะอยู่ในลำดับ Position Zero ให้ลองทำแบบนี้ครับ
1. ตอบคำถามให้กับ กลุ่มเป้าหมายเรา ได้ใจความ ภายใน 1 ย่อหน้าเดียว
2. ปรับแต่งออกแบบ structure โครงสร้างหน้าเว็บให้ดี และใส่ heading อันไหนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย รวมไปถึง bullet point (อันนี้ต้องพึ่งพานักพัฒนาโปรแกรมเมอร์แล้วนะครับ)
3. ถ้าทำเนื้อหาด้วย Table หรือ list เป็น well structure นะครับ มีโอกาสโดนดึงไปเป็น featured snippets แบบนี้เช่นกัน (ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่ง list ใน wordpress หรือ html coding)
เทคนิคทั้งหมดนี้ไม่ได้รับการยืนยันว่า การค้นหาของคุณจะติดอยู่ไหน Position Zero เสมอไป แต่บทความในเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติด Position Zero จะมีคุณลักษณะดังที่กล่าวมา 3 ข้อเสมอ
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเว็บไซต์ของคุณจะต้องติดลำดับ 1 ใน 10 ด้วยนะ
(สรุปง่ายๆก็คือต้องทำเว็บให้มีคุณภาพที่ดี มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ที่สำคัญก็คือต้องมีประโยชน์)
เข้าเรื่องต่อไปครับ Web P Image
WebP Image : การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
ถ้าคุณไม่ใช่นักพัฒนาเว็บไซต์ อย่าได้ตกใจไป เพราะว่าคำนี้คุณไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
แต่ถ้าพูดถึงการเข้าเว็บไซต์ทุกคนน่าจะรู้จักและเข้าใจ
ทุกวันนี้ภาพในเว็บไซต์เราใช้ Format หลายๆแบบ ซึ่งความที่ได้รับความนิยมนั้นก็คือ .jpg .png .gif
- ถ้าเป็นภาพกราฟฟิก Vector ส่วนใหญ่เราจะใช้ .gif
- ถ้าเป็นภาพคน วัตถุต่างๆ เราจะเลือกใช้ .jpg
- ถ้าต้องการความละเอียดสูงๆ แต่ทำให้ background โปร่งใสได้ เราจะเลือกใช้ .png
สำหรับการทำ seo
Google จะให้คะแนนสูงสำหรับเว็บไซต์ที่เข้าเร็ว
หากเราต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์ด้วยความเร็ว ต้องใช้ภาพที่มีขนาดไฟล์น้อยๆ ไว้ก่อน
แต่ส่วนใหญ่ คนทำ Content ที่ทำเว็บในยุคอินเตอร์เน็ต 5G มักจะเผลอใส่ภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ เข้าไปในเว็บ จึงทำให้การแสดงผลนั้นช้ามากกว่าปกติ
เช่นได้ภาพมาจากกล้องขนาด 10 MB ก็เอามาใส่ในเว็บเลย
แบบนี้ทำให้เว็บโหลดนานมากๆ
การนำภาพเข้าไปในเว็บควรย่อให้ขนาดไฟล์เหลือประมาณ 200-300 KB
แต่จะดีกว่าไหมหากเรามีเทคโนโลยีที่ทำให้ ภาพชัดเหมือนเดิม แต่ขนาดไฟล์น้อยลง 30%
ขนาดไฟล์ภาพเล็กลง ทำให้เว็บแสดงผลเร็วขึ้น > เมื่อแบบเร็วขึ้นคะแนนของ seo ก็จะดีขึ้น
WebP คือเทคโนโลยีที่มาช่วยย่อขนาดไฟล์ให้เล็กลงกว่าเดิม 30%
แต่ภาพยังชัดเจนใกล้เคียงของเดิม
ฟังมาแล้วก็ดูดีนะ
เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นๆ
- Browser Safari ที่เราใช้กันใน iPhone iPad เครื่อง Mac ยังไม่รองรับ
- Photoshop ยังไม่รองรับการสร้าง format WebP (แต่มีคนพัฒนา plugin มาให้ใช้ชื่อว่า webpshop)
- Server hosting บางที่ยังไม่ support การทำงานของ WebP
- Magento ยังไม่รองรับ WebP
แม้จะยังไม่ยอมรับในตอนนี้ แต่หลายๆเว็บที่ใช้งานตอนนี้ ก็เลือกใช้วิธีการให้ระบบตรวจสอบว่า user ใช้ browser อะไรเข้าใช้งาน
ถ้าเป็น browser ที่รองรับ ก็ ใช้ WebP ถ้าไม่รองรับ ก็ไม่ต้องใช้ แค่นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม WebP ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยทำให้การเข้าเว็บนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมดังนั้นควรศึกษาไว้นะครับ
ต่อไปเป็นเรื่องของ Voice Search
Voice Search : การค้นหาด้วยเสียง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการพูดถึงเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงอย่างต่อเนื่อง ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ Siri ใน iPhone และ Google Assistant
ช่วงแรกๆเป็นที่ฮือฮามาก
เพราะเราได้พูดคุยกับมือถือ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็มีทั้ง ถูกบ้างผิดบ้าง กวนโอ๊ยบ้าง
นั่นคือช่วงที่ระบบทำการพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆจากการใช้งานของคน
เมื่อเวลาผ่านไป ระบบมีความเข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้น
ที่สำคัญมีคน Search ด้วยเสียงเพิ่มมากขึ้น 20%
เมื่อคนรู้ว่าสามารถค้นหา Google ด้วยการใช้เสียงแทนการพิมพ์ได้ ความยาวของ keyword ที่ใช้ค้นหาก็เปลี่ยนไป
Keyword ต่างๆจะยาวขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่ได้พิมพ์ง่ายๆแค่ “เที่ยวเชียงใหม่”
แต่จะเป็นการถามว่า “เที่ยวเชียงใหม่ราคาถูก 2 วัน 1 คืนหาได้ที่ไหน”
แล้วที่สำคัญ ประโยคคำถามจาก voice search
มันจะเป็นคำถามที่ถูกนำไปขึ้นใน Position Zero ด้วย
ดังนั้นการศึกษาเรื่องการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรู้ว่าคนค้นหาข้อมูลด้วยประโยคอะไร เราก็สามารถทำบทความอันนั้นเอาไว้ได้ก่อน
เรื่องสุดท้ายครับ AI
AI : ปัญญาประดิษฐ์
Google ได้พัฒนาอัลกอริทึ่มตัวใหม่ ที่ชื่อว่า BERT
ถ้าจะให้สรุปง่ายๆเกี่ยวกับ BERT
นั่นคือ คนทำ Content ต้องสนใจว่าคนอ่านต้องการอะไร
Google จากประมวลผลหา Content ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
ขอเรียกว่า User Intent
หลังจากที่หาข้อมูลมาก็พบว่า User Intent แบ่งเป็น 4 แบบ
(credit by rotber katai)
User Intent มี 4 ประเภท
- Navigational : ค้นหาทางเข้าเว็บไซต์
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจำชื่อเว็บ ไม่ค่อยพิมพ์ชื่อตรงๆ แต่จะ พิมพ์จาก Google ไปเลย เช่นคำว่า ข่าวสด Pantip ไทยรัฐ แล้วค่อยไปหาเว็บนั้นๆ 😉 - informational : หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนซื้อ
เมื่อคนเรามีความสนใจในเรื่องใด จะตัดสินใจซื้อหรือใช้งาน มาค้นหาด้วยชื่อแล้วตามด้วยคำว่า รีวิว ดีไหม ราคาเท่าไหร่ pantip เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง - commercial : ค้นหาด้วยชื่อด้วยประเภทธุรกิจหรือบริการ
การค้นหานี้เรามักจะใช้บ่อยบ่อย เวลาที่มีปัญหา หรือต้องการใช้บริการ ยกตัวอย่างชัดๆก็คือ ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถยนต์ โรงงานเย็บผ้า ร้านตัดผม ซึ่งหากใครต้องการได้ลูกค้าใหม่ๆที่ไม่เคยใช้บริการของเรา การใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้เข้าไป จะทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเราได้ง่ายขึ้น - transactional : หาวิธีการจ่ายเงิน
การค้นหาแบบนี้ถือว่าพร้อมจ่ายเงินแบบสุดๆ เพราะเป็นการค้นหาที่จ่ายเงิน เช่นคำว่า สมัคร netflix อย่างไร ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ที่ไหน จ่ายค่าไฟออนไลน์ สมัคร spotify อย่างไร หากมีการค้นหาด้วยที่ Keyword เหล่านี้คือพร้อมซื้อแน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ทำเนื้อหาต่างๆให้ประทับใจ Google
จะต้องทำเนื้อหาให้ถูกใจคนอ่านเป็นจำนวนมากด้วย
อยากให้ AI รักบทความของเรา
เราต้องทำให้คนอื่นๆรับบทความของเราก่อน
มีคำนิยามที่น่าสนใจอยู่คำนึงเกี่ยวกับ seo
เมื่อก่อนเรานิยามคำนี้มาจาก search engine optimization
แต่ seo ปี 2020
เราจะนิยามใหม่ว่า มันคือ “searcher Experience optimization”
นั่นคือการปรับปรุงประสบการณ์ให้เหมาะกับคนค้นหานั้นเอง
ไม่ได้ทำเอาใจ search engine แต่ทำเพื่อเอาใจคนอ่าน
และทั้งหมดนั้นก็คือ บทสรุปหัวข้อสัมมนา SEO Trend 2020 จากงาน I Creator 2019
ครับผม
ฟังคลิปแบบ Video กันก็ได้นะครับ 40 นาที
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019 | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt